NYSS บทที่ 7: หมั้นหมายลูกสาวสุดที่รัก
NYSS บทที่ 7: หมั้นหมายลูกสาวสุดที่รัก
“พินัยกรรม” หยางติงเทียนตกตะลึงและถาม “อาจารย์ ท่านมิจากไปพร้อมข้ารึ”
“อย่ากังวล รอจนข้าพูดจบก่อน” ตงฟางเนี่ยเมี่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“ขอรับ” หยางติงเทียนดวงตาร้อนแดงจากน้ำตาที่กำลังจะหยดไหล
“ข้าจักบอกภรรยาข้าให้ทำให้เจ้าเป็นเจ้าสำนักนิกายหยินหยางตามพินัยกรรมของข้า ข้าจักขอร้องเธอให้ใช้ทรัพยากรทุกอย่างของนิกายเพื่อฝึกเจ้าและเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นผู้เก่งกล้าอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเจ้าก็จักสามารถสืบทอดนิกายหยินหยางทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้”
นอกจากนี้ ข้าจักหมั้นหมายลูกสาวของข้าให้แก่เจ้าตามพินัยกรรมเช่นกัน เธอชื่อตงฟางปิงหลิง เธออ่อนกว่าเจ้าสองสามเดือน และพวกเจ้าทั้งสองล้วนเหมาะสมต้องกันอย่างสมบูรณ์ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของข้า และถือเป็นแก้วตาดวงใจของข้า เจ้าเป็นเด็กดีและทั้งยังฉลาดเฉลียวมากพอ ข้าสามารถไว้วางใจหมั้นเธอไว้กับเจ้า” ตงฟางเนี่ยเมี่ยหัวเราะ
“แต่ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอไม่ตกลง ชายและหญิงต้องมีความรู้สึกที่จะอยู่ด้วยกัน บางทีเธออาจจะมีชายอื่นที่เธอรักอยู่แล้วก็ได้” หยางติงเทียนแย้ง
ตงฟางเนี่ยเมี่ยไม่พูดอะไรออกมาแต่กลับดึงมือของหยางติงเทียนไปวางไว้บนเครื่องประดับเพลิง ทันใดนั้นดวงไฟสองกลุ่มก็ปรากฏขึ้นจากแหวนและลุกไหม้เครื่องประดับเพลิง เครื่องประดับเพลิงก็เปล่งแสงและฉายภาพไปยังผนังน้ำแข็งเย็นเยียบ
นั่นเป็นรูปของเด็กหญิงที่ดูอายุประมาณสิบขวบปี แม้ว่าเธอจะมีอายุเพียงสิบปี เธอก็ดูสวยงามมากจนลืมหายใจ หยางติงเทียนสูดลมหายลึก เขาไม่อยากเชื่อว่าเด็กหญิงที่สวยงามเช่นนี้จะมีตัวตน เธอเหมือนกับใครสักคนที่ถูกดึงออกมาจากภาพวาดของศิลปิน
“นี่คือลูกสาวของข้าเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้เธอเป็นคู่หมั้นของเจ้า เมื่อตอนนี้เวลาสิบปีได้ผ่านพ้น ข้ามิอาจจินตนาการได้ว่าเธอจะสวยงามเพียงใด ภรรยาข้าก็เป็นคนที่สวยที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นเป็นไปได้ว่าเธอจะสวยยิ่งกว่ามารดาของเธอ” ตงฟางเนี่ยเมี่ยกล่าว
ตามจริง หญิงสาวที่สวยงามที่สุดที่หยางติงเทียนเคยเห็นมาก่อนก็คือแฟนสาวของเขา หลี่ปี้จวิน อย่างไรก็ตามตงฟางปิงหลิงคนนี้ยิ่งสวยงามยิ่งไปกว่าเธอ
“ข้าเป็นบิดาของเธอ ข้าคือโลกของเธอ เธอต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ข้าพูด นับตั้งแต่เด็กเธอจะฟังสิ่งที่ข้าพูดอยู่เสมอ สิ่งที่สำคัญที่สุดแม้ว่าเธอจะมิได้มีร่างเก้าหยิน เธอก็ยังคงมีร่างหยินบริสุทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเช่นเดียวกับมารดาของเธอ ชายธรรมดามิมีคุณสมบัติมากพอที่จะครอบครองเธอได้ นอกจากเจ้าที่มีร่างเก้าหยางจึงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมสำหรับเธอ และจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเจ้าถ้าพวกเจ้าทั้งสองได้แต่งงานกัน หยินและหยางก็จะสมดุล และการฝึกฝนก็จะใช้ความพยายามน้อยลง”
“ในอีกสามปีข้างหน้า ถ้าเธอยังมิอาจพบและหลับนอนกับชายที่มีชีพจรปราณที่แข็งแกร่ง เธอก็จักถูกเผาตายทั้งเป็นจากเพลิงหยินในร่างเธอ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ถ้าข้ามิหมั้นหมายเธอไว้กับเจ้า ข้าจักหมั้นหมายเธอไว้กับผู้ใด ตอนนี้เจ้ายินดีที่จะแต่งงานกับลูกสาวข้าหรือไม่” ตงฟางเนี่ยเมี่ยกล่าว
หยางติงเทียนหน้าแดง เขาพยักหน้า
“ฮ่าฮ่า…” ตงฟางเนี่ยเมี่ยประกาศ “วันนี้นับเป็นวันที่มีความสุขที่สุดนับตั้งแต่ข้ามีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี มิเพียงแต่ข้าพบกับตำนาน แต่ข้ายังพบกับคนที่สามารถฝากฝังลูกสาวข้าไว้ได้ ข้าสามารถนอนตายตาหลับได้จริงแล้วตอนนี้”
“ข้าควรจะตายตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน แต่เพราะว่าข้ายังคงมิพึงพอใจ ข้าจึงคงสภาพชีวิตของข้าเอาไว้รอคอยปาฏิหาริย์ ใครจักรู้ว่าเทพเจ้าจักสงสารข้าและส่งเจ้า หยางติงเทียน มาให้”
มองดูใบหน้าที่แก่ชราของตงฟางเนี่ยเมี่ยที่แดงผิดปกติ หยางติงเทียนตอบกลับอย่างลำบากใจ “อาจารย์”
“หลังจากอดทนสิบปีด้วยความยากลำบาก ข้าลืมเรื่องราวในอดีตของข้าไปเกือบทั้งหมด” ตงฟางเนี่ยเมี่ยกล่าวกับหยางติงเทียน “ศิษย์รักของข้า ในช่วงเวลาสุดท้ายของข้า ข้าจักแสดงให้เจ้าเห็นถึงพลังที่แท้จริงของข้า ข้าจักแสดงให้เจ้าเห็นถึงความอาจหาญและแข็งแกร่งของตงฟางเนี่ยเมี่ย…”
ทันใดนั้นเองปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ราวกับว่าลูกเพลิงสีฟ้าได้ลุกไหม้ขึ้นจากภายในร่างของชายชรา
เส้นผมที่แห่งและยุ่งเหยิงของตงฟางเนี่ยเมี่ยกลับกลายเป็นสีดำเงางามและพริ้วไหว ผิวหนังที่แห้งเหี่ยวพลันตึงกระชับ ดวงตาที่มืดหม่นก็แผดเผาราวกับเปลวเพลิง
ทันใดนั้นราวกับว่าตงฟางเนี่ยเมี่ยอายุน้อยลงนับสิบปี เปลี่ยนจากชายชราที่รอวันตายไปเป็นชายวัยกลางคนหล่อเหลา กระทั่งเสื้อผ้าที่คล้ายขอทานที่เขาสวมก็กลับกลายไปเป็นชุดหยกที่วาดประดับด้วยภาพเปลวเพลิง ภาพเปลวเพลิงนั้นดูสมจริงจนกระทั่งเหมือนว่ามันจะทะลุออกมาจากชุดได้ทุกขณะจิต
นี่เป็นใบหน้าที่แท้จริงของตงฟางเนี่ยเมี่ย แกล้วกล้าหยิ่งทระนง
“ข้าอ่อนแอลงไปเกินไปในเวลาที่ผ่านมานี้ กระทั่งมิอาจสอนเจ้าได้แม้สักวิชา แต่ข้าสามารถให้ของขวัญที่ล้ำค่าอย่างหนึ่งให้แก่เจ้าได้ ข้าจักใช้ปราณสุดท้ายของข้าชำระล้างชีพจรให้แก่เจ้า” ตงฟางเนี่ยเมี่ยยกมือขึ้น และหยางติงเทียนก็รู้สึกว่ามีพลังปราณอันร้อนแรงโอบอุ้มเขาไว้ในทันที ยกร่างของเขาขึ้นสู่อากาศ
“ยามเมื่อฝึกวิชายุทธ การชำระล้างชีพจรเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ชีพจรของมนุษย์เปรียบเหมือนแม่น้ำนับไม่ถ้วน และจุดตันเถียนในท้องน้อยก็คล้ายกับมหาสมุทร แม่น้ำย่อมไหลและรวมตัวกันที่ทะเล ปราณก็เปรียบเหมือนน้ำ ทุกครั้งที่เจ้าฝึกปรือ เจ้าก็เหมือนเพิ่มกระแสน้ำที่เข้าไปสู่ตันเถียนและเส้นชีพจร”
“อย่างไรก็ตามก็เหมือนแม่น้ำลำคลองในชีวิตจริง ชีพจรเกิดการสะสมอุดตันเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ความก้าวหน้าของเจ้าลดลงจนกระทั่งหยุดชะงักอย่างสิ้นเชิง การชำระล้างชีพจรก็เปรียบเสมือนการทำลายสิ่งกีดขวางแม่น้ำ ซึ่งจะทำให้พลังปราณที่ไหลไปมาระหว่างตันเถียนและชีพจรเป็นไปได้ราบรื่น การไหลที่ราบรื่นทำให้การฝึกวิชายุทธง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ผู้คนสามารถก้าวหน้าได้ดีขึ้นด้วยความพยายามที่น้อยกว่าเดิม”
“วันนี้ อาจารย์จักชำระล้างชีพจรให้แก่เจ้า ส่วนว่ากี่ชั้นที่ข้าสามารถชำระล้างได้นั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้า”
พูดบรรยายจบ ตงฟางเนี่ยเมี่ยก็ส่งพลังอันรุนแรงเข้าไปที่อุ้งเท้าขวาของหยางติงเทียน
*************
“อาาา มันทั้งหนาวเหน็บและร้อนรุ่ม” หยางติงเทียนพยายามกรีดร้องแต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้สักเสียง
ตงฟางเนี่ยเมี่ยฝึกวิชาปราณหยางบริสุทธิ์ วิชาประหลาดที่แผดเผาคล้ายกับไฟที่กระพือโหม เมื่อปราณนี้เข้าไปในร่างใครสักคน มันจะเริ่มแผดเผาด้วยความร้อนสูงจนถึงขั้นที่เหมือนกับว่าจะเผาคนนั้นจนกลายเป็นเถ้าได้ อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันมันก็จะทำให้รู้สึกหนาวเหน็บสุดทนทานถึงขั้นที่เหมือนกับว่าจะแช่คนนั้นให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งได้เช่นกัน
“ข้ามีร่างหยางบริสุทธิ์และได้ฝึกฝนศิลปะแห่งไฟ อย่างไรก็ตามข้าก็ได้ฝึกฝนศิลปะนี้จนถึงขั้นสูงสุด จนกระทั่งหยางกลายเป็นหยินและหยินก็กลายเป็นหยาง เปลวเพลิงก็จะกลายเป็นสีฟ้าแผดเผาในระดับนี้ ผู้คนไม่อาจแยกแยกความแตกต่างระหว่างความร้อนและความเย็น เพลิงนั้นจะสุดร้อนและสุดเย็นไปพร้อมกัน ข้าต้องใช้เวลานานถึงสามสิบเก้าปีในการฝึกจนถึงขั้นนี้ ในเมื่อเจ้ามีร่างเก้าหยาง ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องการเวลาเพียงสิบถึงยี่สิบปีเพื่อที่จะก้าวมาถึงระดับนี้เช่นกัน ในเวลานั้นแหวนเพลิงบนนิ้วของเจ้าก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเจ้าก็สามารถประกาศต่อสาธารณะว่าเจ้าเป็นเจ้าสำนักนิกายหยินหยาง”
ขณะที่ตงฟางเนี่ยเมี่ยพูด แรงอันกล้าแข็งก็ถ่ายเทเข้าไปในเท้าของหยางติงเทียนอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวไปตามเส้นชีพจร พลังปราณดูเหมือนจะชำระล้างไปทั่วทุกเส้นชีพจรโดยไม่พลาดแม้แต่เส้นเดียว
กระบวนการทั้งหมดสร้างความเจ็บปวดถึงที่สุด ราวกับว่าเขาถูกเผาด้วยเพลิงที่ร้อนหลายพันองศาและถูกแช่แข็งด้วยน้ำแข็งหลายร้อยองศาต่ำกว่าศูนย์ไปพร้อมกัน ความเจ็บปวดชนิดนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เปรียบกับความเจ็บปวดที่เขาได้รับในปัจจุบัน ความเจ็บปวดที่เขารู้สึกเมื่อเขาถูกเผาและเคลื่อนย้ายมาถึงกับไม่มีค่าให้พูดถึง
ปราณอันทรงพลังชำระล้างผ่านเส้นชีพจรหยางติงเทียนทีละเล็กละน้อย ครั้งแรกพลังปราณได้ชำระล้างผ่านทีละนิ้วต่อนาที อย่างไรก็ตามกระบวนการเริ่มช้าลงและช้าลงตามลำดับ ในขณะที่ความเจ็บปวดที่หยางติงเทียนรู้สึกกลับยิ่งมายิ่งหนัก สุดท้ายผิวหนังของเขาทั้งหมดล้วนสั่นระริก ร่างของหยางติงเทียนครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะอีกครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเกิดเป็นภาพอันแปลกประหลาดถึงที่สุด
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
ความเจ็บปวดทรมานเกินมนุษย์ได้จบสิ้นลง ทั่วร่างของหยางติงเทียนชาด้าน การชำระล้างชีพจรครั้งแรกของเขาได้จบลง แต่ตัวเขายังคงลอยอยู่กลางอากาศ มองดูคล้ายปลาที่เกยตื้นตากแดด นอกจากการพยายามหายใจเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก แต่ถึงกระนั้นร่างของเขาก็ยังคงรู้สึกสดชื่นแบบอธิบายไม่ได้ ร่างของเขาทั้งหมดคลุมไปด้วยสิ่งสกปรกสีเทาดำ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสกปรกอุดตันที่อยู่ในเส้นชีพจรของเขาและถูกชำระล้างออกมาโดยตงฟางเนี่ยเมี่ย
ผลที่ตามมาก็คือแม้ว่าทั่วร่างของหยางติงเทียนต้องทนต่อความเจ็บปวดอย่างมากจนกลายเป็นชาด้าน เขายังคงรู้สึกเต็มไปด้วยความสดชื่น ราวกับว่าลมกำลังพัดอยู่ในเส้นชีพจร
อย่างไรก็ตามตงฟางเนี่ยเมี่ยดูเหมือนว่าจะแก่ลงไปอีกสิบปี ผมที่ก่อนหน้านี้เป็นผมยาวสีดำอมม่วงกลายเป็นผมสีขาวเทา
“ข้ามิอาจเชื่อจริงๆ เพียงแค่สิบห้านาที ข้าสามารถชำระล้างชีพจรชั้นแรกของเจ้าได้ ความเร็วในการฝึกฝนของเจ้าตอนนี้ควรจะเร็วขึ้นสามถึงสี่เท่ากว่าแต่ก่อน”
“ร่างเก้าหยางช่างมหัศจรรย์จริงๆ ความเร็วที่ข้าใช้ชำระล้างชีพจรชั้นแรกของเจ้าเร็วกว่าปกติถึงสิบเท่า ข้าจำได้ว่าต้องใช้เวลาทั้งวันและคืนเมื่อยามที่ข้าชำระล้างชีพจรตัวเองเป็นครั้งแรก สำหรับเจ้าพลังปราณที่ต้องการใช้ชำระล้างชั้นแรกถือว่าเป็นแค่เศษเสี้ยวของความต้องการสำหรับคนอื่น ร่างกายเช่นนี้ช่างมหัศจรรย์เกินไปจริงๆ”
“ตอนแรก ข้าคิดว่าพลังปราณที่แห้งเหือดทั้งหมดของข้าคงสามารถชำระล้างได้แค่ชั้นแรกให้แก่เจ้า ข้ามิเคยคิดว่าข้าจักใช้พลังปราณเพียงเล็กน้อยในการชำระล้างชั้นแรก”
“ตอนนี้มาเรามาต่อกันเถอะ ข้าต้องการเห็นว่าชีพจรเก้าหยางน่าพิสดารปานใด”
ตงฟางเนี่ยเมี่ยยกมือของเขาขึ้นอีกครั้ง แรงอันแข็งกล้าพุ่งเข้าสู่ร่างของหยางติงเทียนจากฝ่ามือขวาของเขา แรงนี้แกร่งกว่าครั้งแรกสี่ถึงห้าเท่า
“พลังปราณที่ต้องการชำระล้างชั้นที่สองต้องการมากกว่าปราณที่ต้องการชำระล้างชั้นแรกอยู่บ้าง ยิ่งมันลึกเท่าไหร่พลังปราณที่ต้องการก็มากขึ้นเท่านั้น เหนือกว่าชั้นที่สามเป็นต้นไป การใช้พลังปราณจากภายนอกเพื่อชำระล้างเส้นชีพจรจะเพิ่มขึ้นนับร้อยเท่า ดังนั้นการทำเช่นนั้นจึงเกือบเป็นไปไม่ได้ ในระดับนั้นผู้คนสามารถใช้ได้เพียงพลังปราณของตนเองเพื่อทำการชำระล้างชีพจร”
แน่นอนว่าเวลาที่ต้องใช้ในการชำระล้างชั้นสองนั้นก็ต้องใช้มากกว่า ขณะเดียวกันความเจ็บปวดก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าเช่นกัน มันรุนแรงมากจนกระทั่งหยางติงเทียนไม่สามารถทนได้ ความเจ็บปวดจากความหนาวและความร้อนทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเขากำลังจะระเบิด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงที่ปูดบวมราวกับว่าจะระเบิดออก
“ผู้ที่มีพลังการฝึกปรือต่ำย่อมมีเส้นชีพจรอ่อนแอและไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสระหว่างการชำระล้างได้ ผลลัพธ์สำหรับการชำระล้างนั้นยิ่งลึกเท่าไหร่ความรู้สึกก็ยิ่งใกล้กับนรกมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็จะกลายเป็นความเสี่ยงไปจนถึงที่สุด บางครั้งหากกระบวนการล้มเหลว สภาพของเจ้าก็จะย้อนกลับไปอีกหนึ่งชั้น อย่างไรก็ตามผลลัพธ์เช่นนั้นควรถือว่าโชคดีที่สุดแล้วในเมื่อคนส่วนใหญ่จะตายเพราะว่าเส้นชีพจรระเบิด ด้วยเหตุนี้เจ้าต้องมีความมั่นใจถึงที่สุดในการล้างชีพจร มิเช่นนั้นโอกาสรอดชีวิตก็จะต่ำมาก”
แม้ว่าหยางติงเทียนสามารถได้ยินสิ่งที่ตงฟางเนี่ยเมี่ยพูด คำพูดทั้งหมดฟังดูประหลาดเป็นอันมาก ราวกับว่าเขากำลังฟังใครสักคนพูดขณะที่อยู่ใต้น้ำ ด้วยทั้งร่างของหยางติงเทียนทำงานผิดปกติ
เวลาผ่านไปนาทีต่อนาที พลังปราณของตงฟางเนี่ยเมี่ยเคลื่อนผ่านทีละน้อย ชำระล้างทุกตารางนิ้วของชีพจรของหยางติงเทียน
หลังจากผ่านไปห้าชั่วโมง การชำระล้างชั้นสองก็สำเร็จ หยางติงเทียนลอยอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถขยับเขยื้อนและราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว โดยมีชั้นของสิ่งสกปรกสีดำครอบคลุมตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า มีพลังที่คล้ายกับกระแสลมแรงพัดอยูภายในเส้นชีพจรของเขา ทำให้ร่างของเขารู้สึกเหมือนกับว่าสามารถบินลอยจากไปได้
*************