ตอนที่แล้วบทที่ 3 คนขายยันต์...นายมันบ้าไปแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 เช่าห้อง

บทที่ 4 ลูกค้ารายแรก


เย่โม่ยังไม่ทันได้พูดว่า  “ส่วนยันต์ที่ใกล้เคียงระดับ 1 อย่าง ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ มีราคาสองหมื่นหยวน”  ก็ถูกด่าว่าบ้าเสียแล้ว  แต่เขาก็ไม่ได้เสียกำลังใจมาก  สุดท้ายแล้วเขาจะขายให้กับคนที่รู้คุณค่าเท่านั้น  คนที่มีความสามารถเท่านั้นถึงจะมองออกว่ายันต์ของเขามีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่จางๆ

แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกท้อแท้ก็คือวางขายติดต่อกันมา 5 วันแล้ว  แม้จะมีคนมาถามอยู่เยอะแต่ก็ขายไม่ออกเลยสักแผ่นเดียว  ยันต์ของเขาเริ่มจะมีชื่อเสียงใน ‘สวนสมบัติ’ ขึ้นแล้ว  เพราะเป็นเจ้าเดียวที่ขายยันต์ในราคาหนึ่งหมื่นหยวน

หลายคนไม่ได้มาเพื่อซื้อยันต์  แต่มาเพื่อดูว่ายันต์หนึ่งหมื่นหยวนนี้หน้าตาเป็นยังไง  แผงลอยของเย่โม่ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันไปแล้ว  ยันต์ของคนอื่นๆ มีขนาดประมาณครึ่งกระดาษ A4 แต่ของเย่โม่กลับมีขนาดเพียง 1 ฝ่ามือเท่านั้น  แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีใครขายถึงหนึ่งหมื่น  และเขายังขายแบบไม่ให้ต่อรองราคาแม้แต่น้อย  แบบนี้จะไม่ให้โด่งดังได้อย่างไร

พอเวลาล่วงเลยถึงวันที่ 9 เย่โม่ก็เริ่มจะหมดหวัง  เขาแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครรู้คุณค่าสินค้าของเขาจริงๆ  มีแต่เขาที่รู้ว่ายันต์เหล่านี้อย่าว่าแต่หนึ่งหมื่นเลย  ขายเป็นแสนยังไม่ถือว่าแพง  ถึงแม้สินค้าจะดีแต่หากไม่มีคนมองออกก็ไร้ค่าอยู่ดี

เย่โม่ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย  หากวันนี้ยังไม่มีคนมาซื้ออีกเขาจะไปตลาดแรงงานเพื่อหางานทำ  ไม่อย่างนั้นแม้แต่ข้าวก็จะไม่มีกินแล้ว

ความอยากรู้อยากเห็นของคนเหล่านี้คงอยู่เพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น  แม้จะมีคนมาดูสินค้าของเย่โม่ไม่น้อย  แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าผ่านช่วงเวลาอยากรู้อยากเห็นนั้นมาแล้ว  คนมาดูสินค้าของเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

เย่โม่รู้สึกเบื่อมาก  เขาเตรียมจะเก็บแผงอยู่แล้ว  ทว่าตรงหน้ากลับปรากฏชายหนึ่งคนกับผู้หญิงอีกสองคนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามร้านของเขา  แม้จะห่างกันไกลแต่ด้วยประสาทหูของเขาที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา  ทำให้เย่โม่ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน

“จิ้งเหวิน... ที่แบบนี้มีแต่คนขายของปลอม  มีแต่พวกที่เชื่อเรื่องงมงายเท่านั้นถึงจะมาที่แบบนี้  เธอเองก็ซื้อของขลังพวกนี้ไปเยอะแล้ว  ฉันว่าพอเถอะ  ฉันได้ติดต่อโรงพยาบาลระบบประสาทและสมองที่มีชื่อเสียงไว้แล้ว  ย้ายคุณป้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลฝรั่งเศสเถอะ”  คนพูดเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา

ผู้หญิงอีกคนก็มีรูปร่างสูงเช่นกัน  ใบหน้าของเธอเย็นชา  ผิวขาวเนียน  แผ่ออร่าผู้ดีชั้นสูง  ถือว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว  ถึงแม้สาวสวยในชั้นเรียนของเขาอย่างเยี่ยนเยี่ยนจะมีรูปร่างที่ไม่เลว  แต่เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนนี้แล้วยังถือว่าห่างชั้นกันไกล  เย่โม่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจ้าของร่างคนก่อนถึงได้ไปสนใจผู้หญิงอย่างเยี่ยนเยี่ยนได้

สาวสวยคนนี้ดูเยือกเย็น  คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลใจ  พอได้ฟังคำพูดของหนุ่มหล่อคนนั้น  คิ้วผู้หญิงที่ชื่อจิ้งเหวินก็ยิ่งขมวดมุ่นเข้าไปอีก  ใช่ว่าเธอจะไม่อยากให้แม่ของเธอไปโรงพยาบาล  แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเธอได้พาแม่ไปประเทศต่างๆ ที่มีชื่อเสียงด้านการรักษากว่า 6 ประเทศ  ไปโรงพยาบาลมา 10 กว่าแห่ง  แต่ว่าอาการของแม่เธอก็ไม่ดีขึ้นเลย

“วังเผิง  ฉันไม่ได้บังคับให้นายมาด้วยสักหน่อย  นายอยากจะมาของนายเอง  แม่ของฉันก็ไปโรงพยาบาลมาตั้งมาก แค่ที่นายเคยแนะนำมาก็ 5-6 แห่งแล้ว  แต่แม่ของฉันตอนนี้ก็ยังนอนหมดสติอยู่เลย  ถ้ารำคาญมากนักจะไปไหนก็ไป”  น้ำเสียงของหญิงสาวเย็นชา  เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ชอบชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายมากนัก

ส่วนผู้หญิงอีกคนมีรูปร่างคล้ายผู้ฝึกวิทยายุทธ  เธอเพียงติดตามผู้หญิงที่ชื่อว่าจิ้งเหวินอย่างใกล้ชิดเท่านั้น  ไม่พูดไม่จา  ดูแล้วคงจะเป็นบอดี้การ์ด

เย่โม่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าหัวเราะ  คนที่ชื่อวังเผิงคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ...  ให้คำแนะนำซี้ซั้วตั้งมากแล้วไม่สำเร็จสักครั้ง  ยังจะให้คำแนะนำโง่ๆ แบบนี้ออกมาได้อีก  จากที่ฟังแม่ของผู้หญิงคนนี้นอนหมดสติไม่ฟื้นมา 3 ปีแล้ว  ดูท่าคงจะเป็นมนุษย์ผักไปแล้ว

ถ้าเป็นมนุษย์ผักมาแค่ 3 ปีแล้วล่ะก็  ยันต์ที่ใกล้เคียงระดับ 1 อย่าง ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ คงจะช่วยปลุกเธอได้  พอคิดถึงตรงนี้เขาก็รีบตะโกนขึ้นทันที

“ขายยันต์... ถูกครอบงำ... เป็นมนุษย์ผัก... มีโรคภัย... ยันต์ของผมแค่แผ่นเดียวรับรองเห็นผล  สองแผ่นรับรองหายสนิท”

แน่นอน... เย่โม่จงใจพูดแบบนี้  จุดประสงค์คือทดสอบดูว่าจะเรียกความสนใจจากสาวสวยคนนี้ได้หรือไม่  ผู้หญิงคนนี้ไปมาหลายประเทศแล้ว  เห็นได้ชัดว่าเป็นคนมีเงิน  จ่ายแค่สองหมื่นหยวนคงไม่สะทกสะท้าน

จิ้งเหวินที่กำลังรู้สึกท้อแท้ใจพอได้ยินว่ามียันต์ที่สามารถรักษาอาการมนุษย์ผักได้ก็ราวกับได้ยินเสียงสวรรค์  เดินมาหยุดตรงหน้าแผงลอยของเย่โม่โดยไม่รู้ตัว

“ขอโทษนะ!  ยันต์ของนายรักษาอาการมนุษย์ผักได้หรือ?”  น้ำเสียงของซูจิ้งเหวินสั่นไหว… ราวกับคนจมน้ำที่คว้าขอนไม้ได้ เธอไม่อาจหยุดความรู้สึกกังวลใจนี้ได้

เย่โม่ยิ้มบางๆ คิดในใจว่าหากยันต์ที่ใกล้เคียงกับระดับ 1 ของเขายังรักษามนุษย์ธรรมดาจากอาการเป็นผักไม่ได้  เขาก็ควรเอาหัวโหม่งเต้าหู้ตายไปซะจะได้จบๆ เรื่อง

ถึงจะคิดแบบนั้นแต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาพูดโฆษณาออกไปเอง  ตอนนี้เมื่อสาวสวยคนนี้มาถาม  เย่โม่จึงรีบตอบ  “แน่นอนสิ  ยันต์ของผมอย่าว่าแต่ช่วยชีวิตมนุษย์ผักเลย  ต่อให้เหลือแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายยันต์ของผมก็ช่วยชีวิตได้...”

เย่โม่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหญิงสาวตัดบทถามขึ้นว่า  “แม่ของฉันมีอาการมนุษย์ผัก  ฉันอยากจะปลุกเธอให้ตื่นต้องใช้ยันต์อะไร?”

เย่โม่พยักหน้า  เขารู้แต่แรกแล้ว  ไม่อย่างนั้นจะเรียกมาทำไม  เขาทำหน้าเคร่งขรึมแล้วบอกว่า  “เรื่องนี้ง่ายมาก เพียงซื้อ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ แผ่นเดียวก็ได้แล้ว  แผ่นหนึ่งเกรดดีขายแผ่นล่ะสองหมื่นหยวน  อีกแผ่นเกรดธรรมดาขายแผ่นละหนึ่งหมื่นหยวน  ไม่ให้ต่อราคา”

“ว่าไงนะ!  ไอ้ต้มตุ๋นนี่!  นึกไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกคนกลางถนนแบบนี้  ฉันจะเรียกตำรวจมาจับเดี๋ยวนี้เลย!”  พอได้ยินว่ากระดาษเหลืองที่ทำเป็นยันต์เหล่านี้ 2 แผ่นขายถึงสามหมื่นหยวน  หนุ่มหล่อวังเผิงก็โกรธแล้วชี้หน้าด่าเย่โม่ทันที

เย่โม่เตะมือวังเผิงไปอีกด้านพร้อมแฝงไว้ด้วยลมปราณ  ภายหลังมือของวังเผิงจะออกแรงไม่ได้อีก  ตอนนี้อาจจะยังมองไม่ออก  แต่หลังจากนี้หากวังเผิงออกแรงที่มือสักหน่อยข้อก็เคลื่อนแล้ว

การเคลื่อนไหวของเย่โม่กระชับรวบรัดไม่หยุดนิ่ง  คนอื่นๆ ล้วนมองไม่ออก  มีแต่หญิงสาวผู้ฝึกวิทยายุทธซึ่งยืนอยู่ข้างซูจิ้งเหวินที่ดวงตาของเธอฉายแววประหลาดใจออกมา  ทว่าไม่นานก็กลับไปสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม

พอปัดมือของวังเผิงออกเย่โม่ก็พูดเสียงเย็น  “ไม่ได้บังคับให้นายซื้อสักหน่อย!  น่าขำจริงๆ ไสหัวไปฉันจะขายของ… อย่ามาเกะกะขวางทาง”

“แก!  กล้าดียังไง...”  วังเผิงโกรธมากแต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหยุดด้วยหญิงสาวเย็นชาคนนั้น

“วังเผิง… ไปได้แล้ว”  ซูจิ้งเหวินพูดอย่างเย็นชา  แล้วหันมาทางเย่โม่  “ขอโทษด้วยอาจารย์… คนๆ นี้แค่เดินมาด้วยกันเท่านั้น  เขาไม่ใช่ตัวแทนของฉัน”

“จิ้งเหวิน!  คน ๆ นี้ปกปิดใบหน้า  ซ้ำยังขายยันต์ขนาดแค่ 1 ฝ่ามือด้วยราคาหนึ่งหมื่นหยวน  เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง!  เงินสองสามหมื่นก็แค่เรื่องเล็ก  แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแม่เธอล่ะก็...”  วังเผิงยังพยายามพูดโน้มน้าว  ซูจิ้งเหวินใบหน้ากลับยิ่งเย็นชาขึ้น  เห็นได้ชัดว่าเริ่มรู้สึกรำคาญแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด