ตอนที่แล้วบทที่ 49 เดินทอดน่องอย่างเชื่องช้า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 51 หมอเทวดาแห่งหนิงไห่

บทที่ 50 เมืองหลิวเฉออันแสนวุ่นวาย


หลังจากที่เย่โม่จัดการโจรคนสุดท้ายจนสลบไป  เขาก็หันกลับมาพูดกับคนขับรถเสี่ยวหยู  “นายมาช่วยกันหน่อย ลากคนพวกนี้ให้ที”

“ฉันช่วยเอง”  เซียวเล่ยรีบพุ่งเข้าไปหาทันที  ใบหน้าของเธอแดงก่ำ  ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่หายตื่นเต้น  เธอราวกับได้พบเจ้าชายขี่ม้าขาวในนิทานที่โผล่มาช่วยชีวิตของเธอเอาไว้  มันคล้ายกับความฝัน…แถมยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกะทันหันเสียด้วย

จัวอ้ายกั๋วใจเย็นลงแล้ว  เขาแอบยินดีในใจว่าตัวเองเลือกคนได้ฉลาดจริงๆ  เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่   ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาจะต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเย่โม่ให้จงได้  มีความเป็นไปได้ว่าเย่โม่อาจจะเป็นลูกศิษย์ของผู้ฝึกยุทธในตำนาน  ถึงเขาจะได้ยินมาว่าที่ปักกิ่งเองก็มีตระกูลผู้ฝึกยุทธอยู่บ้าง  แต่ตระกูลเหล่านี้นั้นเดิมทีลึกลับยากจะพบเห็น  พวกเขาไม่มีทางออกมาสู่โลกภายนอก  หรือมาเป็นนักกีฬาอะไรแบบนั้นแน่

แต่เขาก็ยังได้ยินมาว่าในตระกูลผู้ฝึกยุทธเหล่านี้...มีบางตระกูลที่จะคัดเลือกหัวกะทิเพื่อเข้าร่วมกับหน่วยงานพิเศษของประเทศ  ซึ่งหน่วยงานพวกนี้จะขึ้นตรงกับประเทศเท่านั้น  แม้แต่เหล่าผู้นำทั้งหลายยังไม่มีโอกาสจะได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานพิเศษนี้เลย

เย่โม่มองเซียวเล่ยที่วิ่งตรงเข้ามาด้วยความยินดีอย่างประหลาดใจ  เขาส่ายหัวด้วยอาการพูดไม่ออก   คิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วจริงๆ  จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเธออีก  เย่โม่แบกโจร 2 คนที่ยังสลบอยู่ไปยังป่าข้างถนน

คนขับรถเสี่ยวหยูเองก็ลากอีก 2 คนตามเย่โม่ไปเช่นกัน  เย่โม่ทิ้งพวกโจรไว้ในป่า  เซียวเล่ยที่เห็นเย่โม่ไม่สนใจตัวเองก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย  ถึงแม้ว่าเธอจะออกแรงตั้งมากแต่ก็ลากโจรคนหนึ่งตามเย่โม่ไม่ทันอยู่ดี   จนสุดท้ายเสี่ยวหยูต้องมาช่วยเธอลากไป

หลังจากโจรทั้ง 7 คนถูกลากเข้ามาตรงนี้แล้วเย่โม่ก็หันไปพูดกับเสี่ยวหยู  “พวกนายไปรอบนรถก่อน เดี๋ยวผมตามไป”

รอคนที่เหลือออกไปจนหมด  เย่โม่ถึงได้เตะไปยังโจรคนหนึ่งที่นอนอยู่เพื่อปลุกให้ตื่น  โจรพวกนี้มาดักทางปล้นอยู่ที่นี่  อีกทั้งส่วนมากยังเป็นคนเวียดนามอีกด้วย  เย่โม่เตะโจรทั้ง 7 คนจนตื่นขึ้นมาแล้วถามถึงรังของพวกมัน  ได้ความว่ารังของพวกมันอยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลิวเฉอ  ไม่ต่างจากที่เสี่ยวหยูพูดไว้ว่าเดิมทีพวกมันมีกัน 13 คน  ตอนนี้เหลือเพียง 7 คนนี้เท่านั้น

ทีแรกเย่โม่วางแผนว่าหลังจากไปถึงเมืองหลิวเฉอเขาจะทำลายรังของพวกมัน  เขาไม่ชอบทำอะไรค้างๆ คาๆ  แต่ในเมื่อที่รังของพวกมันไม่มีคนอยู่  เขาเองก็ไม่มีแก่ใจจะไปทำลายเหมือนกัน

เย่โม่จัดการโยนศพของพวกมันทิ้งธารน้ำแถวภูเขา  เขาค้นเจอเงินเวียดนามจำนวนหนึ่งจากศพเหล่านั้น  ซึ่งเย่โม่ไม่ต้องการเงินพวกนี้แม้แต่น้อย  เขารู้ว่าเงินพวกนี้มีค่าน้อยกว่าเงินคนตายเสียอีก

เย่โม่ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้เป็นโจรปล้นมานมนาน  เหตุใดถึงได้จนขนาดนี้  พูดได้ว่าพวกเขาไม่มีของมีค่าติดตัวเลยสักชิ้นเดียว

ตอนที่เย่โม่เดินกลับมาที่ถนนบนภูเขานั้น  เสี่ยวหยูและจัวอ้ายกั๋วก็จัดการเคลียร์สิ่งกีดขวางถนนออกไปแล้ว  ทั้ง 3 คนนั่งอยู่บนรถรอเย่โม่อยู่  ที่เหนือความคาดหมายของเย่โม่ก็คือหลังจากที่เขาขึ้นรถ  ไม่มีใครถามสักคนว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจรพวกนั้น

“ฉันไม่ต้องการใช้เงินพวกนี้  โจรพวกนั้นก็เป็นนายที่ไล่ไป  เงินนี้ฉันให้นาย”  เซียวเล่ยหยิบเงินห้าหมื่นหยวนที่จัวอ้ายกั๋วให้เธอไว้ใช้ออกมา

เย่โม่ดันมือเซียวเล่ยออกไป  “ไม่จำเป็น  เก็บเงินพวกนี้ไว้เถอะ  บอสจัวเชิญผมมา  มีคนจ่ายเงินผมอยู่แล้ว  อีกอย่างเพื่อนคนนั้นก็ทิ้งเธอไปแล้ว…ถือเสียว่านี่เป็นเงินชดเชยให้เธอก็แล้วกัน

“เฮอะ!  คนแบบนั้นฉันไม่รู้จักหรอก  ไอ้บัดซบนั่น...”  เซียวเล่ยอยากจะพูดอะไรต่อ  แต่เวลานั้นเองเย่โม่ก็บอกให้เสี่ยวหยูออกรถได้

จัวอ้ายกั๋วรีบกล่าวขอบคุณเย่โม่  “คุณชายเย่  ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคดีจริงๆ ที่มีคุณอยู่ด้วย  ถ้าไม่ใช่เพราะคุณล่ะก็ครั้งนี้พวกเราคงแย่แน่ๆ”

ที่จัวอ้ายกั๋วพูดเป็นความจริง  ในเหตุการณ์นี้ถ้าเขาไม่ได้เจอกับเซียวเล่ยล่ะก็  บางทีเขาอาจจะยอมเสียเงินแค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้นก็จบ  แต่ในเมื่อได้พบกับเซียวเล่ย  โดยนิสัยของจัวอ้ายกั๋วแล้ว…เขาไม่มีทางยืนมองเธอถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน  ถ้าต้องเกิดการปะทะกันโดยที่ไม่มีเย่โม่อยู่ด้วยล่ะก็  คงจะสามารถจินตนาการถึงผลลัพธ์ได้ไม่ยาก

เย่โม่โบกมือ  “บอสจัวเกรงใจเกินไปแล้ว  นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  อีกอย่างก็เป็นเรื่องที่พวกเราตกลงกันแต่แรกแล้ว  ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ต้องลำบากเชิญผมมาหรอก”

เมื่อได้ยินคำของเย่โม่  ในใจของจัวอ้ายกั๋วก็ผ่อนคลายลง  เขาพูดยิ้มๆ  “ผมเพียงแค่แก่กว่าไม่กี่ปีเท่านั้น  ถ้าคุณชายเย่ไม่ว่าอะไร  ก็เรียกผมตรงๆ ว่าพี่จัวได้เลย  ผมก็จะเรียกคุณว่าน้องเย่เช่นกัน”

“ได้สิ”  เย่โม่พยักหน้าเห็นด้วย  จัวอ้ายกั๋วถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง  เป็นคนที่คบหาด้วยได้

เซียวเล่ยถามชื่อของเย่โม่เอาจากจัวอ้ายกั๋ว  เธอรู้สึกว่าชื่อ ‘เย่โม่’ นั้นคุ้นหูอยู่บ้างเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน  แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ออก

“คุณนักข่าวเซียว...หลิวเฉอเป็นเมืองเล็กๆ บริเวณชายแดน  การปกครองถือได้ว่าวุ่นวายที่สุด  เป็นเมืองที่เชื่อมระหว่าง 3 ประเทศ  ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

ความคิดของเซียวเล่ยถูกขัด  เธอพูดออกมาอย่างจนใจ  “เพราะฉันได้ยินมาว่านักท่องเที่ยวที่มากุ้ยหลิน  หลายคนหายสาบสูญใกล้ๆ กับสถานที่ท่องเที่ยวเลยจะมาสืบข่าวเสียหน่อย  พอมาที่นี่ถึงได้รู้ว่าคนที่หายสาบสูญส่วนใหญ่คือคนที่เดินทางไปหลิวเฉอ  ฉันจึงอยากจะไปสำรวจที่หลิวเฉอ  ถ้าไม่ได้พวกคุณล่ะก็ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้  ต้องขอบคุณจริงๆ”

เย่โม่แอบยิ้มขำ  นักข่าวสาวคนนี้จะอ่อนประสบการณ์เกินไปแล้ว  เธอคงจะเคยชินกับเมืองใหญ่เกินไปจนกระทั่งคิดว่าแค่ควักบัตรนักข่าวยื่นให้ดู  โจรพวกนั้นจะยอมง่ายๆ  นี่ทำให้เย่โม่หมดคำพูดจริงๆ

จัวอ้ายกั๋วเองก็หมดคำพูดเช่นกัน  เขารู้จักเซียวเล่ย  2 ปีที่ผ่านมานี้เธอถือว่าเป็นนักข่าวมาแรงมีชื่อเสียง  แต่เขากับเธอก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยอะไรกัน  ดังนั้นจัวอ้ายกั๋วจึงไม่อาจจะไปชี้หน้าตักเตือนเซียวเล่ยได้

เซียวเล่ยมองสีหน้าของคนอื่นๆ แล้วก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่  แต่เธอก็ไม่อาจจะโต้แย้งอะไรพวกเขาได้  หลังจากได้ผ่านประสบการณ์โดนปล้นกับตัวเองมาแล้ว  เซียวเล่ยจึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตัวเองนั้นอ่อนต่อโลกแค่ไหน  ตอนแรกที่เธออยากจะมากุ้ยหลินก็มีหวังเฉียนจุนมาเป็นเพื่อนเธอ  กระทั่งเอารถเมอร์เซเดสจากกุ้ยหลินเพื่อจะส่งเธอถึงหลิวเฉอ

รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีของหวังเฉียนจุนทำให้คนอื่นๆ รู้สึกดีต่อเขา  ซึ่งทีแรกเธอเองก็รู้สึกดีต่อเขาเช่นกัน  คาดว่าอีกไม่นานเธออาจจะตกลงคบเป็นแฟนกับเขาก็ได้  แต่เมื่อเกิดวิกฤตขึ้นมาเซียวเล่ยจึงได้เข้าใจ   หน้าตาหล่อเหลานั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิสัยแม้แต่น้อย

เย่โม่ไม่ได้พูดอะไรอีก  เขาสังเกตไปรอบทิศทาง  ในใจรู้สึกชอบที่นี่มาก  ทุกแห่งเต็มไปด้วยป่าเขารวมถึงผู้คนก็น้อย  เหมาะแก่การฝึกฝนของเขามาก  ต่อให้ถูกตระกูลซ่งไล่ตามมาถึงที่นี่เขาก็มีวิธีหนีอยู่  แน่นอนว่าเย่โม่ไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน  คนที่เก่งกว่าเขายังมีอยู่อีกมาก  อีกอย่างพวกอาวุธร้อนเช่นปืนก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้จะต่อกรด้วยได้

จัวอ้ายกั๋วและเซียวเล่ยพูดคุยกันอย่างสนิทสนม  แต่เซียวเล่ยก็มักจะเหลือบสายตามองเย่โม่อยู่บ่อยครั้ง  เธอเห็นว่าเย่โม่ไม่ได้มีท่าทีอยากจะพูดคุยด้วยเลย  แถมดูเหมือนจะหลับตาทำสมาธิอยู่เสียด้วย  เซียวเล่ยจึงล้มเลิกความคิดที่จะพูดคุยกับเย่โม่ไป

จากตรงนี้ที่จริงก็อยู่ไม่ไกลจากหลิวเฉอแล้ว  ผ่านไป 30 นาที  รถออร์ดี้ของพวกเย่โม่ก็ขับเข้าไปในสถานที่หนึ่งที่คล้ายกับป้อมปราการแต่ก็ไม่ใช่ป้อมปราการเสียทีเดียว  คล้ายกับเมืองเล็กแต่ก็ไม่ใช่เมืองเล็กเช่นกัน

หลังจากขับมาข้างในหลิวเฉอแล้วจัวอ้ายกั๋วก็หันไปพูดกับเซียวเล่ย  “ที่นี่คือหลิวเฉอแล้ว  พวกเราจะไปทำธุระกัน  คาดว่าพรุ่งนี้ถึงจะออกจากที่นี่ได้  นักข่าวเซียว…คุณล่ะ?  จะไปกับพวกเราหรือว่าจะไปคนเดียว?”

เซียวเล่ยไม่ได้ตอบกลับ  ตรงข้างหน้าเธอมี 2 แก๊งกำลังต่อสู้กันอยู่  ทุกคนล้วนมีอาวุธทั้งท่อนไม้หรือไม่ก็มีดกำลังฟาดฟันกันอยู่

ผ่านไปไม่นานก็มีคนนอนกองเลือดท่วมตัว  ผ่านไปอีกสักพักก็มีกลุ่มคนที่คล้ายจะเป็นผู้รักษาความสงบของเมืองตรงเข้ามา  แก๊งที่ต่อสู้กันอยู่ต่างวิ่งหนีแยกย้าย  คนเจ็บก็ถูกพาหนีไปด้วย  แต่ผู้รักษาความสงบกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ไล่ตามแต่อย่างใด  แต่ดันหันหลังกลับทันทีเมื่อเห็นว่าแยกย้ายกันแล้ว

เซียวเล่ยมองเหตุการณ์นี้ด้วยความหวาดกลัว  เธอคิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ  นี่ทำให้เธอเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าความคิดตอนแรกของเธอนั้นอ่อนประสบการณ์แค่ไหน

เหมือนจะสังเกตเห็นถึงความประหลาดใจของเย่โม่และเซียวเล่ย  ถึงแม้เขาจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันแต่ก็เข้าใจเรื่องราวอยู่บ้าง  จัวอ้ายกั๋วจึงอธิบายขึ้นมา

“หลิวเฉอนั้นเดิมทีก็เป็นเมืองอนาธิปไตย (ไร้การปกครอง) อยู่แล้ว  ที่นี่แต่เดิมนั้นปกคลุมด้วยป่า   ประมาณยุค 70 นั้นเกิดสงครามขึ้น  นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่นี่ค่อยๆ มีพวกผู้อพยพมารวมตัวกัน  คนพวกนี้มาจากหลายประเทศรอบข้าง  พวกเขาสร้างเมืองที่มีลักษณะคล้ายป้อมปราการ  ที่พวกเราเห็นผู้รักษาความสงบเมื่อครู่นั่นก็เป็นเพียงองค์กรชั่วคราวเท่านั้น  ดังนั้นจึงไม่มีที่ไหนจะวุ่นวายไปมากกว่านี้แล้ว”

“ฉันว่าฉันไปกับคุณลุงจัวดีกว่า”  เซียวเล่ยเองก็ไม่กล้าจะทำตัวเป็นนักข่าวผู้กล้าหาญลุยเดี่ยวเช่นกัน   เธอเลือกที่จะอยู่กับพวกเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด