ตอนที่แล้วchapter 1 โชคร้ายกว่านี้มีอีกมั้ย...!!??
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 3 ก้าวผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน

Chapter 2 การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “เอี๊ยดดด..” พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก

เฉิงเจียวหยางที่กำลังวุ่นวายกับการเช็ดผมอยู่ในห้องน้ำก็ต้องตกใจ และเธอก็ได้เอนตัวออกมาจากห้องน้ำเพื่อดูว่าใครมา เธอเห็นสวีชิงเดินผ่านประตูไป

“ทำไมแม่กลับมามาเร็วจังเลยคะ...?” เธอถามอย่างสงสัย นี่มันยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนะ สวีชิงเริ่มออกไปทำงานตอนบ่ายโมงเอง ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปกลับเพียงสองชั่วโมงเองนะ

เมื่อสวีชิงได้ยินเสียงลูกสาวตะโกนถามมา จากสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด เธอก็ได้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและก็ฝืนยิ้มออกมาในขณะที่ตอบ “เจ้านายปล่อยให้พวกเราออกก่อนได้จ๊ะ วันนี้”

“อ๋อ...” เฉิงเจียวหยางกล่าวอย่างไม่ทันได้คิดอะไร พร้อมกับหันมาวุ่นวายกับการเช็ดผมให้แห้งต่อ

การอาบน้ำไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย หลังจากที่เธอได้เดินสำรวจไปรอบๆ ห้องครัวแคบๆ อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเธอก็หากาต้มน้ำไฟฟ้าเพื่อต้มน้ำเจอจนได้

แย่ที่สุดคือหลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จแล้ว กลับพบว่าสวีเจี่ยวเจียวไม่มีครีมบำรุงผิวใดๆเลย !!

“เจี่ยวเจียว ลูกยังไม่ได้กินข้าวเหรอจ๊ะ?” ขณะที่สวีชิงได้หันไปสังเกตเห็นอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ เหมือนไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว

เฉิงเจียวหยางแขวนผ้าเช็ดตัวไว้ที่ผนัง และเธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำ  พร้อมกับตอบคำถาม “หนูไม่ค่อยหิวค่ะ”

“หนูเพิ่งดัดแปลงเสื้อผ้าเก่าๆเสร็จค่ะ” เฉิงเจียวหยางกล่าว พร้อมกับชี้ไปที่ชิ้นส่วนของวัสดุที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นข้างๆเตียง

“อ๋อ...ใช่!!” เฉิงเจียวหยางมองไปที่สวีชิง “อาจารย์ที่โรงเรียนเก่าของหนูโทรมา บอกให้มารับใบตอบรับการเข้ามหาวิทยาลัย วันนี้แม่กลับมาเร็ว แม่สามารถพาหนูไปโรงเรียนได้นะคะ”

“ประกาศผลการเข้ามหาวิทยาลัยออกแล้วเหรอ...? เยี่ยมเลย งั้นเราไปกันเลยมั้ยจ๊ะ!!” เมื่อสวีชิงได้ยินเกี่ยวกับการการรับเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

มุมปากของเฉิงเจียวหยางได้ยกขึ้นเล็กน้อย

หลังจากที่เดินตามสวีชิง และพวกเขาเดินผ่านตรอกซอกซอยหลายแห่งในที่สุด พวกเขาก็มาถึงประตูหลังโรงเรียนจนได้ เฉิงเจียวหยางรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าโรงเรียนของสวีเจี่ยวเจียวไม่ได้อยู่ไกลจากที่เธออาศัยอยู่เลย

เมื่อสวีชิงหยุดเดิน เฉิงเจียวหยางก็กล่าวขึ้นในทันทีว่า “อาจารย์บอกว่า อาจารย์กำลังรอเราอยู่ที่ห้องทำงานแล้วค่ะ”

แน่นอนว่าสวีชิงเดินนำทางอีกครั้ง และพวกเขาก็เดินไปยังอาคารที่อยู่ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนมากนัก

อาจารย์ซึ่งกำลังโทรหาเฉิงเจียวหยาง ได้หันมาเห็นเธอพอดี เขากำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานได้โบกมือเธอด้วยมือเดียว ในขณะที่อีกมืออีกข้างของเขากำลังวางสายโทรศัพท์

“อาจารย์เจียว” สวีชิงใช้ความคิด และเริ่มกล่าวทักทายก่อน

อาจารย์เจียวเงยหน้าขึ้นมาและเห็นพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน มันทำให้เขาต้องคลี่ยิ้มออกมา “คุณแม่ของเจี่ยวเจียวก็มาด้วย”

“พวกเราต้องขอโทษอาจารย์เจียวด้วยนะคะ ที่ทำให้ต้องรอนานเลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ จดหมายตอบรับชุดแรกเพิ่งมาถึงและในฐานะอาจารย์ของพวกเขา สิ่งสุดท้ายที่ฉันสามารถทำได้สำหรับพวกเด็กๆ คือการส่งจดหมายแจ้งให้พวกเขาทราบเป็นการส่วนตัวเนี่ยล่ะค่ะ”

สวีชิงพยักหน้ารับ และมองไปยังใบประกาศผลที่อยู่ในมือของอาจารย์เจียวด้วยความคาดหวัง

อาจารย์เจียวสังเกตเห็นว่าสวีชิงได้มองใบที่อยู่ในมือของเขาอยู่ เขาจึงหัวเราะและส่งหนังสือแจ้งการรับเข้ามหาวิทยาลัยของสวีเจี่ยวเจียวไปให้ พร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “ผลสอบของเจี่ยวเจียวนั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว เธอได้รับการยอมรับเข้ามหาวิทยาลัย F ที่โด่งดังที่สุดในจังหวัดของเราเลยล่ะ”

“ยังไงก็ตามนะเจี่ยวเจียว” อาจารย์เจียวได้มองไปที่เฉิงเจียวหยาง แล้วกล่าวต่อว่า “ฉันจำได้ว่า ตอนนั้นฉันถามคุณเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของคุณก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คุณบอกว่าคุณต้องการเลือก การเงิน หรือเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาเอกของคุณ ฉันไม่รู้ว่าคุณสนใจวิชาเอกภาษาต่างประเทศมากกว่า ...”

“ภาษาต่างประเทศ...? วิชาภาษาอังกฤษ...?” ในขณะนี้ที่สวีชิงกำลังอ่านเห็นเนื้อหาของใบตอบรับการเข้าเรียนและเธอก็หันไปมองเฉิงเจียวหยางด้วยความประหลาดใจ

คำพูดของอาจารย์และการแสดงออกของสวีชิง ทำให้ตาของเฉิงเจียวหยางต้องเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เป็นไปได้มั้ยว่า ก่อนหน้านี้เจ้าของเดิมของร่างนี้กรอกข้อมูลในใบหลักสูตรและเก็บมันไว้เป็นความลับโดยที่ไม่ได้บอกใครเลย?

ระหว่างทางกลับบ้านสวีชิงไม่สามารถยอมรับได้และถามออกไปว่า “เจี่ยวเจียว วันนั้นตอนที่ลูกกรอกแบบฟอร์มของลูก ลูกบอกกับแม่ว่าอันดับแรกที่ลูกเลือกคือวิชาเอกการเงิน... ทำไมลูกถึงเลือกที่จะเข้าเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ นี่ลูกกำลังจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัย F หลักสูตรภาษาต่างประเทศจริงๆ เหรอ...?”

“อาจจะ...” เฉิงเจียวหยางแสดงสีหน้าเฉยเมย “หลักสูตรภาษาอังกฤษ ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะคะ”

“แต่...ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ลูกอ่อนที่สุดเลยนะ!!”

เอ่อ....

เฉิงเจียวหยางกะพริบๆ ใช่แล้ว ... เธอเกือบลืมไปเลยว่า ตอนนี้เธออยู่ในร่างของสวีเจี่ยวเจียว

“เจี่ยวเจียวปีหน้า...แทนที่ลูกจะไปเรียนมหาวิทยาลัย ลูกเรียนซ้ำอีกปีดีกว่ามั้ยจ๊ะ? ไม่อย่างนั้นการเรียนที่มหาวิทยาลัยจะเป็นเรื่องยากสำหรับลูกนะ” สวีชิงพยายามพูดด้วยความหวังดี

“ไม่คะ!!” หลังจากพูดจบ เฉิงเจียวหยางก็เพิ่งรู้ตัวว่าน้ำเสียงของเธอรุนแรงเกินไป เธอเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูอาจจะไม่เก่งภาษาอังกฤษก็จริง แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปต่างประเทศหรือการเข้าทำงานกับบริษัทต่างประเทศ เราก็ต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษก่อนใช่ไหมคะ...? และตอนนี้หนูก็ได้รับการตอบรับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย F แล้วด้วย และการเรียนรู้ที่ดีในอนาคตของหนู จะได้ใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นด้วยค่ะ”

เมื่อได้พูดความจริงออกไปแล้ว ในตอนแรกเฉิงเจียวหยางก็ยังแอบกังวลอยู่มากที่สวีเจี่ยวเจียว เลือกที่จะสมัครหลักสูตรวิชาเอกภาษาจีน!! เมื่อก่อนตอนเฉิงเจียวหยางอายุสิบขวบ เธอได้ไปอยู่กับปู่ของเธอในยุโรป หลังจากนั้นเธอก็เริ่มศึกษาด้านการจัดการทางการเงินเพื่อเตรียมตัวเป็นทายาทที่ดีของปู่ ดังนั้นหากเธอได้รับการตอบรับในหลักสูตรวิชาเอกภาษาจีน เธอจะต้องคิดที่จะเปลี่ยนสาขาวิชาเอกของเธออย่างแน่นอน

“เจี่ยวเจียวในอนาคต...ลูกอาจจะลำบากได้นะ” สวีชิงกล่าวด้วยความลังเล

“อืมมม...” เฉิงเจียวหยางที่กำลังยุ่งอยู่กับการสะบัดผมยาวๆของเธอไปด้านหลัง เลยทำให้พวกเขาจ้องมองมาที่เธอ เมื่อเธอหยุดเดินกะทันหัน

“แม่พาเงินมาหรือเปล่าคะ...? หนูอยากไปตัดผม”

เธอสังเกตว่าหน้าม้าของเฉิงเจียวหยางนั้นยาวขึ้นเล็กน้อย สวีชิงจึงกล่าวว่า“เมื่อเรากลับถึงบ้าน แม่จะตัดหน้าม้าให้หนูเอง”

“หนูต้องการเปลี่ยนทรงผมด้วย ผมทรงนี้ไม่ได้แย่นะคะ แต่เมื่อหนูมองมันแล้วมัน ทำให้หนูหัวเราะไม่ออกเลยล่ะค่ะ”

สีหน้าของสวีชิงแข็งทื่อไปชั่วขณะ ตั้งแต่ลูกสาวของเธอยังเป็นเด็กผมของสวีเจี่ยวเจียวเธอได้เป็นคนตัดให้ตลอด...

“เอาล่ะ เราไปร้านทำผมกันเถอะค่ะ” สวีชิงได้เอามือแตะกระเป๋าของเธอ แต่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องเงิน ใบหน้าของเธอก็แสดงออกถึงความกังวลขึ้นมา

เนื่องจากเฉิงเจียวหยางเธอมีสายตาที่สั้น เธอจึงให้ความสำคัญกับสถานการณ์ตรงตอนนี้ของเธอและไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของสวีชิงเลย สิ่งที่เธอคิดตอนนี้คือทรงผมแบบไหนที่เหมาะกับเธอที่สุด

หลังจากเดินผ่านที่ทำการไปรษณีย์ที่เฉิงเจียวหยางเคยเข้าไปก่อนหน้านี้ พวกเขาก็แวะเข้าร้านเสริมสวยที่มีขนาดน้อยกว่ายี่สิบตารางฟุตเป็นร้านเล็กๆและอยู่ตรงข้ามสถานีรถบัส

“ยินดีต้อนรับค่ะ!” เมื่อเดินเข้ามาในร้าน พวกเขาได้รับการต้อนรับทันทีจากผู้ช่วยร้านทำผมที่มีรูปร่างผอมและดูสะดุดตา

“ลูกสาวของฉันต้องการเปลี่ยนทรงผมค่ะ” สวีชิงกล่าว

“ได้ค่ะ...เชิญทางนี้ได้เลยค่ะ”

เฉิงเจียวหยางใช้สายตาสำรวจภายในร้านแห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่ทำผมที่ร้านเล็กๆ แบบนี้ และด้วยการออกไปตกแต่งร้านกับทรงผมแปลกๆ ของผู้ช่วยเจ้าของร้าน แค่นี้เธอก็หมดหวังในช่างทำผมของร้านนี้แล้ว

เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยคนนั้นกำลังจะพาเธอไปสระผม เฉิงเจียวหยางจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ฉันสระผมมาแล้ว แค่ตัดอย่างเดียวค่ะ”

“โอเคค่ะ...เชิญนั่งที่ตรงนี้ก่อนนะคะ” ผู้ช่วยคนนั้นดึงเก้าอี้ของร้านเสริมสวยออกมาให้เธอนั่ง

หลังจากนั้นก็ชายหนุ่มที่ดูดีออกมาพร้อมกับมีผู้ช่วยยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ของเฉิงเจียวหยาง เขาปรับเก้าอี้ของเธอขึ้นมาให้อยู่ในกระจกในระดับสูงกว่าใบหน้าเธอไม่มาก ก่อนที่จะพูดว่า “คุณต้องการเปลี่ยนทรงผมเป็นแบบไหน...?”

“คุณมีปากกาและกระดาษมั้ยคะ...??” เฉิงเจียวหยางถามแทนที่จะเป็นคำตอบ

ชายหนุ่มถึงกับทำหน้างงงวย แต่ยังไงลูกค้าก็คือราชา ดังนั้นเขาจึงหันไปขอให้ผู้ช่วยคนหนึ่งนำปากกาและกระดาษมาให้เฉิงเจียวหยาง

ร้านเสริมสวยมีขนาดเล็ก ดังนั้นหากมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยทุกคนก็จะรู้หมด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือผู้ช่วยของพวกเขาต่างก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก

เฉิงเจียวหยางไม่ได้สนใจสายตาที่ทุกคนมองมาและวางกระดาษสีขาวลงบนโต๊ะด้านหน้าของเธอ ก่อนที่จะเริ่มวาดรูปภาพที่ทรงผมที่ต้องการลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ในรูปภาพเป็นภาพคล้ายหญิงสาวที่มีชั้นผมสั้นที่น่าดึงดูดแก่สายตา

ช่างทำผมยืนอยู่ด้านหลังของเฉิงเจียวหยาง ก็ต้องตกใจอย่างมาก

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผู้ช่วย ทำให้เขาต้องเดินเข้ามาดูและมันทำให้เขาต้องรู้ทึ่งมาก

แม้แต่สวีชิงที่รอดูอยู่ข้างๆเธอ ก็แทบจะไม่สามารถเก็บอาการความประหลาดใจบนใบหน้าของเธอไว้ได้เลย

“โอเค!! เสร็จล่ะ ทำทรงนี้ค่ะ” เฉิงเจียวหยางวางปากกาลง ปลายนิ้วเรียวของเธอชี้ไปที่รูปภาพบนกระดาษสีขาวในขณะที่เธอมองไปที่ช่างทำผม แล้วพูดต่อว่า “ไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ...?”

ช่างทำผมดึงได้ดึงสติของตัวเองกลับมา จากนั้นก็ร้องอุทานด้วยความชื่นชม เมื่อเขามองไปที่เฉิงเจียวหยาง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่มีปัญหา! ฉันไม่คิดเลยว่าผู้หญิงที่สวยๆอย่างคุณ จะเป็นนักศึกษาที่เรียนทางด้านศิลปะมาด้วย”

ไร้สาระเกินไปละ! เฉิงเจียวหยางได้เอนหลังพิงเก้าอี้และเห็นว่าช่างทำผมกำลังเดินไปรอบๆ เพื่อให้คนอื่นเห็นสิ่งที่เธอวาด ซึ่งนั่นมันทำให้เธอใจร้อน “เร็วๆหน่อยนะคะ ฉันรีบค่ะ”

“ได้ครับ...จะรีบทำเดี๋ยวนี้!”

สวีชิงที่นั่งมองดูลูกของเธอจากด้านหลัง ตอนนี้มีความรู้สึกมากมายเต็มไปหมด ประมาณสองวันที่แล้วเธอได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเกี่ยวกับเรื่องของเจี่ยวเจียวที่ได้เข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉิน มันทำให้เธอรู้สึกกลัวมากๆ จนเหมือนกับว่าวิญญาณครึ่งหนึ่งจากร่างกายของเธอได้หลุดออกไปเลยก็ว่าได้ แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ การเลี้ยงดูลูกสาวด้วยตัวคนเดียวจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เธอคิดว่ามันคุ้มค่ามาก นอกจากนี้เจี่ยวเจียวยังเป็นเด็กที่ทำงานหนักและมีผลการเรียนที่ดีเสมอมา เธอจึงไม่เคยคิดเลยว่าลูกสาวคนเก่งของเธอจะถูกรถชน และถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน!!

ตอนนั้นตำรวจจราจรให้เธอดูวิดีโอจากกล้องวงจรปิดเกี่ยวกับเหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ คนที่ผิดก็ไม่ได้เป็นคนขับ แต่เป็นเจี่ยวเจียว!! ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ เจี่ยวเจียวเดินร้องไห้และไม่ทันได้มองทาง ขณะที่เธอกำลังเดินข้ามถนน คนขับเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่ทันรถได้พุ่งตัวชนเข้ากับร่างของเจี่ยวเจียว ทำให้เธอล้มลงไปนอนกับพื้นและศีรษะของเธอไปกระแทกกับถนน นี่ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่โชคยังดีที่ไม่มีอาการบาดเจ็บอื่นๆ และน่าเสียดายที่คนขับรถไม่ได้โชคดี ด้วยความตกใจอย่างมากคนขับจึงมีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน!!

เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของเธอในวันนั้น แต่ในตอนที่เธอต้องการถาม เธอกลับไม่กล้าที่จะถามออกไป เนื่องจากมันอาจจะทำให้ลูกสาวของเธออารมณ์เสียได้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นหัวข้อที่น่าเศร้าเกินกว่าจะพูดออกไป

โชคดีที่เจี่ยวเจียว ในตอนนี้เธอดูร่าเริงมากขึ้น ... แต่ในขณะเดียวกันเธอกลับรู้สึกว่าโชคไม่ดีเลยที่เธอรู้สึกเหมือนไม่เข้าใจลูกสาวของเธอเลย

เธอไม่รู้มาก่อนว่าเจี่ยวเจียวจะวาดรูปได้ดีขนาดนี้…! ก่อนหน้านี้เจียวเจียวไม่เคยวาดอะไรเลยตอนอยู่ที่บ้าน ทันทีที่เธอจบการศึกษาจากโรงเรียน เจี่ยวเจียวนำสมุดบันทึกและสมุดแบบฝึกหัดไปทั้งหมดไปขายให้ร้านค้ามือสอง ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของที่ที่เจี่ยวเจียวเคยศึกษามาก่อนอยู่เลย

เมื่อเห็นลักษณะที่หน้าตาของเจี่ยวเจียวได้เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ภายใต้กรรไกรของช่างทำผม สวีชิงรู้สึกค่อนข้างรู้สึกผิด ทุกวันนี้เธอไม่สามารถหาเลี้ยงชีพ ทำให้ลูกสาวของเธอสุขสบายได้ เนื่องจากความสามารถที่จำกัดของเธอ และเพื่อประหยัดเงินเธอจึงต้องตัดผมให้ลูกสาวของเธอด้วยตัวเองอยู่เสมอ

“เสร็จแล้ว!” เสียงของช่างทำผม ได้ขัดจังหวะความคิดของสวีชิง

เฉิงเจียวหยางเปิดตาขึ้นและได้เห็นทรงผมใหม่ของเธอผ่านกระจก มันมีหน้าม้าแบบบางๆ บนหน้าผาก และรับกับดวงตาที่สวยงามของเธอ ทำให้ดวงตาของเธอโดดเด่นมากขึ้น ในขณะที่เส้นผมเส้นสั้น ๆ ล้อมรอบแก้มของเธอมันทำให้เธอดูสวยขึ้น ทำให้คางของเธอดูเล็กเข้ากับรูปหน้าของเธอ และด้วยรูปร่างบอบบาง รูปลักษณ์โดยรวมจึงทำให้ทรงผมสั้นที่มีเสน่ห์แบบนี้เหมาะกับเธอมากๆ

“มันเป็นอย่างไรบ้าง...?” ช่างทำผมถามอย่างคาดหวัง

“ก็ไม่แย่ค่ะ” เฉิงเจียวหยางตอบอย่างเฉยเมย

“ผู้หญิงสวยๆแบบหนู เหมาะที่จะไปเป็นนักแสดงหนังมาก จริงมั้ย...?”

“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ” เฉิงเจียวหยางตอบ เมื่อเธอมองไปที่ช่างทำผม “ฉันไม่ใช่ดารานักแสดงและฉันก็ไม่ชอบที่จะโพสต์ท่า ให้คนแปลกหน้าดูหรอกนะคะ”

เพียงมองนิดเดียว เฉิงเจียวหยางก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าช่างทำผมต้องการถ่ายรูปของเธอ เพื่อใช้เป็นโฆษณา

“คุณพอช่วยวาดให้เราเพื่อเป็นการฉลองที่คุณได้มาที่นี่ได้มั้ย..??” ช่างทำผมถามอย่างไม่ยอมแพ้

“คุณจะให้อะไรฉันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน”

ช่างทำผมจ้องที่เธออย่างว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะขออะไรบางอย่างเพื่อแลกกับการวาดภาพ แต่เขาก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เราจะไม่เรียกเก็บเงินคุณ สำหรับการบริการของเราในครั้งนี้”

“โอเค...อ้อ! ฉันยังสามารถวาดภาพให้คุณได้อีกหนึ่งรูปนะ ถ้าคุณทำผมให้แม่ของฉันด้วย” เฉิงเจียวหยางพูดพร้อมกับชี้ไปที่สวีชิง

“ได้...ไม่มีปัญหา!!” ช่างทำผมรับคำเห็นด้วยทันที

“ไม่ ไม่เป็นไรจ๊ะ…” สวีชิงโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

“ฟรีเลยนะแม่...ทำไมแม่ไม่ลองใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ล่ะคะ!?” เฉิงเจียวหยางมองไปที่สวีชิงอย่างประหลาดใจและโดยไม่รอให้สวีชิงปฏิเสธซ้ำ เธอก็เริ่มวาดรูปอีกรูป

หากเธอมีเงินมากพอ เธอจะพาสวีชิงไปยังร้านค้าทุกประเภทเพื่อปรับโฉมใหม่ให้สวีชิงทั้งหมด ความงามดั้งเดิมของเธอหายไปและตอนนี้ความงามแบบเดิมของเธอได้จางหายไปเหลือแต่เค้าของหญิงชราเท่านั้น

ทรงผมของสวีชิง มียากและดูซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับทรงผมของเฉิงเจียวหยาง เนื่องจากทรงผมของเธอไม่เพียงแต่เปลี่ยนเป็นแบบใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องได้รับการแก้ไขมันเพิ่มอีกด้วย อย่างไรก็ตามช่างทำผมไม่ได้บ่นอะไรเลย มือของเขาเปลี่ยนทรงผมของสวีชิงได้อย่างมืออาชีพและตรงตามการออกแบบบนกระดาษ แต่เนื่องจากต้องได้รับการแก้ไขทรงผมใหม่ จึงใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงกว่าจะเสร็จสมบูรณ์

ทรงผมอาจส่งผลต่อรูปลักษณ์และอารมณ์ของบุคคล หลังจากทรงผมของสวีชิงเปลี่ยนไป มันแตกต่างจากทรงผมก่อนหน้านี้ของเธอมาก เมื่อเทียบกับผมหางม้าเรียบดูเรียบๆของเธอก่อนหน้านี้

ช่างทำผมชื่นชมผลงานชิ้นเอกของเขา ขณะกล่าวชมไปด้วยว่า “ผู้หญิงสวยที่มีความสามารถอย่างคุณ สามารถเป็นนักออกแบบได้เลยนะ!!”

ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ช่วยพูดเสริมว่า “ด้วยความสูงของเธอ เธออาจจะเป็นนางแบบแฟชั่นก็ได้นะ! ดูเธอตอนนี้สิ เมื่อเทียบกับคนดังทั่วไป เธออาจจะสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าเขาด้วยซ้ำ”

“สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เธอมีชื่อเสียงได้เลยนะ นางแบบในโลกใบนี้มีมากมายก็จริง แต่จะมีสักกี่คนที่โด่งดังและมีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้” ปากของช่างทำผมกระตุกขณะที่เขาพูด

“แต่นางแบบก็สามารถทำเงินได้อย่างมาก เมื่อเร็วๆนี้เหมือนจะประกาศรับสมัครแข่งขันมองนางแบบหน้าใหม่อยู่นะ ได้ข่าวว่าผู้ที่ชนะจะได้รับรางวัลสองแสนดอลลาร์ ในขณะที่รางวัลที่สองและสามก็ได้รับเงินรางวัลเช่นกัน ตอนนี้น่าจะมีหลายคนได้ลงสมัครไปแล้วด้วย แม้แต่น้องสาวของฉันก็รีบไปสมัครเลยนะ คุณเป็นคนที่สวยคุณไม่อยากลองดูเหรอ! ใครจะไปรู้บางทีคุณอาจจะชนะก็ได้นะ!” ผู้ช่วยดูตื่นเต้นมากในขณะที่พูด เขาเริ่มที่จะพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“ลูกสาวของฉันเพิ่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Fค่ะ”

สวีชิงไม่สามารถรอให้เข้าพูดจบได้ จึงพูดขัดจังหวะขึ้นมา เพราะเธอมีความเห็นเสมอว่าการศึกษาเป็นวิธีที่เหมาะสมและสามารถช่วยให้ลูกของเธอสุขสบายในอนาคตได้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวของเธอเพิ่งสอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย

ดูเหมือนว่าผู้ช่วยยังต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาของช่างทำผมเขาก็เลือกที่จะไม่พูดออกมาแทน แม้จะรู้สึกไม่พอใจก็ตาม

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ด้วยรูปลักษณ์ของลูกสาวของคุณ ฉันคิดว่าจะมีโอกาสที่ดีในอนาคต” ช่างทำผมกล่าวในขณะที่หัวเราะไปด้วย

"ขอบคุณมากค่ะ!!" การแสดงออกของสวีชิงเริ่มดีขึ้นมาก หลังจากได้ยินคำพูดนั้น

“ไปกันเถอะค่ะ” เฉิงเจียวหยางกล่าว ในขณะที่เธอยืนขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด