ตอนที่แล้วบทที่ 50 เมืองหลิวเฉออันแสนวุ่นวาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 52 สถานที่อันห่างไกลไร้ผู้คน

บทที่ 51 หมอเทวดาแห่งหนิงไห่


เมื่อเข้ามาในหลิวเฉอแล้ว  รถออร์ดี้ของพวกเย่โม่ก็มาหยุดตรงหน้าบ้านที่สร้างด้วยศิลาแห่งหนึ่ง  สิ่งที่ทำให้เย่โม่สนใจก็คือบ้านศิลาแห่งนี้สร้างขึ้นมาได้แปลกตาเอามากๆ  มันถูกสร้างเป็นรูปทรงครึ่งวงกลม  ดูแล้วมีส่วนคล้ายกับเยิร์ต (กระโจมเคลื่อนย้ายได้ของชาวเอเชียกลาง ชาวมองโกลชอบใช้กระโจมชนิดนี้)  มีหน้าต่างขนาดกะทัดรัดเหมาะกับผนังศิลา

จัวอ้ายกั๋วไม่อนุญาตให้เซียวเล่ยและเสี่ยวหยูเข้าไปด้วย  มีเพียงเย่โม่ที่เขาพาเข้าไปในบ้านหินด้วยเท่านั้น

พื้นที่ข้างถือว่าไม่เล็ก ตรงส่วนกลางมีคนอยู่ถึง 20 กว่าคน  ซึ่งคนพวกนี้มีร่างกายกำยำแข็งแรง   รวมทั้งมีรังสีฆ่าฟันติดตัวด้วย  ต่อให้ไม่รู้มาก่อนแต่เมื่อได้เจอคนพวกนี้ก็จะรู้แน่นอนว่าเป็นพวกเดนตาย  ในคนเหล่านี้...นอกจากชายผมยาวหน้าตาดุดันที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหัวหน้าแล้ว  ชาย 2 คนที่ยืนอยู่ข้างเขามีปืนอยู่ในมือ   ส่วนคนที่เหลือก็ล้วนมีมีดดาบอยู่ในครอบครองกันทั้งนั้น

เมื่อเห็นจัวอ้ายกั๋วและเย่โม่เดินเข้ามา  ชายผมยาวที่นั่งอยู่ก็ไม่ได้พูดอะไร  ตรงประตูมีชายหน้าตาดุดัน 2 คนตรงเข้ามาเพื่อตรวจอาวุธบนตัวของเย่โม่และจัวอ้ายกั๋ว  แต่เมื่อทั้ง 2 เดินมาถึงด้านข้างมือของเย่โม่ก็คว้าจับข้อมือของพวกเขา  ราวกับไก่ตัวน้อยที่ถูกจับโยนออกไป...ชายทั้ง 2 ถูกจับโยนพุ่งออกไปนอกประตูราวกับลูกกระสุนด้วยความแม่นยำ

คนอื่นที่ถืออาวุธอยู่เมื่อเห็นดังนั้นก็ต่างยกอาวุธในมือขึ้นมา  พวกเขารอคอยคำสั่งจากหัวหน้าเท่านั้น   ชายร่างกำยำผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเห็นเย่โม่ยกลูกน้องร่างใหญ่ของเขาโยนออกไปอย่างง่ายดายแบบนั้น  แววตาของเขาก็ปรากฏร่องรอยตื่นตระหนกแวบผ่าน  ทว่าเขาก็ตั้งสติได้ในทันทีแล้วรีบโบกมือเพื่อห้ามไม่ให้ลูกน้องของตนลงมือ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับชาย 2 คนข้างๆ  “พวกนายไปก่อน  ส่วน ‘หิน’ กับ ‘เงา’ อยู่ที่นี่”

ผ่านไปสักพัก  ภายในห้องนอกจากชายหัวหน้ากับลูกน้องอีก 2 คนแล้ว  ก็เหลือเพียงจัวอ้ายกั๋วและเย่โม่เท่านั้น

ชายหัวหน้าผมยาวเข้าใจดี  ชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนที่พวกเขาควรจะไปหาเรื่อง  ถึงแม้พวกเขาจะมีคนมากกว่าก็ไม่ใช่คู่มือของชายหนุ่มคนนี้  กับคนที่สามารถโยนชายร่างยักษ์ 2 คนได้สบายๆ แบบนี้  มันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้  ไม่สู้เขาทำเป็นใจกว้างเสียจะดีกว่า  อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้คิดจะทำอันตรายจัวอ้ายกั๋วอยู่แล้ว  เขารีบประกบหมัดกับฝ่ามือทำท่าคาราวะ  “บอสจัว!  ดีใจที่ได้เจอกัน!  แล้วท่านนี้คือ...”

พูดจบเขาก็หันไปมองเย่โม่

จัวอ้ายกั๋วรู้สถานการณ์ดี  คนที่ชายคนนี้หวาดกลัวก็คือเย่โม่ไม่ใช่เขา  จัวอ้ายกั๋วจึงรีบโบกไม้โบกมือทันที  “ประธานฟางไม่ต้องสนใจมากหรอก  คนๆ นี้เป็นเพื่อนผมเอง  เขาไม่ชอบพูดมาก  เพียงแต่กลัวว่าผมจะเกิดอันตรายจึงได้ตามเข้ามาด้วยแบบนี้  ผมเตรียมของเอาไว้แล้ว  แล้วทางประธานฟางล่ะ?”

ประธานหนุ่มผมยาวที่ชื่อฟางมองเย่โม่ด้วยความระแวงแวบหนึ่ง  เขาหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าหนัง

เพียงแค่กล่องไม้นี้ถูกหยิบออกมา  เย่โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณเหนือธรรมดาที่แผ่ออกมาแล้ว  นี่ต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่  ถึงกับมีร่องรอยของพลังปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์ได้แบบนี้  แววตาของเย่โม่ส่องประกาย   เขารู้สึกได้เลยว่าของสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับเขา

“คุณจัวเอาของที่เตรียมไว้ให้ผมดูหน่อย”  ประธานฟางที่หยิบกล่องไม้ออกมานั้นหันมามองจัวอ้ายกั๋ว

จัวอ้ายกั๋วยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเย่โม่ก็ลงมือเสียแล้ว  กล่องไม้ในมือของประธานฟางลอยเข้าสู่มือของเย่โม่ด้วยตัวเอง

ประธานร่างกำยำตกตะลึง  เขาผุดลุกขึ้นทันที  แต่ร่องรอยความตื่นตระหนกนั้นก็ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด  ตอนนี้แววตาของประธานฟางไม่เพียงแต่ระแวดระวัง  แต่ยังเต็มไปด้วยความเคารพและหวาดกลัว

ไม่เพียงแต่ประธานร่างกำยำเท่านั้น  ชาย 2 คนที่อยู่ข้างเขารวมถึงจัวอ้ายกั๋วเองก็รู้สึกตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อขณะที่จ้องมองไปทางเย่โม่  นี่มันความสามารถอะไรกัน?  พลังลึกลับ?  เพียงแค่โบกมือก็สามารถดึงของที่อยู่ห่าง 6-7 เมตรมาหาตัวเองได้แบบนี้

เย่โม่ไม่สนใจสายตาหวาดกลัวของคนรอบข้างแม้แต่น้อย  เขายื่นมือไปเปิดกล่องไม้ทันที  ข้างในเป็นเถาวัลย์สีดำชิ้นหนึ่ง  เย่โม่หยิบมันขึ้นมา  มันแผ่คลื่นปราณออกมาจางๆ

‘เถาวัลย์หัวใจม่วง’  เย่โม่รู้ทันทีว่านี่เป็นรากส่วนหนึ่งของเถาวัลย์หัวใจม่วง  ซึ่งถือเป็นต้นไม้วิญญาณต้นหนึ่ง  โลกนี้ถึงกับมีต้นไม้แบบนี้อยู่  เย่โม่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก  เขารู้ว่าโลกนี้พลังปราณฟ้าดินถือว่าน้อยมาก  ดังนั้นการได้เจอหญ้าหัวใจสีเงินนั่นก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพออยู่แล้ว  มาตอนนี้ได้เจอเถาวัลย์หัวใจม่วงอีก  น่าเสียดายที่มีน้อยนัก…ถ้ามีมากกว่านี้อีกหน่อยก็คงจะดี

“น้องเย่โม่...นาย...”  จัวอ้ายกั๋วถูกความสามารถของเย่โม่ทำให้ตกตะลึงไป  คำพูดก็ตะกุกตะกัก  เดิมทีการที่เย่โม่ซัดคนหลายคนจนหมอบได้  เขาก็มองว่าเย่โม่ก็คนมีฝีมือคนหนึ่งเท่านั้น  แต่ตอนนี้การที่เย่โม่สามารถใช้พลังดึงสิ่งของจากอากาศได้แบบนี้  เขาไม่อาจใช้คำว่า ‘มีฝีมือ’ มาจำแนกเย่โม่ได้อีกแล้ว  นี่มันเหนือธรรมชาติแล้ว!

“พี่จัว  ของชิ้นนี้มีประโยชน์กับผม  ขอได้ไหม?”  ถ้าเป็นเงินร้อยล้านดอลล่าล่ะก็เย่โม่ก็คงไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ  แต่กับของชิ้นนี้...ถึงแม้ที่ๆ เขาจากมาจะมีของแบบนี้อยู่มากมาย  แต่กับที่นี่แล้วก็อาจจะหาไม่ได้อีก หากไม่ใช่เพราะโชคช่วยล่ะก็  บางทีทั้งชีวิตเขาคงไม่มีทางได้เจอเศษชิ้นส่วนของเถาวัลย์ม่วงแบบนี้

“อา...”  เหมือนกับว่าจัวอ้ายกั๋วยังไม่หายตกตะลึงกับการกระทำของเย่โม่  เมื่อได้ยินเสียงของเย่โม่จึงได้ส่งเสียงออกไปแบบนั้น  เขาได้สติขึ้นมาทันทีแล้วรีบพูดขึ้น  “ในเมื่อน้องเย่ชอบก็เอาไปเถอะ  รากม่วงดำแบบนี้พบเห็นได้ยาก  ฉันเองก็บังเอิญได้รู้เหมือนกันว่าที่หลิวเฉอมีของแบบนี้อยู่”

เย่โม่ที่ได้ยินว่าจัวอ้ายกั๋วเรียกมันว่ารากม่วงดำก็ไม่ได้แก้ไขอะไร  บางทีที่นี่อาจจะเรียกกันแบบนี้ก็ได้

จัวอ้ายกั๋วพูดจบก็หยิบซองๆ หนึ่งขึ้นมา  เขาเดินไป 2-3 ก้าวแล้วยื่นให้กับชายกำยำผมยาว “นี่เช็คเงิน  คุณตรวจดูสิ”

ประธานฟางเองก็ตั้งสติได้แล้ว  เขารีบเดินมาคำนับเย่โม่  “ผมชื่อฟางหนาน  ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าแก๊งเล็กๆ แก๊งหนึ่ง  ไม่ทราบว่าพอจะบอกนามอันสูงส่งของพี่ชายได้หรือไม่?”

เขาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าเย่โม่นั้นไม่ใช่คนธรรมดาจึงเกิดความคิดที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเย่โม่  ถึงแม้เย่โม่จะอายุน้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็ยังเรียกเย่โม่ว่าพี่ชายอยู่ดี

เย่โม่มองชายผมยาวร่างกำยำ  เขาไม่รู้ว่าชายตรงหน้าหาของชิ้นนี้มาได้ยังไง  เดี๋ยวคงต้องลองถามดู   อีกอย่างชายคนนี้ก็คงอยู่ที่นี่มานานพอสมควร  รู้จักกับงูเจ้าถิ่นไว้หน่อยก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกัน

“ฉันชื่อเย่โม่  หลังจากนี้ฉันคิดจะอยู่ที่หลิวเฉอนี่สักพัก”  เย่โม่พูดเรียบๆ

“อา!  ดีเลย!  ถ้าหากพี่เย่เจอปัญหาอะไรล่ะก็ติดต่อผมฟางหนานตรงๆ ได้เลย  ส่วนรากม่วงดำอันนี้ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญแรกพบของพวกเราก็แล้วกัน  ต้องขอโทษด้วยพี่จัว  พี่เอาเช็คเงินนี่คืนไปเถอะ”  พูดจบฟางหนานก็ยืนซองนั้นคืนให้กับจัวอ้ายกั๋ว

จัวอ้ายกั๋วรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที  เขาส่งซองนั้นให้ฟางหนานอีกรอบ  “เราตกลงกันแล้ว  นี่เป็นของที่ผมต้องการจะให้น้องเย่  จะไม่จ่ายเงินได้อย่างไร”

เมื่อเห็นทั้ง 2 โต้เถียงกันอยู่เย่โม่ก็โบกมือ  “ประธานฟางรับเช็คเงินนี้ไปเถอะ  นายมีลูกน้องอยู่ตั้งมาก  ยังต้องใช้เงินนี้เป็นค่าใช้จ่ายอีก  จริงสิ!  ทำไมพี่จัวถึงต้องการรากม่วงดำอันนี้ล่ะ?”

จัวอ้ายกั๋วถอนหายใจ  “พี่มีลูกชายอายุ 7 ขวบอยู่คนหนึ่ง  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรอยู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนเอ๋อสมองพิการไปเสียได้  2 ปีที่ผ่านมานี้พวกเราพาลูกไปรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วก็หลายแห่ง  เชิญผู้เชี่ยวชาญมาก็มากแล้ว  แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย  หลังจากนั้นก็มีหมอแผนจีนคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า  หากแช่รากม่วงดำในน้ำแล้วดื่มติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปีจึงจะมีโอกาสรักษาให้หายเป็นปกติ  พี่ใช้ทุกวิถีทางจึงได้รู้ว่าประธานฟางมีของชิ้นนี้อยู่กับตัว  พี่จึงได้รีบมาที่นี่”

“จริงๆ แล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ลุงใหญ่ของพี่ได้พบเจอกับหมอเทวดาท่านหนึ่งที่หนิงไห่  แต่พอพี่รีบไปหาหมอเทวดาท่านนั้นก็หายตัวไปเสียแล้ว  พี่คิดว่าเขาต้องรักษาอาการนี้ได้แน่นอน  เฮ่อ...โชคไม่ดีจริงๆ   อีกอย่างรากม่วงดำอันนี้ก็ไม่แน่ว่าจะรักษาลูกชายของพี่ได้  หมอแผนจีนคนนั้นพูดแค่ว่าอาจจะรักษาได้เท่านั้น   น้องเย่เอามันไปเถอะ”

“หนิงไห่?”  เย่โม่ทวนออกมาคำหนึ่ง  คิดในใจว่าตัวเองก็เพิ่งออกมาจากหนิงไห่  บางทีจัวอ้ายกั๋วอาจจะพูดถึงชายแก่ที่เขาช่วยครั้งที่แล้วก็เป็นได้

“ใช่แล้ว  หนิงไห่... ที่โรงพยาบาลลี่คัง  ต้องรู้ก่อนว่าลุงใหญ่ของพี่เป็นโรคเรื้อรังมาหลายปีแล้ว   แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายยังวินิจฉัยไม่ได้เลยว่าเป็นโรคอะไรกันแน่  หมอเทวดาท่านนั้นกลับสามารถช่วยชีวิตลุงใหญ่ของพี่ได้  น่าเสียดาย... การได้พบหมอเทวดาท่านนี้นั้นถือเป็นโชคครั้งใหญ่  คิดจะพบอีกครั้งก็คงยากแล้ว”   จัวอ้ายกั๋วพูดอย่างท้อแท้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด