ตอนที่แล้วบทที่ ๒
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ ๔

บทที่ ๓


ทวนเข็มนาฬิกา

โดย ศศิศิลป์

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

บทที่ ๓

เสียงโหวกเหวกเหมือนคนเถียงกันดังขึ้นทำเอาเธียร์ตื่นมาแต่เช้า บิดไปมา 2-3 หนพร้อมกับนึกถึงเรื่องที่จำได้

ฝันประหลาด

เขาคิดอย่างนั้น ฝันบ้าอะไรว่าย้อนเวลากลับไปตั้ง 20ปี คิดแล้วก็หัวเราะออกมา

แต่ยังไม่ทันจะได้สุข ก็ต้องตกใจกับบรรยากาศรอบๆห้องอีกครั้ง ที่นี่มันที่ไหนวะเนี่ย ไม่ใช่คอนโด ห้องก็ไม่คุ้นตา..

"อ้าว ตื่นแล้วหรอพี่.."

เสียงประตูและคนที่เดินเข้ามาทำเอาเขาตาเบิกกว้างอีกครั้ง

"คะ คุณ...ไม่...น นาย...คุณตุลย์" ตะกุกตะกักอีกรอบเพราะแปลว่าเรื่องทั้งหมด...

"ไม่ได้ฝัน...." เธียร์พึมพำ

"เป็นอะไรอีกแล้ว อย่าบอกนะว่าพี่จะเป็นลมหมดสติไปอีก..." คนตรงหน้าดูระแวง

"ไม่จริง...ไม่จริง..." พูดซ้ำไปซ้ำมา ตัวเขาสั่นพั่บๆ

"ใจเย็นๆ...พี่ใจเย็นๆ..." น้ำเสียงอ่อนโยนกับคนที่มานั่งข้างๆเตียงและสัมผัสมือที่ลูบไหล่เขาเบาๆเหมือนปลอบใจ นั่นทำให้เธียร์มองหน้าอีกคนนิ่ง...

ตุลย์มานั่งรออยู่ด้านนอกในชุดลำลองตามสมัยพร้อมกับโตและเต้พี่ชายอีกคน

"นี่เอ็งจะไม่มองว่าเขาบ้าหรือเสียสติบ้างหรอ จากที่เล่านี่ไม่มีอะไรปกติเลย.." เต้บ่นงึมงำ

"เห็นด้วย...จู่ๆ โผล่ออกมาจากที่มืดแล้วรถชน ตื่นขึ้นมาก็งกๆ เงิ่นๆ...ทำตัวประหลาด" โตเห็นด้วยกับน้องคนรองของเขา

"แต่เพื่อนข้าขับรถชนเขานะ..." ตุลย์ว่า เขากลัวจนต้องแสดงความรับผิดชอบอยู่นี่ไง

"ซวยชิบเป๋ง..." เต้ส่ายหน้า

ก่อนที่เสียงเปิดประตูจะดังออกมา เธียร์เดินออกมาในชุดของตุลย์ที่ดูจะพอดีตัว แต่เจ้าตัวกลับไม่มั่นใจเอาเสียเลย มันเหมือนชุดสมัยเด็กๆของเขา

"เอ่ออ..คือ..." ทำตัวไม่ถูกเมื่อมีผู้ชาย 3 คนนั่งมองอยู่เหมือนจับผิดระคนสงสัย

"นั่งนี่สิ.." ตุลย์ชวนให้อีกคนนั่ง พร้อมขยับเก้าอี้ข้างตัวให้

"ขอบใจ.." กล่าวเสร็จก็เห็นว่าทุกคนจ้องมองมาทางเขารอให้พูดอะไรสักอย่าง

"หวัดดีทุกคน เราชื่อเธียร์นะ..."

"รู้แล้ว ลองแนะนำตัวอย่างอื่นให้พวกเราฟังได้ไหม? " เต้คะยั้นคะยอด้วยสายตาก็จับผิด

"เราอายุ 25 จบตรีดิจิทัลอาร์ต ××× มา...ทำงานเป็นออแกไนซ์..." ทุกคนทำหน้างงงวย

"ไม่เคยได้ยิน.." เต้บอกแล้วหันมองหน้าพี่ชายและน้อง แต่ทุกคนก็ส่ายหน้าเหมือนกัน

"เล่าเรื่องที่จำได้ก่อนจะตื่นขึ้นมาได้ไหม...ว่าเกิดอะไรขึ้น ชีวิตก่อนหน้านี้...หรืออะไรที่ปะติดปะต่อกันได้..." โตเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล ถ้าหากความจำเสื่อมล่ะก็ น้องชายตัวดีกับเพื่อนอาจจะต้องติดคุกหัวโต

"อืม...ก็..." ทฤนห์เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟังตั้งแต่ตอนที่ขับออกมาจากค่ายเพลงนั้นและขับกลับไปก่อนจะชนจนกระทั่งตอนตื่นขึ้นมาเจอตุลย์

"ไหนเอ็งบอกว่าเขาเดินออกมาจากที่มืดวะ? " เต้ถามจี้น้องชาย

"ไม่ได้โกหก ก็พวกข้ากับเพื่อนไปซ้อมดนตรีกันแล้วก็ไปเที่ยวดูไฟคริสต์มาส ไอ้บ่วงบอกว่าตรงนั้นมีศาลศักดิ์สิทธิ์ไม่ไกล เลยชวนกันไปขอให้เราชนะงานประกวดดนตรี...แล้วตอนจะกลับซอยเปลี่ยวๆ พี่คนนี้ก็พุ่งออกมา..." ตุลย์เล่าอย่างจริงจัง เธียร์ได้ฟังมันครั้งแรกอย่างนั้นก็ขนลุกซู่..

"ศาล....ศาลนั่น ตอนที่รถชน เป็นทางแยกของหมู่บ้านที่มีศาล....ต้องเป็นที่เดียวกันแน่ๆ.." เริ่มรู้สึกมีหวังขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็เป็นจุดเดียวกัน!

"ไม่ใช่...ที่นั่นไม่มีหมู่บ้าน...มันเป็นชุมชนเก่าที่โดนรื้อย้ายไปหมดแล้ว มีบ้านไม่กี่หลัง มีศาลเก่าๆ ข้างต้นไม้วางอยู่ต้นเดียว.."

ไม่จริง สิ่งที่คนตรงหน้าบอกไม่ใกล้เคียงกับที่ทฤนห์พบ ศาลนั้นใหญ่และอลังการมาก คงได้รับการดูแลอย่างดีเลยล่ะ

เต้กับโตเริ่มทำหน้าสับสนกว่าเก่า ไม่รู้ว่าใครโกหกกันแน่

"ผมขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย...พวกคุณอาจจะหาว่าผมบ้า...แต่ผมไม่ใช่คนยุคนี้.." สิ้นเสียงคำนั้นทั้งบ้านก็เงียบกริบ

"หมายความว่ายังไง? " โตถาม

"วันที่ผมก่อนจะตื่นมาในโรงพยาบาลเป็นวันที่ 25 ธันวาคม ปีพ.ศ.2563...."

"ฮ่าๆๆๆ จะบอกว่ามาจากอนาคตหรอ ตลกชิบเป๋ง..." เต้ขำจนสำลักน้ำลาย โตและตุลย์แอบขำตามเล็กน้อย

"จริงๆนะ!! ผมรู้จักพวกคุณทุกคน! " เธียร์โพล่งออกมา ทำเอาทุกคนมองอย่างตั้งใจ

"ยังไง? " ตุลย์ถามลองเชิง อยากจะรู้ว่าคนตรงหน้ารู้อะไรบ้าง

"คุณชื่อตุลย์ อิษวัต นั่นคือชื่อที่ผมรู้จักคุณ เกิดเดือนตุลาเพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 38 ปีไปเมื่อเดือนตุลาคมนี้เอง ถ้างั้น 20ปีก่อน...อืม...ตอนนี้คุณอายุ 18 ปี คุณเป็นนักร้องนำวงปีนเกลียว คุณมีพี่ชาย 2 คน ชื่อโตกับเต้...แต่คุณเต้ผมไม่เคยเจอ แต่เคยเห็นจากภาพเวลามีบทความของบ้านคุณที่แชร์กันตามสื่อโซเชียล แม่คุณชื่อต๋อย เป็นครอบครัว ต.เต่า...ส่วนพ่อคุณผมไม่รู้จัก"

เธียร์ร่ายยาว เขาพูดเท่าที่รู้ ไม่ได้บอกไปว่าในโลก 20 ปี ข้างหน้าพ่ออีกฝ่ายจะเสียชีวิตไปแล้ว เพราะถ้าหากทุกคนตรงหน้ายังไม่เชื่อคงได้โดนไล่ออกจากบ้าน

"เฮ้ย..." 3 คนร้องตกใจ

"แต่เดี๋ยวนะ ตุลย์ไม่ได้ชื่ออิษวัษ มันชื่อตุลาต่างหาก.." โตแย้งข้อมูลทันที

"ไม่เคยเจอผม แต่บอกว่าเห็นผมตามบทความอย่างนั้นหรอ? หรือสี่ๆ โซเชิ่นอะไรนั่น..." เต้ทำหน้างงๆ แต่เธียร์ขำกับคำผิดๆ ถูกๆ เล็กน้อย

"ใช่ ในยุคของผม คุณตุลย์เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นนักร้องดัง คนก็สนใจประวัติครอบครัว..เขามีคนชื่นชอบเยอะแยะเลย" ทุกคนอึ้งไป แต่เต้ขำเล็กน้อย

"แล้วจะดังยังไง เพลงปีนเกลียวนี่อย่างเห่ยเลย เอาอะไรไปสู้กับเขาวะ" เต้แซวน้องชาย แต่ตุลย์เจ้าตัวเองกลับทำท่าทางเห็นด้วย ก็เพลงเขามันยังไม่เข้าที่เข้าทางอย่างที่พี่ชายว่า

"ปีนเกลียวเนี่ยนะกาก...." เธียร์ขมวดคิ้ว

วงระดับตำนานอย่างนั้น 20 ปีก่อนจะกากได้ไงวะ... ถ้าวงนี้กากเด็กๆรุ่นใหม่ในวงการก็ไม่ต้องเกิดกันแล้ว

"เอาเถอะ... จะยังไงก็ช่าง ข้าขอให้เขาอยู่ที่นี่ก่อนได้มั้ย อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีที่ไป..." ตุลย์บอกพี่ๆ

"ไม่เป็นไร...คือ อ หมายถึงว่ายังไงผมก็จะทำทุกวิถีทางให้ได้กลับไปในตอนที่ผมจากมา.." เธียร์บอก นั่นทำเอาเต้กุมขมับ

"เอาเถอะไอ้ตุลย์... เอ็งดูแลแล้วกัน.." โตบอก เขาค่อนไปทางสนใจอยู่หน่อยๆ ส่วนตุลย์ที่มีความหวังจากเรื่องที่ได้ฟังนั้นเชื่อเกือบเต็มร้อยไปแล้ว มีแต่เต้ที่มองว่ามันไร้สาระ

_________

นี่เป็นการออกมาข้างนอกครั้งแรกแบบเป็นทางการหลังจากที่ย้อนกลับมาในยุคนี้ เธียร์อยากจะถ่ายภาพไปทำสารคดีอะไรเทือกนั้น หรือ Vlog มันคงโด่งดังน่าดู

หรือไม่ก็อยากที่จะเอาไปทำบทความว่ามันบ้าแค่ไหนที่เขาย้อนกลับมาอยู่ในตอนนี้ อารมณ์มันโคตรจะตื่นเต้น

การนั่งรถเมล์ใน 20ปีก่อน ให้ตาย...รถมันดูใหม่กว่ายุคที่เขาจากมาเสียอีก หลายๆที่ที่รถเคลื่อนผ่าน เขาผ่านมาหลายครั้งแต่รอบนี้มันทำเอาเธียร์บอกไม่ถูก

สวยงาม...

ใจหาย....

ตื่นเต้น....

มีความสุข...

"คุ เอ่อ ตุลย์...มีสมุดสักเล่มมั้ย? " เขาเอ่ยขอระหว่างที่นั่งมองหลายอย่างจากวิวบนรถประจำทาง อย่างน้อยไม่มีมือถือก็ให้ได้ใช้สมุดจดและร่างอะไรคร่าวๆ ที่ได้เจอก็ยังดี

"ไม่มีหรอก..แต่ถ้าพี่อยากได้เดี๋ยวแวะซื้อใกล้ๆที่เราจะไป.." เด็กหนุ่มตอบก่อนรถจะหยุดลง และเพราะเขาเดินลงจากรถแบบไม่ระวัง ทำเอาตุลย์ต้องคว้าแขนไว้แล้วช่วยพาเดินลงมา

คนไม่เยอะ รถไม่ติดเท่า แต่มันสับสนเลยทำให้เขาดูป้ำๆเป๋อๆอย่างนี้ สองคนพากันเดินมาไม่ไกลก่อนจะหยุดอยู่ตรงมุมถนนหนึ่ง

"นั่นไง...ร้านนั้น" ตุลย์ชี้ไปทางร้านที่มีหนังสือและเครื่องเขียนขาย ข้างหน้ามีแผงหนังสือพิมพ์และหนังสืออีกหลากหลายประเภท

"ไม่มี 7-11 สินะ" เธียร์บ่นขำๆ พ่อค้าแม่ขายของช่วงสายดำเนินชีวิตไปตามยุค แต่ภาพมันน่ามองเหลือเกิน ข้างกันมีร้านโชว์ห่วยขายน้ำแบบที่เขานึกคิดถึง มันปรากฏอยู่ตรงนี้แล้ว ตู้ใสๆที่ด้านในมีขวดน้ำสีๆเรียงราย ขนมประเภทต่างๆถูกโชว์อยู่หน้าร้าน

"พี่อยากได้สมุดแบบไหนอะ? " ตุลย์ถามเพราะเขามัวแต่ยืนอ่านหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เพลินๆ

ก็ข่าวการเมืองและนายกรัฐมนตรีทำเขาสนใจ ...นายกคนนี้ปัจจุบันนั่งตำแหน่งประธานสภาในยุคที่เขาจากมา และแนวโน้มว่า ว่าที่ คนต่อไปของยุคนี้ทุกคนในยุคเขาก็รู้จักเป็นอย่างดี

"ยังไงก็ได้....เออ...เราไม่มีเงินนี่.." เธียร์ตบๆในกระเป๋า ส่วนตุลย์ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเลือกและจ่ายเงินค่าสมุดปากกาให้น้าชายเจ้าของร้าน

"อ่ะ...ซื้อให้ ไม่มีเงินนี่..." ตุลย์ยื่นมันให้เขา

"ขอบใจนะ..."

"ไม่เป็นไร เพราะอยากได้ความจริงจากพี่..."

"ความจริงอะไร? "

"พิสูจน์ให้เราเห็นหน่อย ว่าพี่มาจากอนาคตยังไง..." ตุลย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

"อืม แต่ขออย่างได้มั้ย...อย่าเรียกกันว่าพี่เลย" เธียร์รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ตุลย์แก่กว่าเขาตั้ง 10 กว่าปีเชียวนะ

"เอ้า ก็พี่เป็นพี่เราอะ จะให้เรียกว่าอะไร ตลกจริง.." ตุลย์ถาทด้วยรอยยิ้มจนตาหยี

"ก็เพราะเรามาจากอนาคตไง อายุน้อยกว่าตั้งเป็นรอบๆ เอาจริง...ตอนนี้เราควรอายุแค่ 5 ขวบเอง.." เธียร์นับนิ้ว

"อืมม...งั้นจะเรียกว่าอะไร? "

"เราเหมือนเดิมนี่ดีละ... เรากับนาย...ไม่ๆ..." เขาคำนึงถึงอนาคตไปด้วย เรียกว่านายนี่มันก็ยังจะดูปีนเกลียวสมชื่อวงของคนตรงข้ามจริงๆ มันควรใช้กับคนอายุน้อยกว่าหรือเท่ากันสิ ตุลย์แก่กว่าเขาเป็นรอบๆ

อีกฝั่งรอฟังอย่างตั้งใจ

"คุณมั้ย..." เธียร์ถาม

"โถ่ เราไม่รู้หรอกนะว่าต่อไปเราจะเป็นใคร แต่เรียกเด็ก 18 ว่าคุณเนี่ยมันจะดูยกย่องไปหรือเปล่า.." ตุลย์ไม่ชินเอาเสียเลย

"ก็ปกตินะ..." ในยุคเขามันโคตรจะปกติ

"ไม่เอาอะ ลองคิดมาใหม่สิ.."

"งั้นยู ไม่ดิ เอาคำไทย...เตงหรอวะ ฮ่าๆ ตลกชิบ... อืมม เธอกับเรา...ไม่ๆ เอาเป็น..."

"อันนี้ก็ได้นะ แต่ไม่ดูแต๋วไปใช่มั้ย? " ตุลย์ถาม

"ห้ะ อันไหน เตงหรอ? รู้มั้ยว่ายุคเราเขาไม่มองว่าแต๋วหรืออะไรแล้วนะ มันเป็นคำที่ยังไงอ่ะ ไม่ให้เกียรติอีกเพศอะ แต่เออช่างเถอะ..." เธียร์ถามติดตลก แต่ก็อยากอธิบายไปด้วย

ไม่ชอบคำนี้เลย ดูแต๋ว..โดยเฉพาะคนที่ก็ถือเป็น lqbtq เสรีทางเพศแบบเขา ทำไมต้องใช้คำแบบนั้นกันนะ...

"หมายถึงคำว่าเธอกับเราน่ะ เหมือนนายกับเราดีนะ แต่มันได้อยู่ใช่มั้ย? " ตุลย์ถามอย่างเริ่มกังวล เพราะโดนทฤนห์เหมือนแอบดัไปเมื่อครู่แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก

"ฮ่าๆ ได้สิ...เอาอันนี้แหละ.." เธียร์หัวเราะตาแทบปิด

"งั้นเธอตามเรามานี่.." ตุลย์เรียกเขาให้เดินตามไปในตรอกซอกซอยเสียลึกจนจำทางเข้าแทบไม่ได้ ทฤนห์เผลอคิดว่าถ้าเอาเขามาทิ้งก็คงกลับไม่ถูกแล้วล่ะ ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่ห้องแถวแห่งหนึ่ง

เด็กน้อยของยุคนี้เดินนำเขาไปที่ห้องหนึ่งที่มีเสียงกลองดังลอดออกมา เจ้าตัวเปิดประตูเข้าไปดูท่าทางคุ้นเคยกับที่นี่

มันคือห้องซ้อมดนตรี....

"อ้าว ไอ้ตุลย์เอ็งพาใครมาด้วยวะ.." หนุ่มน้อยคนนึงถามขึ้นมา ส่วนอีกสองคนเขาจำกันได้ดีจากที่พบเมื่อวันก่อน

"เฮ้ย ชัดเจนเลยว่ะ!! พี่คนนี้ไงไอ้ชาติที่ไอ้ก่ะ-หล่ง-ก๊งเพื่อนเอ็งมันขับรถชนวันก่อน.." มือกลองพูดขึ้น เธียร์ขำคำศัพท์ที่ได้ยิน

"จริงดิ? แล้วพี่เขามาทำไม มีตำรวจมาด้วยเปล่า มาจับเอ็งแน่ไอ้อ๋อง ขโมยรถพ่อมาชนเขา ดีนะวันนั้นข้าไม่ได้ไป!! " ชาติลุกวิ่งมาดูนอกประตู

"เลิกเกรียนได้แล้ว... นี่เธียร์ ข้าพามาด้วยเพราะตั้งแต่รถชนพี่เขาจำทางกลับบ้านไม่ได้..." ตุลย์โกหก หันทำหน้านัดกันกับเธียร์อย่างรู้กัน

"อืมใช่...วันนี้ขอมาดูซ้อมด้วยคนนะ.." เธียร์ยกยิ้มแล้วเออ-ออตามน้ำ

"แล้วไป.. จิตตกเลยกู เราชื่ออ๋อง เป็นคนที่ชนพี่วันนัั้นเอง ขอโทษอีกทีนะ" อ๋องว่า

"ส่วนเราชื่อบ่วง ไอ้นั่นชื่อชาติ.." คนหน้าเข้มบอก

"อืม แต่ยังไงไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นะ เพราะยังไง-" ยังไม่ทันพูดจบก็โดนขัดขึ้น...

"เรียกพี่นั่นแหละ อย่าให้มันเรียกอย่างอื่นเลย พวกนี้มันยิ่งเกรียนๆ ชอบปีนเกลียวอยู่" ตุลย์จับแขนไว้ไม่ให้เธียร์พูดเรื่องมาจากอนาคตนั่น

"อย่าเล่าเรื่องนั้นเลย.." ตุลย์กระซิบ ซึ่งทฤนห์ก็พยักหน้าเข้าใจ

"อะไรของเอ็งวะ...เออมา ซ้อมกันเลย เสือกมาช้าด้วยนะ! " บ่วงชี้หน้านักร้องนำ

ก่อนที่เธียร์จะจับจองที่นั่งมุมหนึ่งของห้อง มองบรรยากาศตึกนี้ มันดีกว่าจะเป็นห้องซ้อมเสียอีก

เด็กวัยรุ่นของยุคกระโดดหยองๆ บ่วงเล่นกลอง ชาติกีตาร์ อ๋องเล่นเบส และตุลย์ร้องนำกับกีตาร์

วงปีนเกลียวกำลังเล่นดนตรีไปในแบบที่เธียร์ไม่คุ้นชิน มันเป็นแนวเพลงแบบเก่าๆ ร๊อกก็ไม่เชิง.. ป๊อปก็ไม่ใช่.. มันอินดี้ มันทะแม่งๆ

"หยุดๆ.." ตุลย์กำมือชูขึ้นเป็นสัญญาณ

"ข้าก็ว่าไม่ดีว่ะ มันจิ๊กกะโหล" ชาติบ่น

"เฮ้อ..." ตุลย์เดินออกมานั่งพัก เด็กหนุ่มคอตก

"ใจเย็นๆ ยังมีเวลาอีกนี่..." เธียร์พูดให้กำลังใจ

"พี่ว่าไงอ่ะ ไอ้เพลงนี้มันดีเปล่า มันฟังได้มั้ย? ขอให้บอกความจริง.." บ่วงถาม

"เอาจริงๆ มันยังไม่ใช่ตัวตนหรือเปล่า.." เขาว่านี่มันยังไม่ใช่ทางของวง มันไม่สื่ออะไรสักอย่าง ไม่ใช่แนวเพลงของปีนเกลียวที่เคยฟังมา

"แล้วต้องทำไงอ่ะ พี่แนะนำพวกเราหน่อย" อ๋องบอก พวกเขาซ้อมกันเอง บางทีความเห็นของคนนอกก็สำคัญ

"เอางี้ ก็ลองๆ ทำให้มันเป็นตัวของตัวเองดิ ชื่อวงว่าไงก็ใส่ไปให้เต็มข้อตามนั้นเลย เนื้อเพลงก็ต้องแต่งใหม่ ดนตรีก็เอาแบบกวนๆ แบบเออ พวกเรามันปีนเกลียวโว้ยย!!" เธียร์พูดเชียร์และปลุกใจ พยายามชี้ไปในทิศทางของวงที่เขาเคยรู้จักมา

"เฮ้ยย.." แล้วจู่ๆเธียร์ก็ต้องเผลออุทานออกมา คิดได้ว่า...

อย่างนี้เขาจะไม่เปลี่ยนอดีตหรอวะ แล้วอนาคตอ่ะจะเปลี่ยนตามไหม

...ชิบหายแล้ว

"เป็นไรพี่" ชาติทำหน้างง

"เปล่าๆ เอาเป็นว่าแนะนำมากไม่ได้หรอก เป็นตัวของตัวเองแล้วกัน.." เขาจะไม่แตะเส้นเรื่องอดีตมากนัก เขาอาจจะทำให้มันเกิดอะไรขึ้นได้

"ข้านึกออกแล้วว่ะ เพลงที่พวกเราเคยเล่นกันตอนนั้นไง..." ตุลย์ตาเป็นประกาย

"ยังไงวะ อันไหนอ่ะ เล่นกันเป็นร้อยเพลง..." อ๋องบ่น คนนี้ดูคุณหนูสมกับที่พ่อมีรถยนต์ให้มันขโมยมาชนเขา

เขาไม่ค่อยได้ติดตามคนอื่นๆ ในวงเลยเพราะในยุคนั้นทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ที่เจอล่าสุดวันแฟนมีตของตุลย์ก็ไม่ได้สังเกตด้วยสิ

ตุลย์วิ่งไปยืนหน้าไมค์ ก่อนจะเล่นกีตาร์เป็นทำนองหนึ่งออกมา คนอื่นๆกระตุกยิ้มอย่างนึกได้ ก่อนจะบรรเลงตาม

เนื้อเพลงค่อยๆ เปล่งออก มาสะดุดแก้กันบ้าง ส่วนเธียร์นั้นนั่งยกยิ้ม เขาเขียนเนื้อเพลงมันลงไปก่อนตั้งแต่วงยังซ้อมเพลงก่อนหน้ากันแล้ว

เนื้อเพลงพูดถึงความซนและเกเรของวัยรุ่น ความไม่กลัวต่ออะไร ความเซี้ยว เพลงแรกที่ทำให้ปีนเกลียวดังขึ้นมาจากงานประกวดวงดนตรี

เพลง..."เดี๋ยวจะโดน"

เมื่อเล่นจนจบทุกคนก็เฮกันใหญ่...

"โคตรจ๊าบว่ะ ชนะชัวร์ ยังไงเราก็ชนะแน่ๆ..." บ่วงกับอ๋องดีใจกันใหญ่ เธียร์ยกยิ้มชูนิ้วโป้งให้ตุลย์ที่ยกยิ้มเชิงขอบคุณฝากกลับมา

ส่วนชาติที่มานั่งพักกินน้ำพร้อมมองสายตาก็เลิกคิ้วแปลกใจ ทำไมเธียร์ถึงมีเนื้อเพลงนั่นในสมุดจดเล่มนั้น...เขาแอบเห็นมัน จะว่าแกะจากที่ร้องเมื่อกี้ก็ไม่ได้ เพราะเขาเห็นอีกคนเขียนไปก่อนหน้านั้นเสียอีก ...

ชาติมองเธียร์อย่างสงสัย...

•••••••••••⏱•••••••••••

๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓

ตอนที่แล้วบทที่ ๒
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ ๔
แบ่งปัน
สวัสดีค่า สำหรับใครที่เข้ามาอ่านงานเรา ไม่ต้องคอมเม้นท์เราก็ได้ เข้ามาติดตามกันก็ชื่นใจแล้ว จะพยายามอัพเดทผลงานเรื่อยๆเลยนะ ติชมอยากให้เปลี่ยนแปลงตรงไหนบอกได้เลยพร้อมพัฒนาแก้ไขให้ทุกคน เราตั้งใจเปลี่ยนนามปากกาใหม่เป็น ศศิศิลป์ ศศิ ที่แปลว่าดวงจันทร์ และศิลป์ ที่หมายถึงศิลปะ เพราะส่วนตัวเราชอบคิดเรื่องที่จะแต่งในตอนกลางคืน เกือบทุกเรื่องจะเขียนจบในเวลาที่ฟ้ามืดแล้ว ศิลปะทางภาษาของเรามักจะทำงานในตอนกลางคืนว่างั้นก็ได้ ยังไงฝากติดตามกันด้วยนะ ศศิศิลป์
0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด