ตอนที่แล้วChapter 2 การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 4 การสัมภาษณ์

Chapter 3 ก้าวผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน


ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เฉิงเจียวหยางที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนได้มองดูสวีชิงที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการทำงานบ้าน แม้ว่าบ้านของพวกเขาจะดูเล็กๆ แต่เชื่อมั้ยก็ยังมีอะไรให้ทำอยู่เป็นประจำเลยล่ะ

ในความทรงจำของเธอ เมื่อก่อนแม่ของเธอได้พาเธอออกไปอาศัยอยู่ในบ้านพักของคุณปู่ และได้สั่งให้ป้าจางดูแลในเรื่องของอาหารทั้งสามมื้อและมีแม่บ้านประจำเพื่อดูแลคฤหาสน์ ซึ่งเธอไม่เคยเห็นแม่ของเธอทำงานบ้านมาก่อนเลย

แต่แม่คนปัจจุบันของเธอในตอนนี้กลับทำงานบ้านจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา จนเธอไม่อยากจะเชื่อเลย..!! บุคลิกของเธอค่อนข้างอ่อนแอและสมควรที่จะได้รับคำชมเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่ว่าคนเป็นแม่ทุกคนจะสามารถเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวได้หรอกนะ

“เจี่ยวเจียว แม่อาบน้ำเสร็จแล้ว ลูกรีบไปอาบน้ำได้แล้วจ่ะ!” เสียงของสวีชิงตะโกนออกมาขัดจังหวะความคิดของเฉิงเจียวหยาง

คืนนั้น เฉิงเจียวหยางได้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะอากาศที่ร้อนเกินไปมันทำให้เธอนอนไม่ได้เลย และเมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอกลัวจนแทบจะกระโดดหนีเมื่อสายตาหันไปเห็นเงาที่อยู่ตรงปลายเตียง แต่เนื่องจากเธอสายตาสั้น เงาตรงนั้นจึงมืดและมีลักษณะที่แปลกประหลาดเป็นพิเศษ

มือของเธอเร็วเท่าความคิด...!! รีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเปิดไฟฉาย และทันทีที่ส่องแสงไฟไปที่เงาตรงนั้น เธอก็เห็นสวีชิงที่ยืนอยู่เพียงคนเดียว

เฉิงเจียวหยางเอามือลูบที่อกอย่างรู้สึกโล่งใจ แล้วถามสวีชิงอย่างสุภาพว่า “ทำไมแม่ถึงยังไม่นอนล่ะคะ...?” ซึ่งตอนนี้มันก็ดึกแล้วด้วย! เธอกำลังทำอะไรนะ แทนที่จะนอนกลับมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงแบบนี้

โชคดีนะเนี่ย...ที่ร่างนี้เธอไม่ได้เป็นโรคหัวใจ !!

สวีชิงก็ต้องตกใจ เมื่อได้ยินเสียงของเฉิงเจียวหยาง และเธอก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “แม่กำลังจะไปนอนแล้วจ่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงแหบๆของสวีชิง เฉิงเจียวหยางจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟในห้อง ตามที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด เธอเห็นสวีชิงพยายามซ่อนดวงตาที่บวมและแดงก่ำจากการร้องไห้ของเธอไว้

กลางดึกแบบนี้ทำไมเธอถึงมานั่งร้องไห้ตามบวมแบบนี้นะ หรือว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น...!! สำหรับตัวเธอนั้น ในเวลาที่ผู้ชายที่เธอรักไปสนิทสนมกับผู้หญิงหน้าอกใหญ่ต่อเธอ เธอก็ไม่ได้ร้องไห้จริงๆ อย่างน้อยในเวลาที่เธอรู้สึกท้อแท้เธอก็จะทำเพียงนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่คนเดียว

“เกิดอะไรขึ้นค่ะ...มีใครมาแกล้งแม่คะ..!?”

“ไม่มีอะไรจ่ะ...” สวีชิงหันหน้าหนี และแอบเช็ดน้ำตาของเธอ "ลูกก็ไปนอนได้แล้วนะจ๊ะ"

“หนูเห็นนะคะ ว่าแม่กำลังร้องไห้ เกิดอะไรขึ้นคะแม่...? หนูเป็นลูกสาวของแม่นะคะ ดังนั้นหากมีปัญหาเราก็ควรที่จะร่วมกันเผชิญหน้าปัญหานั้นไปด้วยกันสิคะแม่”

สวีชิงมองไปที่เฉิงเจียวหยางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังลังเลที่จะพูดออกมา อยู่น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาราวกับเขื่อนแตก

เฉิงเจียวหยางลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างๆกับสวีชิง และยื่นมือออกไปเธอโอบกอดสวีชิง ในขณะที่เธอพูดเบาๆ “หนูโตแล้วนะคะ แม่สามารถคุยกับหนูได้ทุกเรื่องนะคะ บางครั้งเราอาจจะมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่อาจมีบางคนที่มีวิธีการแก้ไข และในตอนนี้ครอบครัวของเรามีกันอยู่เพียงเราสองคน ดังนั้นแม่เชื่อใจหนูได้นะคะ!!”

สวีชิงเป็นหัวหน้าของครอบครัวมาโดยตลอด และตอนนี้ลูกสาวของเธอก็กำลังปลอบโยนเธอ มันทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้น มันเหมือนกับว่าเธอได้เติมพลังจากอ้อมกอดนั้น มันทำให้สวีชิงต้องหลั่งน้ำตาแห่งความขมขื่นออกมาอีกครั้ง

เฉิงเจียวหยางได้ลูบด้านหลังของสวีชิงซ้ำๆเพื่อปลอบโยน และเธอก็ปล่อยให้สวีชิงร้องไห้ออกมาให้ บางครั้งการร้องไห้ออกมามันก็ยังดีกว่าที่เราเก็บความทุกข์นั้นไว้ในใจเป็นไหนๆ

เมื่อสวีชิงเริ่มสงบลงเรื่อยๆ เฉิงเจียวหยาง ก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ...แม่บอกหนูได้มั้ยคะ...ว่าทำไมแม่ถึงมานั่งร้องไห้ตอนนี้…?”

“เจี่ยวเจียว แม่ทำลูกต้องผิดหวัง…” สวีชิงไม่สามารถปกปิดเสียงร้องไห้ของเธอได้

“จะเป็นไปได้ยังไงคะ...? คนอื่นอาจจะทำให้หนูผิดหวัง แต่แม่จะไม่ทำแบบนั้น หนูเชื่อแบบนั้นค่ะ!!”

สวีชิงรู้สึกปลื้มกับคำพูดที่เด็ดเดี่ยวของเฉิงเจียวหยาง และในที่สุดเธอก็ยอมบอกออกมา ถึงสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเศร้าขนาดนี้

สวีชิงทำงานเป็นตัวแทนขายในร้านขายโทรศัพท์มือถือในศูนย์การค้า เมื่อวานหลังจากทำงานในช่วงบ่าย เธอไม่สนใจอะไรเลย เนื่องจากเธอคิดถึงลูกสาวของเธออยู่ตลอดเวลา และนั่นทำให้มีคนแอบเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือใหม่สามเครื่องเป็นของปลอม กว่าเธอจะรู้สึกตัวโทรศัพท์ก็ได้ถูกขโมยไปแล้ว เนื่องจากในช่วงที่เธอส่งของกลับไปที่เคาน์เตอร์มันอาจจะใช้เวลาสักพัก แต่เมื่อถึงตอนนั้นนักต้มตุ๋นก็ได้หนีไปแล้ว

แม้ว่าพวกเขาแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตำรวจทันที แต่นักต้มตุ๋นก็ยังสามารถหลบหนีได้ บวกกับความจริงที่ว่า สวีชิงได้ขอลางานเป็นช่วงเวลานาน จึงทำให้เจ้าของร้านก็รู้สึกไม่พอใจมากและเธอก็ถูกไล่ออก นอกจากนี้เขายังบังคับให้เธอชดใช้ค่าโทรศัพท์มือถือทั้งสามเครื่องที่ถูกขโมยไปด้วย หากพวกเขาไม่สามารถจับคนผิดได้และพวกเขาจะไม่คืนเงินให้เธอ

เงินออมของเธอเกือบห้าพันดอลลาร์หายไปในชั่วข้ามคืน เงินเกือบทั้งหมดที่เธอเก็บไว้สำหรับค่าเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของลูกสาวของเธอ! เธออยากให้ลูกสาวของเธอได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดี แต่ถ้าไม่มีเงินค่าเล่าเรียนเธอจะทำอะไรได้อีก นอกจากหลั่งน้ำตาอันขมขื่นด้วยความหงุดหงิด...?

“ยังไงเงินมันก็หายไปแล้วนะคะ ยังมีวิธีหาเงินจำนวนนั้นคืนมาอีกมากมายนะคะ ยิ่งไปกว่านั้นมหาวิทยาลัยยังสามารถเข้าร่วมในการกู้เพื่อการศึกษาได้นะคะ เรื่องนี้แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เฉิงเจียวหยางกล่าวเพื่อปลอบใจสวีชิง

หลังจากได้ระบายความทุกข์ในใจของเธอแล้ว สวีก็สงบลงมาก ในขณะที่อีกด้านหนึ่งเธอก็ได้สัมผัสกับคำพูดที่ดูมีเหตุผลของลูกสาว ในทางกลับกันเธอไม่ต้องการปล่อยให้ลูกสาวตัวน้อยต้องรับผิดชอบเช่นนี้ เธอจึงพูดขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ฉแม่จะไปหาลุงของลูกเพื่อยืมเงิน เจี่ยวเจียวแม่จะทำให้ลูกมั่นใจว่า แม่จะสามารถทำให้ลูกสาวของแม่เข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่นให้ได้!!”

ลุงเหรอคะ...?

“ลุงจะให้พวกเรายืมเงินหรือเปล่าคะ...?”

หลังจากที่เฉิงเจียวหยางถามออกไป เธอสังเกตเห็นว่าสวีชิงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย และเธอรู้ทันทีเลยว่าลุงคนนี้จะไม่สามารถช่วยเราได้

ไม่มีสามีหรือครอบครัวที่พวกเขาสามารถพึ่งพาอาศัยกันได้จึงไม่แปลกใจเลยที่เมื่อพวกเขาต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนว่าท้องฟ้ากำลังจะล่มสลาย

เมื่อก่อนนี้ เธอไม่ได้สนใจกับเงินห้าพันดอลลาร์เลย เธอไม่เคยคิดเลยว่าเงินจำนวนนี้จะทำให้ครอบครัวของเธอต้องกังวลมากมายขนาดนี้

แม้ว่าตอนนี้จะพ้นเที่ยงคืนมาแล้วก็ตาม เฉิงเจียวหยางก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองนอนหลับได้ เธอคิดไม่ตกเลยว่าว่าเธอจะสามารถแก้ไขปัญหาของครอบครัวได้อย่างไร

แม้ว่าสวีชิงจะสามารถหากู้เงินมาได้ แต่มันก็เป็นไม่เพียงพออยู่ดี วิธีเดียวที่จะออกจากภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ คือการการหาแหล่งรายได้ที่ดี

เมื่อลองนั่งคิดถึงสถานการณ์จากอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนว่าทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือ การที่เธอต้องเข้าร่วมในการเลือกเฟ้นหานางแบบ

ในวันถัดไป เฉิงเจียวหยางไม่ได้ไปบ้านลุงของเธอกับสวีชิง เธอโกหกไปว่าเพื่อนเก่าของเธอได้นัดให้ออกไปเจอกันเพื่อคุยอะไรบางอย่างและขอเงินจากสวีชิงเล็กน้อยก่อนออกไปข้างนอก

หลังจากลองค้นหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตดูแล้ว เฉิงเจียวหยางก็ตรงออกไปที่สถานที่รับลงทะเบียนทันที

ตรงข้ามกับการลงทะเบียนออนไลน์ การมาสถานที่เพื่อลงทะเบียนเองนั้น มันเด็ดขาดกว่า เมื่อลงทะเบียนด้วยตนเองจะมีเจ้าหน้าที่ คอยตรวจวัดเกณฑ์สัดส่วนของผู้สมัครทุกคน เขาจะวัดขนาดของหน้าอก เอว และสะโพก รวมถึงส่วนสูง และน้ำหนักด้วย หากผ่านการตรวจร่างกายตามเกณฑ์ ผู้สมัครจะไปยังต่อที่ในรอบของการสัมภาษณ์ต่อไป หากพวกเขาสามารถผ่านการสัมภาษณ์พวกเขาก็จะสามารถมีได้เข้าร่วมในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับการลงทะเบียนออนไลน์ยุ่งยากกว่าเยอะ หลังจากกรอกข้อมูลแล้วผู้สมัครจะต้องรอให้ระบบตรวจสอบคุณสมบัติของพวกเขา และหลังจากนั้นพวกเขาจะต้องสัมภาษณ์ทางวิดีโอ เมื่อพวกเขาผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์ทางวิดีโอแล้ว พวกเขาจะต้องจองเวลาเพื่อไปที่สถานที่ลงทะเบียนเพื่อทำการวัดสัดส่วนต่างๆ เฉพาะในกรณีที่ผลการวัดและข้อมูลการลงทะเบียนได้รับการอนุมัติแล้วเท่านั้น จึงสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้

สถานที่ลงทะเบียนนั้น ดูใหม่กว่าในเมืองที่เฉิงเจียวหยางอาศัยอยู่ซะอีก โชคดีที่ที่นี่มีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่เธอต้องไป นอกเหนือจากเมื่อวานที่เธอออกจากโรงพยาบาลใหญ่กับสวีชิง เฉิงเจียวหยางก็ยังไม่เคยขึ้นรถบัสมาก่อนเลย และก็นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ เธอจึงพยายามดูอย่างรอบคอบ ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่เธอขึ้นรถบัสเพียงลำพัง เธอก็ไม่ได้สับสนเลย

เฉิงเจียวหยางได้ขึ้นรถบัสไปที่สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดก่อน จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ลงทะเบียน

ตอนนี้ 9 โมงเช้าแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากเข้าแถวเพื่อกรอกข้อมูลที่โต๊ะลงทะเบียน อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการลงทะเบียน

เด็กผู้หญิงทุกคนที่รอลงทะเบียนเข้าร่วมนั้นทั้งสวยและสูงกันทั้งนั้น ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของพวกเขาได้รับการเลือกอย่างสรรอย่างพิถีพิถันเพื่อให้พวกเขาดูโดดเด่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เห็นได้ชัดว่ามีเด็กผู้หญิงสองคนมาด้วยกันและตอนนี้กำลังตื่นเต้นกับการพูดคุยกับสำเนียงตะวันออกเฉียงเหนือ

“โอ้พระเจ้าฉันตื่นเต้นมาก! หยางเปาคิดว่าฉันจะผ่านมั้ย....?” ในขณะที่คิวค่อยๆเดินหน้าไปข้างหน้าเด็กสาวร่างสูงที่อยู่ด้านหน้าทำท่าทางประหม่าถามเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ

“ได้แน่นอน! เธอไม่ต้องเครียดหรอก” หญิงสาวที่โดนถาม ยกมือขึ้นทำท่าทางที่ให้กำลังใจหยางเปา

ในขณะที่เฉิงเจียวหยางเฝ้าดูปฏิกิริยาระหว่างเด็กหญิงสองคน มุมปากของเธอก็งอลงเล็กน้อย หญิงสาวสวยคนนั้นเธอมีเพื่อนที่ดีมากนะ มีคนคอยอยู่ข้างๆพร้อมที่จะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อมกับเธอ พวกเขาสองคนทำสิ่งที่บ้าๆ หลายอย่างด้วยกัน

เมื่อเธอนึกถึงว่าตัวตนของเธอแตกต่างกับตอนนี้ราวฟ้ากับเหวกับโลกเธอ ในตอนนั้น เธอรู้สึกเสียใจมากที่ตัดสินใจกลับไปยังประเทศเกิดของเธอ ถ้าเธอยังไม่ได้กลับบ้านบางทีในเวลานี้เธออาจจะยังคงสนุกกับชีวิตในฐานะหญิงสาวคนนึง เธออาจจะไปเลือกซื้อของที่ร้านค้ากับเหมยหนิว ได้ส่งสายตาหวานๆให้หนุ่มๆได้กระแอมกระไอเล็กๆน้อยๆ และแม้ว่ามันจะทำให้เธอเจ็บปวดมันก็ไม่สำคัญ เธอไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า ทำไมในเวลานั้นเธอถึงยืนยันที่จะกลับบ้าน เพื่อไปต่อสู้กับคนโง่ของตระกูลเฉิง..!?

โอ้ แต่ไม่เป็นไร พูดตามตรงนะว่าในเวลานั้นเธอคิดว่าเธอไม่มีความสุขและต้องการหาสิ่งที่จะทำให้เธอพึงพอใจได้ จากนั้นเธอก็นึกถึงคู่แม่และลูกสาวของตระกูลเฉิง ที่ทำลายชื่อเสียงของเธออย่างเลวทราม เธอรู้ว่าเธอแตกต่างจากตัวตนเก่าของเธอมาก เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวกันที่ไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับกลอุบายของแม่เลี้ยงได้อทำให้เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปอยู่ต่างประเทศกับปู่ของเธอ ดังนั้นเธอจะไม่ยอมให้พวกเขามีชีวิตที่สุขสบายแน่ๆ..!!?

หากความรู้สึกของคุณเต็มไปด้วยความเกลียดชังและมีความความแค้นภายในใจ แน่นอนว่าคุณจะต้องเลือกการแก้แค้นเอาคืนกับคนที่ได้ทำกับคุณไว้อย่างสาสม

การเริ่มต้นแก้แค้นของเธอค่อนข้างราบรื่น แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไร หวานใจของน้องสาวเธอก็ได้มาสารภาพรักกับเธอ มันทำให้เธอตกใจมาก เพราะเธอไม่ได้คาดหวังว่าเหยื่อของเธอจะส่งตัวเองมาถึงที่ประตูของเธอแบบนี้ ในเวลานั้นใบหน้าเจื่อนๆและสีหน้าที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดของเฉิงชื่อหยุน ทำให้เฉิงเจียวหยางรู้สึกค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก

เฉิงชื่อหยุนไม่เคยคิดเลยว่าเฉิงเจียวหยาง ที่ถูกทำลายชื่อเสียงอย่างผิดๆ และถูกทำไม่ดีใส่ โดยคนที่อิจฉาความสำเร็จของเธอ จะสามารถแย่งคนรักของเธอไปได้แบบง่ายดาย

แน่นอนว่าเฉิงชื่อหยุนไม่อาจยอมรับความอับอายแบบนั้นได้ เธอใช้ประโยชน์จากวันเกิดของเธอ เธอได้เชิญคนรักของเธอไปงานเลี้ยงของเธอ แล้วถ่ายรูปอย่างลับๆ ในสถานการณ์แบบนี้คนอื่นสามารถเข้าใจผิดได้ง่าย และต่อไปเธอจะส่งรูปถ่ายเหล่านั้นไปให้เฉิงเจียวหยาง

เฉิงเจียวหยางเพิ่งจะทำการสอบเสร็จ ตอนนี้เธอจึงมีเวลาว่างและเบื่อๆ เธอจึงตัดสินใจไปเยี่ยมคู่รักที่เป็นชู้กันคู่นั้น เธอกำลังคิดที่จะเปิดเผยความลับของเฉิงชื่อหยุน

ต่อมา ...

จากนั้น เธอจะกลายเป็นสวีเจี่ยวเจียว

เธอใช้เวลาหลายปีในการดูแลร่างกายของเธออย่างดีเยี่ยม เพื่อที่เธอจะได้ใช้ชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี ใครจะเดาได้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเร็วเกินไปและทำให้เธอแทบบ้า มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องโรคของเธอ ตอนที่เธอเกิดมาแม่ของเธอไม่ได้บอกให้ใครรู้เรื่องอาการเจ็บป่วยของเธอ ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไม แม้แต่กับพ่อแม่ก็ยังเลือกที่จะเก็บไว้เป็นความลับ

หลังจากวันเกิดตอนอายุแปดขวบของเฉิงเจียวหยาง แม่ของเธอก็ได้เสียชีวิต จากนั้นประมาณสองหรือสามเดือนต่อมา เธอพบว่าพ่อของเธอแอบมีผู้หญิงคนอื่นและแถมมีลูกสาวของเธอติดมาด้วยอีกคน เธอค้นพบแล้วว่าสาเหตุที่แม่ต้องจากเธอไปเร็วเพราะความผิดหวังและตรอมใจกับเรื่องของสองแม่ลูกนี้แน่ แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากที่เฉิงเจียวหยาง ผลักแม่เลี้ยงออกไป มันส่งผลให้เธอต้องแท้งลูก!! เห็นได้ชัดว่าแม่เลี้ยงของเธอตั้งครรภ์ประมาณสองเดือน หลังจากเกิดอุบัติเหตุพ่อเฉิงเจียวหยางได้พาแม่และลูกสาวคู่นั้นกลับมาพร้อมกับเขาเพื่ออาศัยอยู่ในบ้านของพวกเรา ในเวลาปีกว่าๆ หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เฉิงเจียวหยางกลายเป็นที่รู้จัก ในฐานะเด็กที่เลวทรามต่ำช้าในสายตาทุกคน ในเวลานี้ปู่ของเธอก็ได้พาเธอไปเที่ยวต่างประเทศ

เมื่อเฉิงเจียวหยางอายุมากขึ้น ประสบการณ์และความรู้ของเธอก็เพิ่มขึ้น จนถึงจุดที่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องในวัยเด็ก เธอก็จะนึกได้แต่เรื่องในตอนนั้น แต่มันไม่ใช่เธอในตอนนี้ เพราเธอในตอนนี้จะไม่ตกหลุมกับดักของยัยสองแม่ลูกนั่นแน่นอน!!

“คุณเห็นแบบฟอร์มบนหน้าจอมั้ย...? ก่อนอื่นให้แน่ใจว่าคุณกรอกในส่วนที่จำเป็นครบถ้วนแล้วนะคะ ตอนนี้ช่วยส่งบัตรประจำตัวประชาชนของคุณมาด้วยค่ะ เพื่อให้ฉันสามารถตรวจสอบได้ และหลังจากตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณสามารถเดินตรงไปยังพื้นที่ที่ใช้ทดสอบสำหรับขั้นตอนต่อไปได้เลยค่ะ” มีมือหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังคอมพิวเตอร์ ชี้ไปที่โต๊ะในทิศทางตรงข้ามกับพื้นที่ลงทะเบียน

ถึงคิวของเฉิงเจียวหยางแล้ว ทำให้เธอหลุดออกมาจากความคิดของเธอ และหยิบบัตรประจำตัวประชาชนของเธอออกมา เธอกวาดสายตาดูอย่างรวดเร็วเพื่อดูรายละเอียดที่เขียนไว้ เธอส่งบัตรคืนมาแล้วเลื่อนเมาส์ไปกรอกแบบฟอร์ม

หลังจากที่เธอป้อนชื่อแล้ว เจ้าหน้าที่อยู่ด้านหลังโต๊ะ ก็เรียกเธอไปหา “มีตรงนี้ผิดนะคะ ชื่อของคุณบนบัตรประชาชนคือสวีเจี่ยวเจียว แต่คุณเขียนเฉิงเจียวหยาง คุณไม่ใช่คนจริงในบัตรประจำตัวประชาชนนี้เหรอ...??”

เฉิงเจียวหยางตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงออกแปลกๆออกไป และเมื่อได้สติเธอจึงพูดว่า “โอ้ พอดีฉันเพิ่งไปเปลี่ยนชื่อมาค่ะ และฉันก็ยังไม่ชินกับชื่อใหม่เลยค่ะ” เธอส่งบัตรประชาชนคืนมาและกรอกหมายเลข ID พร้อมกับข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ ต่อไป

หลังจากตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้วเจ้าหน้าที่จะสแกนบัตรประจำตัวประชาชนและแนบสำเนาไว้ในแบบฟอร์มของเธอ เมื่อเธอส่งบัตรประจำตัวไปให้เขาอีกครั้ง เขาก็จ้องที่ภาพถ่ายบนสำเนาบัตรประชาชนและบ่นอย่างสงสัยว่า “นั่นเธอจริงๆเหรอ...?”

มุมปากของเฉิงเจียวหยางก็ได้งอลงอีกครั้ง เธออยากจะบอกว่า เธอไม่ใช่คนในรูปนั่น!!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด