49.หาเครื่องมือ
ลงท้ายหลิ่วเจินก็กินเข้าไปอยู่ดี หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล อย่างมากสุดคงมีกองทหารออกมาขัดขวางยายเฒ่าให้นางกระมัง
คราวนี้อีกฝ่ายไม่มีทีท่าอย่างที่หลิ่วเจินคิดไว้ แม่เฒ่าหนานเองก็ไม่ได้พูดอะไร
หลิ่วเจินออกจากบ้านแม่เฒ่าหนานไปด้วยความโล่งใจ เมื่อกลับไปถึงบ้าน ก็เห็นกู้หรูเฟิงนั่งหลับพิงกำแพงห้องอยู่
ไม่มีสิ่งได้คลุมกายชายหนุ่ม เมื่อเห็นแวบแรกหญิงสาวก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงหนาวอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิ่วเจินนำผ้าห่มมาห่มให้กู้หรูเฟิง
ยามปล่อยมือจากผ้าห่ม กู้หรูเฟิงก็ปรือตาขึ้นนิด ๆ แล้วตื่นขึ้น
สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน และต่างฝ่ายต่างเงียบงันกันเป็นนาน หลิ่วเจินลุกขึ้นกลับมายืนตรง “ท่านนอนไปอีกพักหนึ่งเถิด” ใบหน้าหลิ่วเจินเห่อร้อนนิด ๆ ขณะขยับตัวออกห่างจากกู้หรูเฟิง
“ขอบคุณ” กู้หรูเฟิงเอ่ย นอกจากกล่าวขอบคุณแล้ว เขายังจะพูดอะไรอื่นได้อีกเล่า?
กู้หรูเฟิงเฝ้ามองหลิ่วเจินเดินออกไปอีกครั้ง มือของชายหนุ่มจับผ้าห่มที่หลิ่วเจินห่มให้เขา ริมฝีปากระบายยิ้มบาง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากออกมาจากเรือน หลิ่วเจินนิ่วหน้าน้อย ๆ หัวใจหญิงสาวพลันเต้นกระหน่ำทันใด นางรู้สึกถึงลมหายใจที่ติดขัด และรู้สึกหายใจไม่ค่อยจะคล่อง ไม่ใคร่สบายตัวเท่าใดนัก
หลังเห็นว่าร่างกายตนสงบลงดีแล้ว หญิงสาวจึงนั่งลงขยับทำงานต่อ
นางจำได้ว่าเมื่อตอนขึ้นเขานั้น ระหว่างทางนางพบโพรงเล็ก ๆ ซึ่งน่าจะลองเอามาปรับเปลี่ยนได้ หญิงสาวคุ้นเคยกับเส้นทางขึ้นเขาดี หากทำความเร็วเพียงพอ นางสามารถเดินไปกลับได้สามถึงสี่เที่ยวสบาย ๆ แบบนี้ก็สามารถขนของกลับมาได้มากมายแล้ว
ทว่ามันจะเป็นอันตรายหรือไม่นะ หากโพรงนั้นมีงูหรือตัวอะไรอยู่? หลิ่วเจินคิดว่า ไม่ว่าผลเป็นอย่างไร นางก็ควรเตรียมความพร้อมไว้ทุกทาง
และถ้าหากมันปลอดภัยและไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายในนั้น เช่นนั้นแล้วก็หาหญ้าและของที่ใช้ได้มาวางสุมพรางตาไว้ เท่านี้ก็สามารถใช้เป็นที่เก็บของได้ชั่วคราว โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนมาพบ
เช่นนั้นแล้วนางต้องเตรียมตะกร้าหรือเข่งใบใหญ่ขึ้นสักหน่อย
หลิ่วเจินยืนขึ้น เตรียมเข้าไปในเรือนเพื่อดูว่ามีเข่งหรือของอื่น ๆที่จุได้มากกว่าเดิมหรือไม่ จะอย่างไร ก็ขอให้ใหญ่พอ แข็งแรงพอ สามารถบรรทุกของได้ ก็นับว่าใช้ได้แล้ว
กู้หรูเฟิงเฝ้ามองหลิ่วเจินเดินเข้า ๆ ออก ๆ เที่ยวมองหาของอะไรสักอย่าง ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปถามอีกฝ่ายตรง ๆ “ทำอันใดอยู่รึ?”
ยามนี้ หลิ่วเจินกำลังพลิกหาข้าวของที่กองสุมตรงมุมห้อง และไม่อาจหาเข่งใส่ของที่มีขนาดตามต้องการพบ ดังนั้นนางจึงอยากหาเครื่องมือมาปรับปรุงเข่งสะพายหลังใบเดิม หรือของที่คล้าย ๆกัน
หลิ่วเจินสะดุ้งตกใจเมื่อโดนกู้หรูเฟิงถาม หญิงสาวไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาเลย จู่ ๆก็มีคนพูดขึ้นใกล้ ๆ จะไม่ตกใจได้หรือ?
“เฮ้ย! ท่านนี่จริง ๆเลย...เดินมาก็ไม่รู้จักให้สุ้มให้เสียง!” หลิ่วเจินหลุดปากออกมาด้วยความตกใจ
กู้หรูเฟิงเห็นว่าเขาทำหลิ่วเจินสะดุ้งตกใจ ก็ให้รู้สึกสียใจนัก ชายหนุ่มมองหลิ่วเจินอย่างขออภัย เขาไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แต่ไม่นึกว่าหลิ่วเจินจะขวัญอ่อนปานนี้
“เจ้ากำลังมองหาอันใดอยู่รึ?” กู้หรูเฟิงถาม
เขาไม่อาจตามอีกฝ่ายขึ้นเขาได้ แต่เมื่อเห็นหลิ่วเจินกำลังยุ่งวุ่นวายทำสิ่งเหล่านี้ บางทีเขาอาจช่วยเร่งงานให้เร็วขึ้นบ้าง
หลิ่วเจินยังคงนั่งยอง ๆมองหาของอยู่ “หากสามารถยึดเข่งใบเล็กสองใบเข้าด้วยกัน แล้วสามารถแบกไปง่าย ๆ ซ้ำยังสามารถถอดวางไว้ได้โดยไม่โดนใครพบ รวมทั้งมีน้ำหนักเบาลงสามารถแบกได้ง่ายขึ้นก็นับว่าดี”
กู้หรูเฟิงเปล่งเสียงในลำคอ “อืม” และแล้วก็มองไปที่ข้าวของที่หลิ่วเจินนำออกมา สมองเขาหมุนติ้วไม่หยุด กำลังคิดหาวิธีทำเข่งที่มีคุณสมบัติตรงตามที่หลิ่วเจินต้องการ
หลิ่วเจินลองหยิบจับข้าวของทุกชนิด พลิกขึ้นพลิกลงทุกรูปแบบ และในที่สุดหลังใช้เวลาเป็นนาน หญิงสาวก็นั่งบนเก้าอี้ และมองกองข้าวของระเกะระกะบนพื้น ทันใดนั้นก็คิดว่า มิสู้ละทิ้งแนวคิดดั้งเดิมไปน่าจะดีกว่ากระมัง
จะสร้างอะไรสักที ก็ช่างยากลำบากจริง ๆ แถมยังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย หากมีสักหน่อย อยากจะทำของใช้ให้ใหญ่ให้เล็กแค่ไหน ให้แข็งแรงปานใด ก็สามารถทำได้ตามใจนึก ช่างสะดวกสบายเป็นที่สุด สรุปสั้น ๆ แค่จะมีใช้ก็ยังเป็นไปไม่ได้ นางคงได้แต่ฝันลม ๆแล้ง ๆ