NYSS บทที่ 8: ลาก่อนท่านอาจารย์
NYSS บทที่ 8: ลาก่อนท่านอาจารย์
ถึงจุดนี้ ตงฟางเนี่ยเมี่ยก็มีอายุเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบปี ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอย ดวงตาของเขากลับมืดมัว เส้นผมของเขากลายเป็นขาวโพลน กระทั่งเสื้อผ้าที่เขาสวมก็ไม่ได้ดูดีอีกต่อไปและดูหยาบขึ้น
“ช่างน่าสนใจ ช่างน่าสนใจ ข้าต้องใช้เวลาถึงสี่วันสี่คืนเต็มเพื่อชำระล้างชีพจรชั้นสองของข้า แต่เจ้ากลับต้องการเวลามากกว่าสี่ชั่วโมงเล็กน้อย กระทั่งพลังปราณที่จำเป็นต้องใช้ก็ยังมิถึงหนึ่งในสิบของที่ข้าต้องใช้ ช่างน่าสนใจเสียจริง”
“ลูกชาย ข้ากำลังเผชิญกับตัวเลือกที่ยากลำบากในตอนนี้ ข้าควรชำระล้างชีพจรของเจ้าต่อไปหรือว่าข้าควรจะหยุดลงตรงนี้”
“ถ้าข้าชำระล้างชีพจรของเจ้าต่อไป ก็เป็นไปได้ที่พลังปราณของข้าอาจจะไม่พอ ถ้าข้าสูญสิ้นพลังปราณระหว่างกระบวนการ ผลที่ตามมาย่อมมิอาจคาดคำนวนได้ แต่ทว่าร่างของเจ้าก็ยังหาได้ถึงขีดจำกัดไม่ ถ้าข้าหยุดทำการชำระล้างชีพจรของเจ้า ข้าก็จะรู้สึกเหมือนว่าพลังปราณที่ข้าหลงเหลือจำนวนมากนั้นเปล่าประโยชน์ไป และถ้าข้าชำระล้างชั้นที่สามต่อ เจ้าก็มิต้องดิ้นรนมากนักในสองสามปีข้างหน้า เช่นนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักนิกายหยินหยางได้เร็วขึ้น ข้ามิพึงใจที่จะหยุดเพียงเท่านี้”
“ข้าควรไปต่อหรือว่าข้าควรหยุด”
แน่นอนว่า หยางติงเทียนไม่อาจตอบคำถามเขาได้ในเมื่อเขาไม่สามารถแม้จะกระดิกนิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นจะให้ตอบ เขากระทั่งยังไม่อาจแม้กระทั่งเปลี่ยนสีหน้า
“เทพเจ้านำเจ้ามาให้ข้าเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ ข้าจักรับความเสี่ยงนี้ ข้าจักทำให้ดีที่สุด เรามาต่อกันเถอะ ถึงแม้ว่าข้าจะล้มเหลวและเป็นเหตุให้เกิดไฟธาตุแตก ข้ายังคง….”
สุดท้ายตงฟางเนี่ยเมี่ยก็ตัดสินใจที่จะชำระล้างเส้นชีพจรหยางติงเทียนเป็นครั้งที่สาม
ระหว่างการชำระล้างครั้งที่สอง ความเจ็บปวดที่หยางติงเทียนต้องแบกรับได้เข้าสู่ถึงขีดจำกัด ตงฟางเนี่ยเมี่ยก็ได้มีอายุเพิ่มขึ้นมาหลายสิบปีแต่ก็ยังยืนยันที่จะทำต่อไปในรอบที่สาม
ยามเมื่อรอบที่สามเริ่มขึ้น หยางติงเทียนได้สูญเสียประสาทสัมผัสทุกอย่างในร่างกาย สภาพนี้บ่งบอกถึงอันตรายอันร้ายแรง เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงแขนขาอวัยวะต่างๆ หรือแม้กระทั่งใบหน้า หลังจากสูญเสียการมองเห็นและการได้ยิน เขาก็หลงเหลือเพียงสติเพียงเล็กน้อยล่องลอยอยู่ระหว่างเปลวเพลิงอันโกรธเกรี้ยวและน้ำแข็งสุดยะเยือก
ตงฟางเนี่ยเมี่ยได้แก่ขึ้นในทันทีอย่างสังเกตเห็นได้ชัด ผิวหนังของเขาแตกเป็นชั้นๆ ร่างของเขาผอมลงทีละชั้นทีละชั้น ตอนแรกผมของเขาขาวแต่ยังคงสดใส แต่ตอนนี้มันกลายเป็นแห้งผากราวกับต้นหญ้าแห้งเหี่ยว
หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง…
ท้องฟ้ามืดลงและสว่างขึ้น
มากกว่ายี่สิบชั่วโมงได้ผ่านไป แต่การชำระล้างชีพจรครั้งที่สามยังดำเนินต่อไป ตงฟางเนี่ยเมี่ยยิ่งผอมและแห้งเหี่ยวราวกับซากศพ เปรียบเทียบกับวันก่อนๆ เขายิ่งแก่กว่านั้น ผมของเขาก็ยิ่งแห้งกว่าเดิมและขาวกว่าเดิม เมื่อหยางติงเทียนพบเขาครั้งแรกผมของเขาดูเหมือนหญ้าแห้งแต่ก็ยังดูสมบูรณ์ แต่ในเวลานี้ ผมเทาขาวของได้ร่วงลงทีละเส้นสองเส้นถึงจุดที่ว่ามีเส้นผมหลงเหลือบนศีรษะไม่กี่เส้น
ในเวลานั้น เสื้อผ้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นผ้าขี้ริ้วไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนสำหรับหยางติงเทียน ตอนแรกสิ่งสกปรกที่ถูกขับออกมาจากร่างของเขาเป็นสีดำ ตอนนี้สิ่งสกปรกที่ออกมาเป็นสีแดงเลือด และในตอนท้ายผิวหนังของเขาและเส้นชีพจรล้วนปริแตก ร่างของเขาชุ่มไปด้วยเลือด
ในเวลานี่พลังปราณของตงฟางเนี่ยเมี่ยได้มาถึงศีรษะของหยางติงเทียน การชำระล้างครั้งที่สามได้สำเร็จมาถึง 99% แล้ว แต่ทว่าชีวิตของหยางติงเทียนก็ได้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว ถ้าหากว่าใส่พลังปราณเข้าไปมากกว่านั้นเพียงเล็กน้อย เส้นเลือดของเขาก็จะแตกระเบิดและเขาก็จะตาย
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือพลังปราณของตงฟางเนี่ยเมี่ยก็ได้หมดสิ้นลงแล้วโดยไม่มีเหลือแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวพลังปราณ
“หรือว่าข้ากำลังจะล้มเหลวในตอนนี้” ตงฟางเนี่ยเมี่ยถามไถ่เทพเจ้า ตอนแรกเขาได้เก็บสำรองพลังปราณไว้เล็กน้อยเพื่อปกป้องชีวิตของหยางติงเทียน แต่ทว่าในเมื่อเขาไม่เหลือพลังปราณพอที่จะชำระล้างชีพจร เขาก็จึงใช้กระทั่งปราณสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจสำเร็จส่วนที่เหลืออีก 1% นี้ได้ เมื่อถึงตอนนี้ย่อมไม่มีข้อสงสัยว่าหยางติงเทียนต้องตายอย่างแน่นอน
“ตอนแรกข้าต้องการจะอำลาไปอย่างสวยงาม แต่นี่คงเป็นไปมิได้อีกต่อไปแล้ว” ตงฟางเนี่ยเมี่ยพูดด้วยความโศกเศร้า
“จำไว้ เจ้าต้องสืบทอดมรดกของข้าและนำพานิกายหยินหยางไปต่อข้างหน้า”
“จำไว้ ยามเมื่อเจ้าเข้มแข็งมากพอ เจ้าจักสามารถเรียนรู้ความลับทุกอย่างของข้าจากแหวนเพลิง และนั่นเจ้าจักค้นพบว่าเหตุใดข้าจึงถูกกักขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้”
“ยามเมื่อเจ้าเข้มแข็งมากพอ จงทำสิ่งที่ข้าทำไม่สำเร็จให้เสร็จสิ้น ท้าทายกฏเกณฑ์ของโลกและหาว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่”
“จำไว้ว่าต้องดูแลภรรยาข้า จำไว้ว่าต้องดูแลภรรยาเจ้า ลูกสาวของข้า…”
“ลาก่อน…”
ตงฟางเนี่ยเมี่ยส่งเสียงกู่ร้อง
“บูม…” เพลิงอันรุนแรงระเบิดออกจากร่างของเขา ทั้งร่างของเขาเริ่มลุกไหม้
“บูม….” ถ้ำน้ำแข็งลึกระเบิดออก แสงสีฟ้าสว่างบดบังทุกสิ่งที่อยู่ภายใน ราวกับว่ามีขีปนาวุธขนาดยักษ์ได้ระเบิดภายในถ้ำนั้น
แสงสีฟ้ากวาดผ่านทุกสิ่งภายในถ้ำ ถ้ำน้ำแข็งผลึกใสเริ่มปริร้าว บันไดน้ำแข็งที่หยางติงเทียนได้ใช้เวลานับปีในการสร้างระเบิดออกและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“บูม…”
ตงฟางเนี่ยเมี่ยกลายเป็นเถ้าถ่านสูญหายไปอย่างสมบูรณ์
พลังอันสุดแกร่งได้ผลักหยางติงเทียนขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ไม่เพียงผลักเขาออกพ้นจากถ้ำแต่ยังกระทั่งส่งเขาขึ้นสูงจนเหนือจากพื้นหลายกิโลเมตร หลังจากถึงจุดสูงสุด เขาก็เริ่มตกลงสู่พื้น
ถึงตอนนี้ถ้ำน้ำแข็งลึกล้ำได้แตกหักและถล่มลงแล้ว หิมะจำนวนมากบนพื้นได้ฝังถ้ำทั้งหมดไว้ประดุจคลื่นยักษ์
“ไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มินานนักศัตรูของข้าจักพบเจอข้า”
“ลูกชาย ลาก่อน จงพกพาความฝันและเจตน์จำนงของข้าสืบสานการเดินทางต่อไปในโลกนี้…”
คำพูดสุดท้ายของตงฟางเนี่ยเมี่ยก้องอยู่ในใจของหยางติงเทียนก่อนที่เขาจะระเบิดตันเถียน หลังจากที่เสร็จสิ้นการชำระล้าง 1% สุดท้ายของชีพจรของหยางติงเทียน เขาได้ระเบิดถ้ำน้ำแข็งทั้งหมดและผลักหยางติงเทียนออกไป
“ไม่นะ ไม่…” หลังจากที่กระเด้งกระดอนบนหิมะหลายครั้ง หยางติงเทียนก็มีเรี่ยวแรงกลับคืนพอที่จะเคลื่อนไหวและพูดจาได้ เขาคลานกลับไปยังถ้ำที่ถล่มทลายอย่างสิ้นหวัง
ในเวลานี้ถ้ำไม่มีให้เห็นอีกต่อไป มันถูกฝังกลบใต้พื้นหิมะอย่างสิ้นเชิง พื้นที่โดยรอบทางเข้าก็ยังปกคลุมไปด้วยหิมะ
ตงฟางเนี่ยเมี่ยไม่เคยมีเจตนาที่จะมีชีวิตออกจากสถานที่นี้ไปและไม่เคยวางแผนที่จะใช้บันไดน้ำแข็งที่ถูกสร้างด้วยการใช้แรงงานอย่างหนักของหยางติงเทียน เขาได้วางแผนที่จะใช้พลังปราณทั้งหมดที่เขามีอยู่สนับสนุนหยางติงเทียน ระเบิดจุดตันเถียนผลักหยางติงเทียนออกไปจากถ้ำและสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือการกลบฝังร่องรอยของชายหนุ่ม ตงฟางเนี่ยเมี่ยทำเช่นนี้เพื่อที่จะปกป้องไม่ให้ศัตรูที่ทรงอำนาจสูงสุดของเขาค้นพบชายหนุ่มอัจฉริยะ
“ไม่นะ…” หยางติงเทียนตะโกนลั่นด้วยเสียงที่แหบพร่า ฉากที่ตงฟางเนี่ยเมี่ยหายไปจากการระเบิดย้อนทวนอยู่ในใจเขา เสียงที่หยิ่งทระนงและเปี่ยมไปด้วยความรักของชายชรายังคงก้องอยู่ในหูของเขา
พวกเขาได้อยู่ร่วมกันมานานกว่าหนึ่งปี ชายชราเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดที่หยางติงเทียนมีในโลกนี้และถือเป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา ในใจของชายหนุ่ม เขาไม่เพียงเป็นอาจารย์แต่ยังเป็นบิดาที่รักด้วย หยางติงเทียนได้พยายามสุดความสามารถในการสร้างบันไดน้ำแข็ง เขาได้สร้างขั้นบันไดกว่าหมื่นขั้นก็เพียงเพื่อต้องการพาชายชราออกไป
แต่ตอนนี้…
คนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดได้สละตนเพื่อเขา
เขาได้ช่วยเหลือหยางติงเทียน มอบมรดกทั้งหมดให้กับเขา และยังกระทั่งหมั้นหมายลูกสาวสุดที่รักให้กับเขาด้วย
ความเมตตาเช่นนี้ยิ่งใหญ่กว่าแผ่นฟ้าแผ่นดิน
เขารู้สึกท่วมท้นไปด้วยความเศร้าโศก แต่เขาก็ต้องเอาชนะมันให้ได้โดนเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ อาจารย์ของเขาได้เตือนเขาว่าศัตรูของท่านจะมาถึงในไม่ช้าเพราะการนัดหมายสิบปี แม้ว่าหยางติงเทียนต้องการที่จะรู้จักตัวตนของศัตรูนี้ แต่เขาก็มีเหตุผลมากพอที่รู้ว่าเขาต้องหลบหนีไปก่อนที่ศัตรูจะมาถึง
หยางติงเทียนปาดน้ำตาทิ้ง คุกเข่าลง และก้มลงกราบคำนับสามครั้ง
“อาจารย์ พักให้เป็นสุข ทุกสิ่งที่ท่านมอบหายให้แก่ข้า ข้าจักทำทุกสิ่งอย่างแน่นอน”
“ข้าจักทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าจักนำพานิกายหยินหยางมุ่งไปข้างหน้า ข้าจักมุ่งสู่เส้นทางที่ท่านยังมิสำเร็จถึงแม้ว่าตอนนี้ข้ายังมิรู้ว่าเส้นทางนั้นคืออะไร ข้าจักฆ่าศัตรูของท่าน ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้ามิรู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร”
“ข้าจักทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งพอที่จะท้าทายกฏเกณฑ์ของโลกที่ถูกจัดตั้งขึ้น และหาให้พบว่าเทพเจ้ามีจริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าข้ายังมิเข้าใจว่าท่านหมายความว่าอะไรในถ้อยคำเหล่านี้”
“ข้าจักดูแลภรรยาแสนดีของท่าน ขัาจักดูแลคู่หมั้นของข้า ลูกสาวของท่าน”
“ข้าจักใช้ชีวิตของข้าเติมเต็มคำสัญญาต่อท่าน”
“ท่านอาจารย์ ลาก่อน ท่านพักผ่อนให้สงบสุขเถอะ”
***************
หลายกิโลเมตรรอบปากถ้ำล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะ ไม่ว่าเขาจะเดินทางไปทิศทางใด สิ่งที่หยางติงเทียนเห็นก็คือแผ่นผืนของหิมะขาวปกคลุมทั่วพื่นที่ ราวกับว่ามีเพียงสีเดียวในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าด้านไหนเป็นทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก หรือตะวันตก
หยางติงเทียนใช้ดวงตะวันบนท้องฟ้าจำแนกทิศทางสำคัญและมุ่งสู่ตะวันออก พูดตามตรง เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่านิกายหยินหยางอยู่ที่ไหน ในเมื่อทุกสิ่งได้เกิดขึ้นเร็วมากเกินไป ตงฟางเนี่ยเมี่ยไม่มีโอกาสที่จะบอกเขาในรายละเอียดที่สำคัญ เขาต้องหาผู้คนเพื่อหาทิศทางไปยังนิกายหยินหยาง
หยางติงเทียนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกไปยังถิ่นฐานของมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังคงมีระยะทางไกลกว่าห้าพันกิโลเมตร
สถานที่ที่หยางติงเทียนอาศัยอยู่นั้นเรียกว่าธารน้ำแข็งหมื่นลี้ ชื่อที่ไม่ได้พูดเกินจริง แผ่นดินที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะนี้มีความกว้างมากกว่าหมื่นกิโลเมตร ไม่ว่าจะเป็นจากด้านเหนือสู่ใต้ หรือตะวันออกสู่ตะวันตก ด้วยโลกนี้กว้างใหญ่กว่าโลกมากจนไม่มีใครรู้ว่ามันสิ้นสุดลงตรงไหน
ถ้ำน้ำแข็งที่ตงฟางเนี่ยเมี่ยถูกกักขังไว้ด้านในกว่าสิบปีตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของแดนน้ำแข็งแห่งนี้ มีเมืองห่างออกไปห้าพันเจ็ดร้อยกิโลเมตรทางด้านตะวันออก และยังมีมนุษย์ตั้งถิ่นฐานห่างออกไปมากกว่าเจ็ดพันกิโลเมตรทางด้านตะวันตก
ในเวลานั้น หยางติงเทียนมีโอสถเพลิงเหลือเพียงหนึ่งเม็ด เขายัดมันเข้าไปในหูขวาในเมื่อเขาเปลือยเปล่าและไม่มีที่ไหนที่จะเก็บมันไว้ ยาเม็ดนี้อาจจะพอยื้อชีวิตของเขาไว้ได้ถึงครึ่งเดือน เช่นนี้เขาจำเป็นต้องเดินทางให้ได้ห้าพันเจ็ดร้อยกิโลเมตรภายในครึ่งเดือน
“อาจารย์ ข้าไปแล้ว…”
************