ตอนที่แล้วบทที่ 13 ไม่ใช่พวก 18 มงกุฏ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 เข้าโรงพัก

บทที่ 14 ไม่มีคนๆ นี้อยู่


เย่โม่กลับมาถึงที่พักแล้ว  แต่ซู่เหมยก็ยังไม่กลับมา  วันนี้แม้จะช่วยเข้างานแทนเธอแต่ก็ทำเงินไปได้หลายหมื่น  สำหรับคนที่แทบจะไม่มีเงินเหลืออย่างเย่โม่แล้วถือว่าควรค่าแก่การฉลองจริงๆ  แต่วิธีแบบนี้คงทำไม่ได้อีก  หากทำมากไปจะเป็นการเปิดเผยตัวตนเสียเปล่าๆ

ตอนนี้เขายังไม่มีกำลังพอจะปกป้องตัวเองได้  ฉะนั้นการเปิดเผยตัวตนหรือเรื่องราวของเขาออกไปจึงไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก  โลกใบนี้คงไม่สงบสุขดั่งเช่นเปลือกนอกที่แสดงออกมาหรอก

วันที่สองซู่เวยเพิ่งกลับมาถึง  เย่โม่สังเกตเห็นดวงตาบวมแดงของเธอ  แต่เขากับเธอถือได้ว่ารู้จักกันผิวเผินเท่านั้น  เขาจึงไม่ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น

วันเวลาผ่านไป... นอกจากไปมหาวิทยาลัยแล้ว  เขาก็ฝึกกระบวนท่าหรือไม่ก็ฝึกปราณ  เพราะตอนนี้เขายังมีเงินเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง  เรื่องไปตั้งแผงลอยตอนกลางคืนจึงถูกพับเก็บไปก่อน  หลังจากที่ซูเหมยเสียหน้าไปคราวที่แล้วเธอก็ไม่ได้มาหาเขาอีกเลย  แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันช่วยลดปัญหาไปได้เยอะ

ที่เย่โม่ไม่รู้ก็คือ  คนที่ตามหาเขาตอนนี้มีไม่น้อยเลย  นอกจากซูจิ้งเหวินที่ซื้อยันต์ของเขาไป  ชายแก่ที่เขาช่วยชีวิตที่โรงพยาบาล  ยังไม่รวมถึงวังเผิงคนนั้นอีก  สาเหตุก็เพราะหลังจากถูกคนขายยันต์คนนั้นเตะไปที่ข้อมือ  เขาก็ใช้แรงไม่ได้อีกเลย  พอเขาเกร็งแรงเมื่อไหร่ข้อมือก็จะหลุดทันที  อีกทั้งต่อให้เขาเชื่อมข้อมือกลับมาแล้วหากใช้แรงอีกก็จะหลุดเหมือนเดิม

ตรงข้ามกันกับชายแก่ที่เย่โม่ช่วยไว้  เขาได้ค้นหาทั่วทุกซอกมุมของโรงพยาบาลลี่คังก็หาเย่โม่ไม่เจอ  คนๆ นี้ราวกับโผล่มาจากอากาศธาตุแล้วจากหายไปอย่างไรอย่างนั้น

ไม่เพียงแค่หมอชุยที่ถูกถามแล้วถามอีกเท่านั้น  แม้กระทั่งหมอทุกคนในโรงพยาบาลลี่คัง  หรือแม้กระทั่งพยาบาลก็ถูกเรียกมารวมด้วย  ทว่าก็หาหมอสะพายกระเป๋าพยาบาลใช้เข็มคนนั้นไม่เจอ

กลับเป็นเสี่ยวอู่ที่รู้สึกสงสัยเย่โม่  เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เขามาเข้ากะแทนพอดี  เธอเองก็ไม่ได้สังเกตว่าเย่โม่ได้พกกระเป๋าพยาบาลมาด้วยหรือเปล่า  แต่พอเธอได้รู้จากซู่เวยว่าเย่โม่เป็นแค่คนตกงานคนหนึ่งเท่านั้นเอง  เธอก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก

หากไม่ใช่เพราะว่าอาการของชายแก่ดีขึ้นแล้ว  รวมถึงสถานะของเขาล่ะก็  คงจะมีคนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชายแก่และหลานสาวของเขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง

……….

ช่วงนี้ซูจิ้งเหวินอารมณ์ดีไม่น้อย  ไม่เพียงแม่ของเธออาการดีขึ้นแล้วเท่านั้น  คนที่เธอเกลียดอย่างวังเผิงช่วงนี้ก็ไม่มาให้เห็นหน้า  กระทั่งพ่อของเธอที่มักจะจับคู่เธอกับวังเผิงก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย  ซูจิ้งเหวินรู้สึกขอบคุณชายที่ขายยันต์ให้เธอจากใจ  เขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอจริงๆ...

“เหวินเหวิน... ตามหาคนที่ขายยันต์ให้ลูกครั้งก่อนเจอหรือยัง?”  ผู้หญิงท่าทางงามสง่าอ่อนโยนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอถามขึ้นมา

แน่นอนว่าเหวินเหวินก็คือซูจิ้งเหวิน  ส่วนหญิงวัยกลางคนคนนี้ก็คือแม่ของเธอนั่นเอง  เป็นเธอเองที่ถูกปลุกให้ฟื้นด้วยยันต์ของเย่โม่  ตั้งแต่แม่ของเธอฟื้นซูจิ้งเหวินก็มักจะหาเวลาว่างมาหาแม่ของเธอเสมอ

หลังจากตกตะลึงกับ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ครั้งที่แล้ว  ครอบครัวของซูจิ้งเหวินก็พยายามตามหาตัวเย่โม่มาตลอด  ไม่เพียงแต่พวกเธอสองแม่ลูกเท่านั้น  แม้แต่ซูเจี้ยนจงก็ตามหาชายประหลาดคนนี้ด้วย

สาเหตุที่ซูจิ้งเหวินและแม่ของเธอตามหาเย่โม่ก็เพราะรู้สึกติดค้างบุญคุณ  ถึงแม้เธอจะจ่ายเงินซื้อยันต์มาแต่พวกเธอก็รู้ดีว่าเงินไม่กี่หมื่นหยวน  น่ากลัวว่าจะซื้อยันต์เหล่านี้ไม่ได้แม้แต่ใบเดียว

เมื่อเข้าใจถึงความล้ำค่าในยันต์ของเย่โม่แล้ว  ยันต์ที่เหลือจึงถูกซูจิ้งเหวินเก็บรักษาไว้กับตัวเป็นอย่างดี  ที่เธอตามหาเย่โม่ก็เพื่อชดเชยเงินให้กับเย่โม่นั่นเอง

“ไม่เจอเลยค่ะแม่  หนูไปที่สวนสมบัติมาหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เจอเขาสักครั้งเดียว  เหมือนกับว่าคนตระกูลวังเองก็ตามหาตัวเขาด้วย  หนูกลัวว่าเขาจะมีปัญหาได้...”  ซูจิ้งเหวินตอบกลับ  ภาพของเย่โม่ที่ใส่แว่นดำและหมวกทรงต่ำปรากฏขึ้นในหัวของเธอนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

หญิงวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ  “จิ้งเหวิน!  ลูกคิดจริงๆ  เหรอว่าคนประหลาดคนนี้จะกลัวคนตระกูลวัง?  ลูกไม่ต้องกังวลไป  ลูกแค่มองหาเขาก็พอแล้ว  หากลูกมีโอกาสพบเจอเขาอีกครั้ง  ต้องพาเขากลับมาด้วยให้ได้  แม่อยากขอบคุณเขาต่อหน้า  หากเขาไม่เต็มใจมาก็อย่าทำตัวแย่ๆ กับเขาเด็ดขาด”

ซูจิ้งเหวินเกิดความสงสัยใคร่รู้ในตัวเย่โม่เป็นอย่างมาก  หลังจากที่เธอพก ‘ยันต์ไล่วิญญาณร้าย’ ติดตัวแล้ว  ในใจของเธอก็รู้สึกถึงความสงบเป็นอย่างมาก  มีหลายครั้งที่เธออยากจะลองพลังของ ‘ยันต์บอลเพลิง’ แต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้  เพราะตัวเธอมี ‘ยันต์บอลเพลิง’ เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น  หากใช้ไปแล้วก็คงหาไม่ได้อีก

..........

แน่นอนว่าเย่โม่ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีคนตามหาเขาอยู่มากมาย  แต่ถึงรู้เขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้  เวลานี้เขามีเงินอยู่ไม่น้อย  เรื่องอุปกรณ์หรือยาต่างๆ ที่ใช้ฝึกฝน  ก็ใช่ว่าวันสองวันจะจัดการได้  ในเมื่อตอนนี้มีเงินอยู่  แม้แต่ตลาดกลางคืนก็คงไม่จำเป็นต้องไปแล้ว  ด้วยเหตุนี้วันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างผ่อนคลายสบายใจ  หากเขาไม่ไปที่มหาวิทยาลัยก็อยู่ที่บ้านพัก เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่วันนี้หลังจากที่เขาเดินออกมาจากห้องสมุดเย่โม่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องเขาอยู่... ตอนที่เขาเดินออกนอกมหาวิทยาลัยนั้นความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก

มุมหนึ่งด้านนอกไม่ไกลจากประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยนัก  ปรากฎรถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่งจอดอยู่  ซึ่งเย่โม่เองก็สังเกตเห็นได้ทันที  ดูๆ แล้วภายในรถคงไม่ได้มีแค่คนเดียว  แถมคนเหล่านั้นยังจ้องมองมายังตัวเขาด้วย

เย่โม่หัวเราะเสียงเย็น  ดูท่าว่าเขาคงถูกคนในรถจับตามองแล้ว  ตั้งแต่มาเกิดใหม่จนกระทั่งตอนนี้เย่โม่พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำตัวสะดุดตา  ปกติแล้วหากไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายด้วยเขาก็ไม่มีทางเริ่มหาเรื่องคนอื่นก่อน  คงจะมีแค่เจิ้งเหวินเฉียวเท่านั้นที่เขามีเรื่องด้วย  ดูท่าคนในรถคงมีความเกี่ยวข้องกับคนตระกูลเจิ้งแน่นอน

ขณะที่เย่โม่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเริ่มลงมือก่อนหรือจะล่อคนพวกนี้ไปยังสถานที่ลับตาคนแล้วค่อยจัดการดี  ก็มีวัยรุ่นผมทอง 2 คนลงมาจากรถแลนด์โรเวอร์  พวกเขาเดินตรงมายังเย่โม่แล้วเอียงคอมอง  ผ่านไปสักพักหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น  “นายคือเย่โม่ใช่ไหม?  ช่วยมากับพวกเราหน่อย  อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธไป  ถ้าไม่ทำตามล่ะก็ตายอนาถแน่!”

เย่โม่ยิ้มน้อยๆ ก็นึกว่าเจิ้งเหวินเฉียวคนนี้จะมีดีอะไร  ที่แท้ก็แค่เรียกลูกกระจ๊อก  2-3 คนมาเท่านั้นเอง...

วัยรุ่น 2 คนเดินบีบเย่โม่เข้าตรงกลาง  เห็นได้ชัดว่าป้องกันเย่โม่วิ่งหนี  ขณะที่พวกเขากำลังคิดว่าเย่โม่จะปฏิเสธ แล้วกำลังเตรียมจะสั่งสอนเย่โม่อยู่นั้นเอง  เย่โม่กลับพูดขึ้นมา

“นำทาง...”

พวกเขานิ่งค้างไปสักพัก  หนึ่งในนั้นก็ได้สติแล้วมองเย่โม่อย่างพิจารณา  “กล้าดีนี่!”

เย่โม่ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าวัยรุ่น 2 คนนี้จะพูดอะไร  เย่โม่เดินตามพวกเขาขึ้นรถแลนด์โรเวอร์อย่างไม่รีบไม่ร้อน  ราวกับว่า 2 คนนี้มารับเขาก็ไม่ปาน

ซูจิ้งเหวินที่กำลังขับรถมาถึงประตูหน้ามหาวิทยาลัยหนิงไห่ก็เห็นเย่โม่ที่ถูกขนาบขึ้นรถพอดี  ซูจิ้งเหวินได้แต่ส่ายหัวไปมา  เธอรู้ดีว่านักศึกษาคนนี้ต้องไปขัดใจใครเข้าแน่ๆ ถึงได้ถูกอุ้มไปแบบนี้  แต่เรื่องแบบนี้มีแทบทุกวัน  ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะไปยุ่งวุ่นวายได้...

ทว่าขณะที่เธอกวาดสายตาไปเห็นใบหน้าของเย่โม่ใจเธอก็กระตุกวูบ!  ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง?  ใช่แล้ว... เธอเหมือนเคยเห็นรูปร่างแบบนี้ที่ไหนมาก่อน  อีกทั้งรอบตัวเขายังมีบรรยากาศที่ยากจะอธิบายได้  เธอต้องเคยเจอเขาแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องเคยพูดคุยด้วย  เมื่อพบว่าเป็นคนคุ้นเคยเธอก็ไม่อาจละเลยได้อีก  ไม่ว่ายังไงอย่างน้อยก็ต้องยืนยันตัวตนของเขาก่อน

คิดถึงตรงนี้ซูจิ้งเหวินก็รีบแจ้งตำรวจทันที  หลังบอกทิศทางที่รถแลนด์โรเวอร์วิ่งไปเธอเองก็ขับตามไปเช่นกัน... แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนักด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้  จากนั้นเธอก็หยิบกล้องส่องทางไกลมองไปยังรถแลนด์โรเวอร์คันนั้น

รถแลนด์โรเวอร์ยิ่งขับไกลออกไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใกล้เขตชานเมือง  ซูจิ้งเหวินรู้ว่าคนพวกนี้ต้องการหาที่ลับตาคนเพื่อลงมือกับนักศึกษาคนนั้น  ซึ่งอาจทำให้เขาตายได้  อีกทั้งตอนนี้รถแลนด์โรเวอร์ก็กำลังส่ายไปมา... บางทีคนพวกนี้อาจกำลังลงไม้ลงมืออยู่ก็เป็นได้  ความคิดนี้เองทำให้เธอเริ่มร้อนใจขึ้นมา  แต่จนถึงตอนนี้รถตำรวจก็ยังมาไม่ถึงเลย

รถแลนด์โรเวอร์แล่นไปอีกกว่า 10 นาทีแรงสั่นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  ขณะที่ซูจิ้งเหวินกำลังรู้สึกร้อนใจจนทนไม่ไหวนั่นเอง  ก็ปรากฏรถตำรวจคันหนึ่งขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด