ตอนที่แล้วตอนที่ 5 โรงฝึกฮันเตอร์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 พยัคฆ์คีรี

ตอนที่ 6 ไม่มีอาคม ?


เหนือภพเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย แม้จะเป็นฮันเตอร์ไม่ได้แต่เขาก็ภูมิใจและไม่คิดจะเจียมเนื้อเจียมตน เขาเดินเข้าไปโดยผ่านทางประตูหลัก ประตูหลักนี้จะมีถนนสายหลักที่ปูด้วยหินสีน้ำเงินเข้มขัดเงางาม มันเป็นถนนมุ่งตรงสู่ประตูอาคารฝึกหลังแรก

ถนนสายนี้มักมีแต่เหล่าฮันเตอร์หรือว่าที่ฮันเตอร์ในอนาคตเดินผ่านไป มันเป็นเส้นทางแห่งเกียรติยศ แน่นอนว่า ไม่ได้มีกฎว่านอกเหนือจากคนเหล่านี้ห้ามเดินผ่าน แต่มันเป็นค่านิยมของฮันเตอร์รุ่นต่อรุ่นที่ต้องการแสดงตัวตน จนกลายเป็นวัฒนธรรม ที่ใช้วัดค่าความสำคัญของชื่อเสียงเสียส่วนใหญ่ แต่สำหรับคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วล่ะก็ มันไม่สำคัญอะไรเลย สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็ได้แค่มองเขา

อีกอย่างขืนทำอะไรดูสิ เขาไม่อายหรอกนะที่จะร้องตะโกนและวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าไท ถึงภายนอกคนจะรู้จักว่าหัวหน้าไทเป็นเพียงหนึ่งในหัวหน้าฮันเตอร์ผู้ดูแลเหมือง แต่ที่นี่ในโรงฝึกเตรียมฮันเตอร์ หัวหน้าไท เป็นอาจารย์กิติมศักดิ์ที่ใครต่างก็เคารพ เขาเป็นฮันเตอร์ที่มีระดับสูงที่สุดในหมู่บ้าน ‘ฮันเตอร์ระดับแรงค์ D’

“เพื่อน เจ้าดูเจ้านั่นสิ ข้ารู้สึกคุ้นหน้ามากแต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน แต่ร่างกายของมันน่าสนใจเป็นบ้าเลย เฮ้ยดูดิเพื่อน”

เด็กหนุ่มว่าที่ฮันเตอร์ที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างลานโล่งด้านริมประตูหลัก เมื่อถูกเพื่อนสนิทสะกิดให้ละสายตาจากลุ่มว่าที่ฮันเตอร์สาวที่มองอยู่ เริ่มมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนการรบเร้าจากเพื่อนสนิทคนนี้ได้ จึงหันไปมองภาพเหนือภพที่กำลังเดินไปตามถนนหลักสีน้ำเงินเข้มอย่างเปิดเผย

“อะไรของเจ้า ถ้าไม่ใช่น้องมีนา จากโรงเรียนเตรียมฮันเตอร์ข้าไม่สนใจเฟ้ย”

ผู้ถูกเรียกหัวเสีย เพราะภาพที่เห็นมันไม่ใช่อย่างที่คิด ก่อนจะกลับไปจ้องมอง มีนา สาวงามจากโรงเตรียมฮันเตอร์ที่กำลังรวมกลุ่มอยู่กับสาวๆที่หน้าร้านขายขนม

“ใช้อาคมตาทิพย์สิเพื่อน”

ช้างบอกขณะใช้หัวไหล่สะกิดเพื่อนที่ยังคงหันหัวไปด้านหลังคล้ายกับพวกสโต๊กเกอร์ ที่เอาแต่จะจับจ้องหญิงสาว เป็นพวกโรคจิตโดยแท้

ผู้ถูกเรียกหน้ามุ่ยหัวเสียที่ต้องละสายตาจากหญิงเป็นที่ตนหมายปอง จากนั้นดวงตาสีน้ำตาลก็เปลี่ยนเป็นสีทองเมื่อมองไปยังเหนือภพที่กำลังจะเดินผ่านหน้าพวกเขาไป

“เป็นไงละไอ้ม้าศึกเพื่อนยาก น่าสนใจขึ้นมาบ้างหรือยัง”

แววตาของม้าศึกเริ่มเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ก่อนจะพึมพำออกมาเพื่อวิเคราะห์

“ดูจากร่างกายของมันถึงจะดูผอมเพรียว แต่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อ ไม่มีไขมัน ศักยภาพทางร่างกายของมันน่าจะอยู่ในระดับ 8 เต็ม 10 แต่ทำไม...”

“ไม่มีพลังงานอาคมใช่ไหมละ”

“ใช่ ทำไมถึงไม่มีละ หรือจะเป็นพวกไร้พรสวรรค์”

ม้าศึกสงสัย เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า มนุษย์มีกันแค่สองประเภท มีพรสวรรค์ กับไร้พรสวรรค์ และวิธีแบ่งแยกที่ชัดเจนที่สุด คือการตรวจสอบ ด้วยวิชาอาคมพื้นฐานอย่าง อาคมตาทิพย์ หากเป็นคนที่เกิดมาไม่ใช่ฮันเตอร์จะไม่มีการตอบสนองใดๆ เพราะพวกเขาจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า พลังงานอาคม ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

สำหรับฮันเตอร์แล้วพลังงานอาคมก็ไม่ต่างจากอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย มันติดตัวพวกเขามาตั้งแต่กำเนิด มันทำให้ร่างกายพวกเขาแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับคนธรรมดา และจะมีปฏิกิริยาต่อพลังงานอาคมด้วยกัน

แต่ว่าคนผู้นี้กล้าเดินบนเส้นทางแห่งเกียรติยศของฮันเตอร์ได้อย่างสง่าผ่าเผย ทั้งที่เป็นพวกไร้พรสวรรค์ เขาต้องมีความพิเศษบางอย่างที่เหล่าฮันเตอร์ให้การยอมรับ

“เจ้ายังจำเด็กที่เอาชนะ พยัคฆ์คีรีได้หรือเปล่า เมื่อสี่ปีที่แล้ว” ช้างเอ่ยถามขึ้น

“ใคร หึ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คนอย่างพยัคฆ์คีรีจะแพ้ใครได้ ได้ข่าวว่ามันเป็นถึงแชมป์การแข่งขันของโรงเรียนเตรียมฮันเตอร์ถึงห้าสมัยซ้อน เอาชนะคู่ต่อสู้โดยที่ไม่ต้องเปิดตามอง เพราะแบบนั้นมันถึงถูกยกเป็นจอมขมังเวทย์รุ่นเยาว์ แห่งสถาบันเตรียมฮันเตอร์ อนาคตไกลจนจักรพรรดิแห่งอมตะนครยังต้องการที่จะให้มันไปเป็นราชบุตรเขย มันคือเด็กที่เกิดมาพร้อมกับโคตรของโคตรพรสวรรค์”

“แต่เดี๋ยวนะ พอคิดดูดีๆแล้วข้าก็รู้สึกคุ้นอยู่บ้าง”

จู่ ๆ ม้าศึกก็นึกถึงเรื่องในวัยเด็กออก ภาพในวันนั้นมันเลือนลางมาก เหมือนจะมีเรื่องที่ช้างพูดอยู่จริง แต่ภาพในความทรงจำของเขามันไม่ได้ชัดเจน เมื่อเทียบกับช้างที่ภาพเรื่องราวในวัยแปดขวบของเขายังคงชัดเจนและติดตาช้างจนถึงทุกวันนี้

หากเขาจำไม่ผิด เด็กคนที่ว่านั่นน่าจะชื่อเหนืออะไรสักอย่าง เด็กที่ทำให้พยัคฆ์คีรีที่สามารถใช้อาคมได้ตั้งแต่อายุสามขวบ ได้รับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต แม้การต่อสู้ครั้งนั้นจะไม่ได้มีการตัดสินอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นการทะเลาะกันแบบเด็กๆ แต่ทุกอย่างก็ชัดเจนว่า พยัคฆคีรีได้แพ้ให้กับเหนือภพ ทั้งที่เหนือภพออกหมัดสวนกลับไปเพียงครั้งเดียว

ภาพในวันนั้นน่าสยดสยองมาก เด็กที่ชื่อว่าเหนือภพถูกโจมตีด้วยอาคมจนเลือดอาบทั่วทั้งตัว แต่กลับไม่ปริปากร้องสักคำ มีเพียงดวงตาที่แดงก่ำไปด้วยความโกรธ กับกำปั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

“ข้าเหมือนจะนึกออกนะ แต่นึกไม่ออกวะ โทษทีเพื่อน”

ม้าศึกพูดจบก็หันไปสนใจน้องมีนาด้วยใบหน้าเบิกบาน ขณะที่ช้างเองก็ไม่แปลกใจอะไร ในวันนั้นม้าศึกไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ มาอีกทีเรื่องราวก็คลี่คลายไปหมดแล้ว ก่อนสายตาไปบรรจบที่ทางเข้าประตู

‘ช่างเป็นคนที่ตายยากเสียจริง พูดถึงก็มา ไม่ไหวๆ’

ช้างยิ้ม ครุ่นคิดในใจ ดวงตาเผยแววจะพบเรื่องสนุก

“ไปกันเถอะเพื่อน”

ช้างลุกขึ้นจากม้านั่ง ดึงแขนเพื่อนชายให้ติดตามตัวเองไป ขณะที่ม้าศึกออกแรงขัดขืนไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะจากไป

“ไปไหน แล้วน้องมีนาของฉันล่ะ”

“มาเถอะน่า ฉันจะพาไปเจอเรื่องสนุก รับรองน้องมีนาแก อาจจะไปชมด้วยก็ได้นะ”

ที่ช้างพูดไม่ได้เป็นเพียงคำหลอกล่อ แต่เป็นความจริงที่มีความเป็นไปได้ที่มีนาจะไปชม มีนา คือคู่ว่าที่คู่หมั้นที่ถูกวางไว้ให้แต่งงานกับพยัคฆ์คีรี พยัคฆ์คีรีจะไปปรากฏตัวที่ไหนนางก็มักจะไปปรากฏตัวรออยู่ก่อนเสมอ แต่ก็ไม่เคยเข้าไปหาพยัคฆ์คีรีก่อนเลยสักครั้ง มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจว่าเพราะอะไร

“เฮ้ย จริงดิเพื่อนช้าง”

“จริง ตามมาเหอะน่า”

มีนาเฝ้ามองไปยังประตูโรงฝึกเตรียมฮันเตอร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความรู้สึกซับซ้อนพลางนึกถึงคำพูดของพ่อสลับกับคำสอนของแม่ที่ทำให้ตัวเธอรู้สึกสับสน พ่อมักบอกว่า

‘พยัคฆ์คีรีเป็นว่าที่สามีของลูกในอนาคตจงปฏิบัติตัวกับเขาดีๆและคอยปกป้องเขา’

แน่นอนว่าที่เธอทำอยู่คือการคอยปกป้องเขา แต่การที่เธอไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ ได้แต่รออยู่ห่างๆแบบนี้ก็เพราะคำสอนของแม่ที่มักย้ำกับเธอว่า

‘แม้ลูกจะแข็งแกร่งกว่าพวกผู้ชาย แต่ยังไงลูกก็เป็นผู้หญิง อย่าได้อยู่ใกล้ผู้ชายมากเกินไป จงรักษาท่าที เป็นสตรีต้องเพียบพร้อมและอย่าปล่อยตัวไปกับผู้ชายแม้จะเป็นว่าที่สามีในอนาคตก็ตาม จนกว่าจะเข้าพิธีถูกต้องตามประเพณี’

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด