ตอนที่แล้วNYSS บทที่ 8: ลาก่อนท่านอาจารย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปNYSS บทที่ 10: สาวสวยแสนพิเศษ

NYSS บทที่ 9: อุปสรรคน่าหวาดหวั่นกว่าพันไมล์


NYSS บทที่ 9: อุปสรรคน่าหวาดหวั่นกว่าพันไมล์

 

หยางติงเทียนมองดูสถานที่ที่ตงฟางเนี่ยเมี่ยได้หายไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทางไปทางตะวันออก เขาสามารถที่จะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูงกว่าตอนที่อยู่บนโลก ร่างกายของเขาเบา ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งกว่าช่วงชีวิตก่อนหลายเท่า

 

แม้ว่าเขาเพิ่งสำเร็จขั้นตอนการหยั่งรู้ แต่เขาก็ได้ชำระล้างชีพจรทั้งสามเส้น ด้วยผลลัพธ์นี้มันเหมือนกับว่ามีลมพัดผ่านร่างกายของเขา ถ้าเขายังอยู่บนโลกเขาต้องทำลายสถิติโลกทุกอย่าง

 

สองชั่วโมงหลังจากนั้น หยางติงเทียนได้วิ่งไปมากกว่า 100 กิโลเมตร แน่นอนว่า เขาไม่ได้วิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุด อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาวิ่งเร็วกว่าเดิม เขาคงต้องใช้พลังจนหมดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาต้องรักษาสมดุลเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

 

หลังจากนั้นประมาณสิบชั่วโมง หยางติงเทียนก็ได้วิ่งไปถึงห้าร้อยกิโลเมตรโดยไม่รู้สึกถึงความเมื่อยล้า โลกแห่งผู้ฝึกยุทธนี้ช่างมหัศจรรย์ หยางติงเทียนเพียงแค่สำเร็จขั้นหยั่งรู้ก็สามารถวิ่งได้ถึงห้าร้อยกิโลเมตรต่อวันโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่มีผลมากที่สุดสำหรับสภาพปัจจุบันของเขาก็คือการชำระล้างชีพจรไปจนถึงชั้นที่สาม

 

อย่างไรก็ตามเขาก็วิ่งไปเจอกับพายุหิมะหนัก ปะทะเข้ากับลมแรงที่คอยต้านเขา ผลก็คือการเคลื่อนที่ไปข้างหน้ากลายเป็นสิ่งยากลำบาก และต้องใช้พลังมากกว่านั้นเพื่อทำอะไรเช่นนั้น เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ขุดหลุมใต้หิมะเพื่อซ่อนตัวและรอคอยให้พายุหิมะผ่านไป

 

เขาอยู่ในหลุมนานถึงสามวันเต็ม

 

สามวันหลังจากนั้น สภาพอากาศปลอดโปร่งขึ้น อย่างไรก็ตามท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำเงินเหมือนท้องทะเล ตะวันฝาแฝดราวกับอัญมณีที่ส่องแสงสู่พื้นโลก การจ้องมองลงไปยังแสงสะท้อนของหิมะทำให้เกือบลืมตาไม่ขึ้น

 

หยางติงเทียนโผล่ออกมาจากใต้พื้นหิมะ เขาโชคดีที่มีร่างเก้าหยาง มิเช่นนั้น เขาคงจะตายจากการหายใจไม่ออกหลังจากถูกฝังลงไปใต้พื้นหิมะสองสามเมตร

 

ตามจริงนับว่าเป็นสิ่งที่แปลกอย่างแท้จริงหลังจากชำระล้างไขสันหลังและชีพจร หยางติงเทียนไม่ได้ต้องการออกซิเจนมากนัก เขาสามารถกลั้นลมหายใจได้เกือบยี่สิบนาที และสามารถมีชีวิตรอดในที่ที่มีออกซิเจนน้อยได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

ในที่สุดสภาพอากาศก็กลับมาดีขึ้น หยางติงเทียนจึงวิ่งต่อไปทางทิศตะวันออกด้วยความเร็วสูง อย่างไรก็ตาม เขาวิ่งไปพร้อมกับหลับตาในเมื่อหิมะโดยรอบล้วนแยงตามากเกินไป นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากหิมะเป็นระยะนับหมื่นเมตร ไม่มีความเสี่ยงใดที่จะปะทะเข้ากับบางสิ่งขณะที่เขาอยู่ที่นี่

 

หยางติงเทียนช่างโชคดีมากเมื่อท้องฟ้าแจ่มใสนานถึงสามวัน

 

ในระยะเลาสามวันนี้ หยางติงเทียนได้วิ่งไกลกว่าพันกิโลเมตร อย่างไรก็ตามเขาก็พบเข้ากับพายุหิมะหนักอีกครั้ง ดังนั้นเขาก็ได้แต่ขุดหลุมซ่อนตัวอีกครั้ง

 

เขาต้องซ่อนตัวนานถึงเจ็ดวัน คราวนี้หิมะและพายุล้วนกล้าแข็งกว่าครั้งก่อน

 

เมื่อเขาคลานออกมาจากหลุมในวันที่เจ็ด เขาก็รู้สึกเหน็บหนาวและอ่อนแอ นี่เป็นเพราะว่าพลังงานในร่างกายของเขาได้ใช้หมดไปอีกครั้ง ดังนั้นหยางติงเทียนจึงนำเอาโอสถเพลิงที่เขาเก็บไว้ในหูออกมากิน

 

ทันใดนั้นเองขุมพลังงานกล้าแข็งก็ระเบิดออกมาจากภายในร่างของเขาและไหลไปทั่วชีพจรของเขา มันช่างอบอุ่นและสุขสบายยากอธิบาย และจากขุมพลังกล้าแข็งนี้ หยางติงเทียนค่อยรับรู้ถึงอวัยวะต่างๆและฟื้นคืนความแข็งแกร่ง

 

ใช้ประโยชน์จากขุมพลังนี้ หยางติงเทียนก็ออกวิ่งไปทางตะวันออกพร้อมกับหลับตา

 

วิ่ง วิ่ง วิ่ง…

 

ภายใต้แสงจ้าของตะวันทั้งสองในระยะหมื่นกิโลเมตรของหิมะน้ำแข็ง จะพบเห็นจุดสีดำเคลื่อนผ่านด้วยความเร็วสูง

 

คราวนี้พระเจ้าดูเหมือนจะเฝ้าดูหยางติงเทียนเมื่อท้องฟ้าแจ่มใสเป็นเวลากว่าเก้าวัน ว่าไปแล้วมันเริ่มมืดมัวลงในวันที่ห้าจนหยางติงเทียนกังวลว่าหิมะหนักอาจจะกลับมา แต่สุดท้ายหิมะเพียงแค่ตกไม่เกินสามชั่วโมงก่อนที่เมฆจะกระจายตัวไป

 

ในช่วงเวลาเก้าวันนี้ หยางติงเทียนได้วิ่งมาไกลกว่าสามพันกิโลเมตร สุดท้ายเขาก็สามารถที่จะไปจากธารน้ำแข็งหมื่นลี้นี้ได้หลังจากวิ่งต่อไปอีกพันกิโลเมตร

 

ในขณะที่เขาเตรียมตัววิ่งระยะพันกิโลเมตรสุดท้าย หยางติงเทียนก็ปะทะเข้ากับพายะหิมะที่แข็งกล้าที่สุดที่เขาได้พบมา ลมรุนแรงจนแทบจะพัดเขาปลิวไป หยางติงเทียนไม่มีทางเลือกนอกจากขุดหลุมซ่อนตัวอีกครั้ง

 

ข่าวดีก็คือพายุหิมะมาเร็วและหนักหน่วงและจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน พายุหยุดลงหลังจากผ่านไปสองวัน และท้องฟ้าก็สดใสอีกครั้ง อย่างไรก็ตามหลังจากคลานออกมาจากหลุม หยางติงเทียนก็ไม่เหลือพลังงานในร่างมากนัก เขาจะข้ามระยะทางหนึ่งพันกิโลเมตรนี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง

 

สี่วันให้หลัง หยางติงเทียนก็ได้วิ่งถึงหนึ่งพันกิโลเมตร แต่พลังงานจากโอสถเพลิงก็ได้ใช้ไปจนหมดสิ้น หยางติงเทียนไม่มีอะไรกินนอกจากน้ำแข็งและหิมะ ร่างของเขาเริ่มอ่อนแอลงตามเวลาที่ผ่าน เขาหยุดวิ่งและเริ่มเดิน สุดท้ายร่างกายของเขาก็เริ่มชา สายตาเริ่มมืดมัวถึงขั้นที่ว่าหากเขาล้มลง เขาคงไม่มีโอกาสลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

 

ในเวลานั้นเมื่อเขากำลังจะล้มลง เขาก็เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นแรกนับตั้งแต่มาถึงโลกนี้

 

เขาพลันโห่ร้องด้วยความดีใจ ใช้พลังงานเฮือกสุดท้ายกู่ร้องก้องฟ้า

 

“อาาาาา…”

 

สุดท้ายเขาก็วิ่งข้ามผ่านระยะห้าพันเจ็ดร้อยกิโลเมตรเต็มๆ และพ้นจากธารน้ำแข็งหมื่นลี้ที่น่าหวาดหวั่นนี้ได้ สายตาของเขาไม่ได้มีแต่สีขาวแต่อย่างเดียวอีกต่อไป

 

อย่างน้อยที่สุด เขาก็สามารถกินอะไรที่เป็นของแข็ง แม้ว่าตามความเป็นจริง ลูกไม้จะขมและแห้ง เขาก็ยังสามารถกินได้กว่าสิบลูก กินจนกระทั่งลิ้นและปากของเขาชา

 

หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็หลับอย่างมีความสุข เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หยางติงเทียนก็มุ่งหน้าสู่ตะวันออก จำนวนต้นไม้เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นป่าดงดิบ ป่าใหญ่แห่งนี้ประกอบไปด้วยต้นไม้ขนาดมหึมา อยู่ห่างกันประมาณสิบเมตร ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะผ่านป่านี้

 

หยางติงเทียนคาดหวังว่าเขาจะสามารถพบเห็นสัตว์ภายในป่านี้ซึ่งเขาก็จะได้กินเนื้ออีกครั้ง

 

แต่ช่างน่าผิดหวัง ในป่ากว้างใหญ่แห่งนี้ ไม่มีสัตว์แม้สักตัว อย่าว่าแต่สัตว์สี่ขา นี่ไม่มีแม้กระทั่งนกสักตัว

 

นี่ไม่ควรเป็นเช่นนี้ เมื่อเขาเรียนรู้โลกนี้ หยางติงเทียนเรียนรู้ว่าควรมีสัตว์จำนวนมากในป่า เผ่าเมาลีมานมักจะเข้ามาในป่าเพื่อล่าสัตว์ แต่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตให้เห็น ป่าใหญ่ในระยะพันกว่ากิโลเมตรช่างเงียบสงัดจนกระทั่งหยางติงเทียนเกือบจะร้องไห้

 

อย่างไรก็ตามหยางติงเทียนก็สามารถปรับปรุงสภาพอาหาร เปลี่ยนจากเมล็ดพืชที่ขมและเผ็ดร้อนไปเป็นผลไม้ที่มีรสจืด

 

ห้าวันหลังจากนั้น หยางติงเทียนก็ออกพ้นจากป่าและเห็นภูเขา มาถึงที่นี่ไม่ง่ายนัก นับตั้งแต่มาถึงโลกแห่งนี้ เขาได้แต่อยู่ในธารน้ำแข็งหมื่นลี้ ต่อจากนี้เขาควรจะไปถึงเผ่าเมาลีมานและสุดท้ายพบกับมนุษย์อีกครั้ง

 

และก็เป็นเช่นนั้น สองวันหลังจากที่เขาออกพ้นจากป่า เขาก็พบกับบ้านหลังแรก มันเป็นบ้านไม้เล็กๆที่แข็งแกร่ง เขาตรงเข้าไปข้างในอย่างตื่นเต้น แต่ไม่พบอะไรข้างใน มีเครื่องเรือนไม้สองสามชิ้น แต่ล้วนปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนา อีกทั้งยังไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าหรืออาหาร

 

อย่างไรก็ตาม หยางติงเทียนก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน เพราะเขาคิดว่านี้อาจจะเป็นกระท่อมนายพรานที่ออกไปเป็นระยะ ดังนั้นเขาจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติแม้ว่ามันอาจจะว่างเปล่า

 

อย่างไรก็ตาม บ้านหลังที่สอง สาม และสี่ ล้วนว่างเปล่าและไม่มีสัญญาณของผู้คนอาศัยอยู่

 

สุดท้ายหยางติงเทียนก็พบเห็นหมู่บ้านที่ประกอบด้วยบ้านหลายหลัง ซึ่งมีบ้านไม้มากถึงสิบกว่าหลัง แต่โดยไม่มีข้อยกเว้น แต่ละหลังล้วนปราศจากผู้อยู่อาศัย เครื่องเรือนล้วนยังคงสมบูรณ์ดี แต่ล้วนปกคลุมด้วยฝุ่นหนา

 

ยิ่งไปกว่านั้น หยางติงเทียนก็ยังไม่พบเห็นสัตว์หรือนกแม้สักตัว

 

ยิ่งเขามุ่งตะวันออก ก็ยิ่งพบเห็นหมู่บ้าน เขากระทั่งยังผ่านเมืองไปสองถึงสามเมืองที่ใช้หินสร้างเป็นบ้านขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามก็ยังคงไม่มีผู้คน และเหมือนก่อนหน้านั้นซึ่งไม่พบเห็นสัตว์แม้แต่ตัวเดียว

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ทำไมจึงไม่มีแม้สิ่งมีชีวิตแม้เพียงหนึ่ง”

 

ขณะที่เขาก้าวเดินต่อไป จิตใจของหยางติงเทียนก็ยิ่งรู้สึกเย็นเยียบและหมดหวัง เขาออกจากธารน้ำแข็งหมื่นลี้เมื่อเดือนก่อนและเดินทางมากว่าสามพันกิโลเมตรจากที่นั่น เขาเห็นบ้านมากมายรวมไปถึงเมืองน้อยจำนวนหนึ่ง แต่เขากลับไม่พบเห็นผู้คน นก หรือสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้แม้แต่เพียงหนึ่ง

 

ดินแดนนี้ห่างจากธารน้ำแข็งหมื่นลี้หลายพันกิโลเมตร อย่างน้อยควรจะมีเผ่าเมาลีมานอาศัยอยู่นับหมื่นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตอื่นมากมาย อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาทั้งหมดล้วนหายไปจากโลกนี้

 

จากสิ่งที่อาจารย์กล่าวไว้ เผ่าเมาลีมานที่ควรจะอาศัยอยู่ที่นี่มีความต้านทานต่อความเย็นสูงมาก พวกเขายังคงใช้ขวานและเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

 

ยังคงมีคำอธิบายสำหรับการขาดผู้คน ซึ่งการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอาจจะเป็นเหตุให้เผ่าพันธุ์ทั้งหมดย้ายออกไป แต่ว่ามันก็ยังประหลาดเกินไปที่ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์เหลือแม้สักตัว

 

หยางติงเทียนตระหนักว่าถ้าเขายังคงมุ่งหน้าตะวันออกต่อไป เขาคงพบกับทะเล หยางติงเทียนสามารถได้กลิ่นทะเลจากในอากาศ

 

ก่อนหน้านี้ หยางติงเทียนกลัวว่าเขาเดินทางช้าเกินไป ตอนนี้หยางติงเทียนไม่กล้าที่จะเดินไปไวนัก เขากลัวว่าเขาจะไปถึงทะเลโดยไม่พบเห็นผู้คนหรือสัตว์แม้แต่ตัวเดียว หากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป

 

สุดท้ายหยางติงเทียนก็เดินช้าลงช้าลงจนกระทั่งเขาเดินได้เพียงแค่สิบกิโลเมตรต่อวัน ต่อจากนั้นเขาก็เข้าไปพักในบ้านอย่างง่ายๆราวกับว่ากลัวจะไปถึงชายทะเล

 

หยางติงเทียนยังคงรับประทานเมล็ดต้นไม้เพราะว่าไม่มีอะไรให้เขากินอีก ร่างของเขายังคงเปลือยเปล่าในเมื่อเขาไม่สามารถแม้จะหาหนังสัตว์ อย่าว่าแต่เสื้อผ้าที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะมีใบไม้อยู่แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติกับต้นไม้ที่นี่ในเมื่อใบไม้ทุกใบล้วนแข็งและคม ไม่เหมาะที่จะเป็นวัตถุที่จะใช้สวมใส่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีแม้เงาของผู้คนให้เห็น และในเมื่อหยางติงเทียนไม่กลัวความหนาว ดังนั้นการอยู่อย่างเปลือยเปล่าจึงไม่มีความหมายสำหรับเขา

 

****

 

ภายในบ้านไม้ หยางติงเทียนนอนอยู่บนเตียงไม้และกลัวอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกว่ากำลังใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาอ่อนแอลงทำให้เขาท้อแท้และขี้เกียจ

 

ในธารน้ำแข็งและหิมะ ชีวิตเขาได้ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่นไม่มีอะไรไปอีกนอกจากหิมะ ดังนั้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของหยางติงเทียนจึงแข็งแกร่ง แต่ว่าตอนนี้มีต้นไม้และบ้านที่ปราศจากมนุษย์และสัตว์ ทำให้เขาหวาดกลัวจนจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาลดต่ำลง

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าเขาไปถึงทะเลโดยไม่ได้พบกับใครเลย เขาควรจะทำอะไรต่อไป เขาคงไม่สามารถที่จะหาได้ว่านิกายหยินหยางนั้นอยู่ตรงไหน แม้กระทั่งทิศทาง

 

เขานอนลงไปบนเตียงแต่ไม่สามารถที่จะหลับลงได้ และความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวที่ไม่รู้จบก็รุกล้ำเข้าไปในใจ เสริมด้วยความมืดมน ชีวิตประจำวันเช่นนี้ได้ดำเนินต่อมาหลายเดือนแล้ว หยางติงเทียนตอนนี้ดูคล้ายกับคนป่า หนวดเคราของเขายาวและยุ่งเหยิง ผมของเขายาวและรกรุงรัง

 

ทันใดนั้นหยางติงเทียนก็ได้ยินเสียง เป็นเสียงที่คล้ายกับสัตว์เท้ากีบเดินบนหิมะ

 

เขารีบปีนออกมาจากเตียงและฟัง ไม่กล้าเชื่อหูตนเอง เขาเงี่ยหูฟังอย่างใกล้ชิด กลัวว่าเสียงนั้นเป็นเพียงเสียงหลอน

 

นั่นไม่ใช่เสียงหลอก นั่นไม่ใช่เสียงหลอน

 

จริงด้วย นั่นไม่ใช่เสียงหลอน เสียงนั้นดังขึ้นและดังขึ้น ดังเหมือนกับเสียงกีบม้า และเขาก็ยังได้ยินเสียงของผู้คนพูดคุยและดื่มกินด้วย

 

เขาพลันตื่นเต้น หยางติงเทียนกระโดดและวิ่งออกไปจากบ้านไม้

 

สองสามร้อยเมตรตรงหน้าของเขาเป็นกองทหารมุ่งหน้ามาทางเขา

 

นั่นมีคนมากมายหลายร้อยคน พวกเขาล้วนสวมชุดขนสัตว์และถืออาวุธที่ดูแพง

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด