8.เรื่องเร่งด่วน
สามสิ่งเร่งด่วนยามนี้ได้แก่ ข้อแรก นั่นคือบ้านมีรอยแตกรั่ว ข้อต่อมาคือ ไม่มีฟืนใช้ และข้อสามคืออาการบาดเจ็บที่ขาของกู้หรูเฟิง
แม้นบ้านมีรอยแตกรั่ว แต่มันก็มีมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว และยามนี้มันอาจไม่ใช่ปัญหาอันเร่งด่วนจริง ๆ ขาที่บาดเจ็บของกู้หรูเฟิงนั้น ก็ไม่น่าวิตกสักเท่าใด ดังนั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือไม้ฟืนที่ต้องใช้สำหรับช่วงฤดูหนาว ทว่าการที่ต้องเฝ้าดูอีกฝ่ายนั่งๆนอนๆบนเตียง โดยไม่สามารถไปไหนมาไหนได้นั้น มันช่างน่าเวทนานัก หลิ่วเจินรู้สึกสงสารชายหนุ่มขึ้นมาอีกครา
หลังจากครุ่นคิดลังเลอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจเอาของสิ่งนี้ไปขาย แล้วให้การรักษาขาที่บาดเจ็บของกู้หรูเฟิงมาเป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับแรก ส่วนหัวข้ออื่นๆที่เหลือ ก็เลื่อนออกไปก่อน
ถึงแม้นนางจะยึดครองร่างของผู้อื่นมา แต่ความทรงจำดั้งเดิมที่หลงเหลือในร่าง ก็ยังลางเลือนไม่ปะติดปะต่อกัน ดังนั้นหากหลิ่วเจินต้องการเข้ามือง นางต้องขอติดตามไปกับผู้อื่น
พวกเขาทั้งสองอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งใช้เวลานานมากในการเดินทางเข้าเมืองแต่ละที ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมนัดหมายเดินทางเข้าเมืองด้วยกันในวันเดียวกัน
บังเอิญพบว่าพี่ไช่ที่อยู่บ้านข้างๆต้องการเข้าเมืองเพื่อจัดการธุระปะปังพอดี หลิ่วเจินจึงเค้นหาความทรงจำที่มีอยู่น้อยนิดในหัวอย่างละเอียด และพบว่าคนที่เจ้าของร่างเดิมมีความสัมพันธ์อันดีด้วย นั่นก็คือ พี่ไช่เพื่อนบ้านนี่เอง นางจึงไปเจรจานัดแนะกับอีกฝ่าย เพียงพูดจากันไม่กี่คำ ก็ตกลงกันได้เรียบร้อย
การตามคนผู้นี้เข้าเมืองจึงสำเร็จลงอย่างง่ายดาย
“เจ้าจะไปซื้ออันใดในเมืองรึ?” พี่ไช่ประหลาดใจไม่น้อย เรื่องของเรื่องก็คือ นางรู้ว่าชีวิตของหลิ่วเจินนั้นย่ำแย่เหลือคณา จึงไม่น่ามีปัญญาซื้อหาอะไรในเมืองได้
หลิ่วเจินตอบกลับเรียบเรื่อย “ข้าเก็บสมุนไพรได้ เลยอยากลองเอาไปขายที่ร้านขายยาในเมืองดู รวมทั้งหาหมอไปรักษากู้หรูเฟิงด้วย”
พีไช่ให้ประหลาดใจสุดแสน “หาหมอใช้เงินมากเลยนะ ข้ามิได้บอกเจ้าหรือว่า ไม่ว่ากู้หรูเฟิงจะป่วยหรือไม่ เขาก็เป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ดี? หากเขาตายไป ภาระของเจ้าจะได้น้อยลง ไม่ดีหรือไร”
หลิ่วเจินมิคิดเลยว่าสตรีนางนี้จะกล่าววาจาแสนอำมหิตเยี่ยงนี้ออกมาได้ ไม่สงสัยแล้วที่ขาของกู้หรูเฟิงยังไม่ดีขึ้นสักที เมื่อนึกไปถึงเจ้าของร่างเดิมขึ้นมา หญิงสาวจึงนึกบ่นในใจ เฮอะ..กล้าที่จะรักแต่ไม่เคยพาหมอมารักษา หญิงสาวได้แต่นิ่วหน้า ไม่กล่าววาจาอันใด
พี่ไช่คุยจ้อเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทาง จนหลิ่วเจินเอือมระอา ดังนั้นเมื่อทั้งคู่บรรลุถึงตลาดอันเป็นจุดหมายปลายทางแล้ว หลิ่วเจินจึงหาเรื่องแยกตัว โดยอ้างว่าตนเองต้องเอาของไปขาย
ทันทีที่เข้ามาในร้าน นางจึงสอบถามเจ้าของร้านขายยา “ไม่ทราบว่า โสมภูเขานี่ราคาเท่าใด?”
เจ้าของร้านเงยหน้ามองสำรวจหลิ่วเจินซึ่งอยู่ในชุดที่เก่ามีแต่รอยปะชุน เมื่อเห็นว่ามิใช่คนมีเงิน จึงเอ่ยเสียงเนิบ “โสมภูเขาเป็นยาบำรุงขนานเอก ช่วยยื้อชีวิตคนได้ หากเจ้าต้องการเอาไปบำรุงร่างกายคนไข้ ไม่จำเป็นต้องใช้โสมภูเขาหรอก เพราะหากต้องการเอาไปยื้อชีวิตคน ในขณะที่ตนเองมิใช่คนมีเงินถุงเงินถัง เช่นนั้นแล้ว...ก็อย่าเผาเงินทิ้งไปเสียเปล่าเช่นนี้เลย”
เจ้าของกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเจือความหวังดีเล็กน้อย เขากล่าวออกมาตามตรง เพื่อให้อีกฝ่ายกระจ่างกันไปเลย แน่นอน ที่จริงเขาอาจขี้เกียจเสียเวลาเจรจากับหลิ่วเจินอีกด้วย เพราะถึงอย่างไร นางก็ดูไม่เหมือนคนที่มีเงินพอจะซื้อได้
ถึงอย่างไร การจะดูว่าลูกค้ามีเงินพอจ่ายหรือไม่นั้น ดูอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่ ก็ชัดแจ้งแก่ใจแล้ว
แม้จะโดนดูถูกดูแคลนอย่างหนัก หลิ่วเจินหาได้ปฏิกิริยาตอบโต้อันใด หญิงสาวล้วงโสมป่าสองต้นจากในแขนเสื้อออกมา เป็นโสมที่ต้นเล็ก บางและแห้งเหี่ยว ทว่าสรรพคุณยาของเจ้าสิ่งนี้ แสดงให้เห็นชัดเจน พวกมันคือสิ่งมีค่า
เมื่อโดนดูแคลนเช่นนี้ หลิ่วเจินก็มิได้ตอบโต้อันใด หญิงสาวล้วงโสมภูเขาสองต้นจากช่องเก็บในแขนเสื้อออกมา ซึ่งเป็นโสมต้นค่อนข้างเล็กบางและแห้งเหี่ยว ทว่าเจ้าสิ่งนี้ มองดูก็รู้ว่ามีสรรพคุณทางยาอย่างเอกอุ
“สิบตำลึง” เป็นราคาที่หลิ่วเจินประเมินเอง หลังเดินเยี่ยมชมร้านขายของในเมือง
ดวงตาเจ้าของร้านหรี่ลง เขาจับจ้องมันอีกครา พลางดมกลิ่นไปด้วย เขานึกไม่ถึงว่า จนป่านนี้ยังมีคนหาโสมภูเขามาให้เขาได้ เจ้าของร้านนิ่งคิดสักครู่แล้วพูดขึ้น “โสมภูเขาของเจ้านี่หาใช่ของดีเลย เพราะทั้งเหี่ยวและบาง นิ้วมือคนยังใหญ่กว่าอีก ข้าให้ราคาขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ”