ตอนที่แล้วNYSS บทที่ 5: แรกสัมผัสศิลปะการต่อสู้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปNYSS บทที่ 7: หมั้นหมายลูกสาวสุดที่รัก

NYSS บทที่ 6: สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก


NYSS บทที่ 6: สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก

 

อย่างไรก็ตาม ชายชรายังคงหลับตา ซึ่งทำให้หยางติงเทียนค่อนข้างเสียใจ เขารู้สึกเหมือนใครสักคนที่ทำได้ดีแต่ไม่ได้รับคำชมจากบิดามารดา

 

เมื่อเขาเริ่มฝึกเคล็ดวิชาที่ห้า สุดท้ายความเป็นจริงก็เฆี่ยนความโอหังออกไปจากหยางติงเทียน เหตุผลก็เพราะว่าความก้าวหน้าของเขาไปได้ช้ามาก

 

เคล็ดวิชาที่ห้าเป็นเคล็ดที่สำคัญที่สุด อันดับแรกเขาต้องปล่อยพลังปราณยามเมื่อต่อยหมัด ในเวลาเดียวกันเส้นชีพจรในร่างต้องรวบรวมพลังปราณจากตันเถียนเพื่อเตรียมการโจมตีถัดไป เขาต้องสามารถทำทั้งสองสิ่งสอดคล้องกันอย่างน้อยสามครั้งติดต่อกัน

 

เวลาผ่านไปสามเดือนแต่หยางติงเทียนก็ยังไม่อาจทำพร้อมกันได้แม้สักครั้ง เขาต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งนาทีในการรวบรวมพลังปราณอีกครั้งหลังจากที่เขาปล่อยหมัดออกไป

 

ความเชื่องช้าในความก้าวหน้านั้นทำให้เขาค่อนข้างหดหู่ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าหยางติงเทียนเป็นคนประเภทที่ยิ่งมีความแน่วแน่เมื่อพบกับอุปสรรค และลงเอยด้วยการฝึกหนักมากกว่าเดิม ทุกวันหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกสามชั่วโมง เขาก็จะครุ่นคิดถึงเคล็ดวิชาต่อไปอย่างเคร่งเครียด เขาคิดเรื่องนั้นแม้กระทั่งในความฝัน

 

สามเดือน สี่เดือน…

 

ฤดูร้อนของโลกนี้ได้สิ้นสุดลง ฤดูใบไม้ร่วงก็ได้ผ่านมาและจากไปกลับคืนสู่ฤดูหนาวอีกครั้ง (ความหนาวจัดทางด้านเหนือเป็นเหตุให้มีแต่ฤดูหนาวไม่สิ้นสุด แต่เพื่อแยกแยะฤดู ช่วงที่มีความหนาวน้อยกว่าจะรู้กันว่าเป็นฤดูร้อน ช่วงที่มีความหนาวจัดถือว่าเป็นฤดูหนาว)

 

ระหว่างฤดูหนาวที่หนาวเย็นนี้เกิดพายุหิมะขนาดใหญ่ติดต่อกัน ปริมาณหิมะที่มากมายทำให้หยางติงเทียนต้องหันเหความสนใจของตนเองออกจากหมัดเจิ้งหยาง เขาต้องทำงานในการสร้างบันไดน้ำแข็งหลังจากการฝึกประจำวันแทน

 

เหตุผลสำหรับความเปลี่ยนแปลงนี้ก็เพราะว่ามีสิ่งที่สำคัญกว่าการฝึกวิชายุทธนั่นก็คือการหลบหนีออกไปจากสถานที่น่าหวาดหวั่นแห่งนี้พร้อมกับชายชราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

สุดท้ายหลังจากเกิดพายุหิมะอย่างหนักครั้งที่สิบ บันไดน้ำแข็งของหยางติงเทียนก็สำเร็จไปถึง 99.99 เปอร์เซนต์ เขาหลงเหลือเพียงไม่กี่สิบขั้นจากปลายยอดซึ่งมีระยะห่างเพียงสามถึงสี่เมตร

 

หยางติงเทียนต้องการพายุหิมะอีกครั้งเพื่อที่จะทำบันไดน้ำแข็งที่ใช้เวลาสร้างนับปีนี้ให้สำเร็จ หลังจากที่สร้างเป็นจำนวนกว่าหมื่นขั้น สุดท้ายเขาก็สามารถที่จะจากสถานที่น่าหวาดหวั่นนี้ไปพร้อมกับชายชรา

 

เขาถูกกักขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็งนี้นานนับปี ไม่นานนักเขาก็จะสามารถหนีออกไปได้

 

************************

 

ขณะที่หยางติงเทียนกำลังหลับสนิท เขาพลันรู้สึกถึงความเย็นบนใบหน้าจึงลืมตาขึ้นในทันที

 

ดังคาดหิมะกำลังตก ยิ่งไปกว่านั้น หิมะที่ตกนี้หนักมาก ครั้งนี้เขามีหิมะมากพอที่จะสร้างบันไดน้ำแข็งที่เหลืออีกไม่กี่สิบขั้น

 

หยางติงเทียนไม่ได้เริ่มสร้างในทันที กลับกันเขาก็เริ่มฝึกฝนพลังฟ้าดินประสานเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้วจึงฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดเจิ้งหยางอีกสามชั่วโมง

 

ตอนนี้หลังจากที่เขาปล่อยหมัดออกไปด้วยพลังปราณ ร่างของเขาเพียงต้องการสิบห้าวินาทีในการรวบรวมพลังปราณสำหรับการโจมตีถัดไป เขายังไม่สามารถรวมมันเข้าด้วยกันสำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นสามครั้งติดต่อกัน ในเวลานั้นหยางติงเทียนได้โยนความคิดเพ้อฝันของเขาทิ้งไปและเตรียมตัวที่จะฝ่าฟันศึกสุดท้ายเพื่อสำเร็จเคล็ดวิชานี้

 

แต่...ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเล่นตลกกับเขา

 

เช้านี้ เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ห้าของหมัดเจิ้งหยางตามปกติ

 

“ปัง…” หมัดที่เขาปล่อยออกไปทำลายหิมะเบื้องหน้าเขา

 

“ปัง…”

 

“ปัง…”

 

“ปัง…”

 

.....

 

โดยไม่มีลางบอกเหตุ หยางติงเทียนโจมตีด้วยพลังปราณออกไปสิบระลอกต่อเนื่อง กระทั่งตัวของเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวได้ในทันทีว่าแต่ละการโจมตีถูกส่งออกไปต่อเนื่องติดตามกันโดยไม่มีการหยุดค้างระหว่างนั้น เส้นชีพจรทั่วร่างของเขาได้รวบรวมปราณได้ในทันทีระหว่างการโจมตีแต่ละครั้ง

 

หลังจากที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หยางติงเทียนก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง “เหตุใด เป็นไปได้อย่างไร” เขาได้ใช้เวลามากกว่าสี่เดือนและไม่อาจแม้จะสำเร็จถึงหนึ่งในสามของเคล็ดวิชา เขากระทั่งยังเตรียมตัวใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีเพื่อฝึกให้สำเร็จ เขาไม่คาดคิดว่าจะสามารถสำเร็จเคล็ดวิชาที่ห้าได้ในทันที ยิ่งไปกว่านั้นความต้องการเบื้องต้นก็คือการทำซ้ำสามครั้ง แต่เขากลับทำได้ถึงสิบครั้ง

 

หยางติเทียนกลัวว่าเขาจะเห็นภาพหลอนหรือไม่ก็อาจจะทำได้โดยอุบัติเหตุ ดังนั้นเขาจึงพยายามใช้เคล็ดวิชาที่ห้าของหมัดเจิ้งหยางอีกครั้ง

 

ชัดเจน เขาตอนนี้สามารถต่อยหมัดเจิ้งหยางออกไปหลายสิบหมัดได้อย่างง่ายดาย มีเพียงหลังจากหมัดที่สิบสามที่เส้นชีพจรในร่างของเขาต้องการรวบรวมพลังปราณอีกครั้ง

 

หยางติงเทียนตื่นตะลึงมากจนเขาลืมกระทั่งที่จะโห่ร้อง

 

ในเวลานั้นชายชราพลันลืมตาขึ้นมากล่าวว่า “ใช่แล้ว วิชายุทธลึกลับจริงๆ พวกมันมักจะปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในความสิ้นหวัง แต่ก็ยังให้เจ้าพบกับความดีใจโดยไม่คาดคิดในบางโอกาส แน่นอนว่าความประหลาดใจเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจและพรสวรรค์ของตัวเจ้าเอง”

 

หลังจากนั้น ชายชราก็ท่องบ่นบทสวดออกมาว่า “เมื่อเจ้าเปรียบเทียบคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง นั่นเพียงทำให้เกิดความไม่สบายใจ”

 

หยางติงเทียนมองดูหมัดของตนเองก่อนที่จะเริ่มรวบรวมพลังและต่อยไปที่หิมะ เขากล่าวว่า “ท่านปู่ ข้าได้ฝึกหมัดเจิ้งหยางสำเร็จแล้ว และข้าก็กำลังจะทำบันไดสำเร็จโดยไม่นาน เราจักสามารถออกไป เราสามารถออกไปได้แล้ว…”

 

“ท่านปู่ เราสามารถออกไปได้แล้ว…” หยางติงเทียนตะโกน ไม่สามารถที่จะซุกงำความตื่นเต้นได้

 

ปกติแล้วเขาจะไม่ตะโกนด้วยท่าทางเช่นนี้เนื่องมาจากคำตำหนิของชายชราหลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้สองสามครั้ง อย่างไรก็ตามคราวนี้เขาตื่นเต้นจนกระทั่งไม่อาจยับยั้งได้ หลังจากที่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาพลันหุบปากลงและรอให้ชายชราดุด่า

 

ชายชราลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ มองไปยังหิมะหนาหนัก และมองไปยังหยางติงเทียนที่ตื่นเต้นสุดขีด อย่างไรก็ตามแตกต่างจากในอดีต เขายิ้มเล็กน้อย ถอนหายใจ และกล่าวว่า “สุดท้ายวันนี้ก็มาถึง”

 

“ใช่แล้ว สุดท้ายเราก็สามารถออกไป” หยางติงเทียนพูดด้วยความตื่นเต้น

 

“ลูกชาย นั่งลงซิ” ชายชรากล่าว

 

หยางติงเทียนนั่งลงอย่างรวดเร็วข้างชายชราและกล่าวว่า “เช่นนั้นเราจักเรียนอะไรกันวันนี้”

 

“เราจักมิเรียนอะไรในวันนี้” ชายชรายิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามิอยากรู้รึว่าข้าเป็นใคร ทำไมข้าจึงถูกขังอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าเจ้ามิเคยถามมาก่อน”

 

หยางติงเทียนตะลึงไปชั่วขณะและพยักหน้า

 

“ถึงเวลาแล้ว ถ้าข้ามิบอกเจ้าตอนนี้ ก็คงมิมีโอกาสหน้า” ชายชรากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

“ข้าเรียกว่า ตงฟางเนี่ยเมี่ย เจ้านิกายหยินหยาง”

 

แม้ว่าหยางติงเทียนไม่รู้ว่านิกายหยินหยางใหญ่หรือเล็ก แต่ชายชราก็เป็นถึงเจ้าสำนัก หยางติงเทียนพลันถามว่า “เช่นนั้นท่านแข็งแกร่งที่สุดหรือไม่ก่อนนี้”

 

ตงฟางเนี่ยเมี่ยตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “โอ ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่บ้าง”

 

เขากล่าวต่อ “เจ้าช่างประหลาดจริงๆ ถ้าข้าแข็งแกร่งปานนั้น ทำไมข้าจึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”

 

หยางติงเทียนพยักหน้า

 

“ลูกชาย ข้ามิสามารถบอกเจ้าถึงเรื่องนั้นได้ในตอนนี้ เจ้จักมิได้ประโยชน์อะไรจากการรู้ความลับนั้นยามเมื่อเจ้ายังคงไร้สามารถ นั่นจักทำร้ายเจ้าแทน” ชายชรากล่าวต่อว่า “ความจริงที่ข้าถูกขังไว้ที่นี่หลายกิโลเมตรใต้พื้นโลก เป็นความลับยิ่งใหญ่ในตัวมันเองจากโลกนี้”

 

“ตอนแรกข้าคิดว่าข้าคงถูกขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็งนี้ตลอดชั่วชีวิตของข้า แต่ใครจะคาดคิดว่ามีคนเช่นเจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้าโดยมาจากอีกโลกหนึ่ง การพบกันของเราช่างนับว่าเป็นชะตากรรมจริงๆ”

 

“ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่า เมื่อเจ้าช่วยข้าออกมาจากแท่งน้ำแข็ง ข้าพยายามถามเจ้าว่าถูกส่งมาจากศัตรูของข้าหรือไม่ อีกทั้งมีอุบายปีศาจใดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามมิว่าข้าจะฉลาดปานใด ข้ามิเคยคาดเดาว่าเจ้ามาจากต่างโลก”

 

“ขอบเขตที่ข้ามิอาจไปถึงได้ เจ้าสามารถไปถึงได้ ศัตรูที่ข้ามิอาจล้มล้าง เจ้าสามารถล้มล้าง เพราะว่าเจ้ามีชีพจรปราณเก้าหยาง”

 

ชีพจรปราณเก้าหยางงั้นรึ นักพรตเต๋าจากโลกได้กล่าวว่าหยางติงเทียนมีร่างเก้าหยาง

 

“มิใช่ว่าเจ้าถามข้าก่อนหน้านี้เรื่องพรสวรรค์ของชีพจรปราณ” ชายชรายิ้มและกล่าวว่า “พรสวรรค์ของชีพจรปราณของเจ้าถือว่าเป็นหนึ่งในร้อยล้านและยากที่จะหาแม้เวลาจะผ่านไปนับร้อยปี”

 

“ร่างเก้าหยางอาจจะไร้ค่าในโลกของเจ้าและอาจจะนำมาซึ่งปัญหามิรู้จบ แต่ทว่าในโลกนี้มันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้จากนิทานปรัมปรา”

 

“หญิงที่มีร่างเก้าหยินมิอาจพบเห็นได้ในรอบพันปี ชายที่มีร่างเก้าหยางก็เช่นกันมิอาจพบเห็นได้แม้จะผ่านไปพันปี” ชายชรากล่าว “เมื่อเจ้าฝึกเพื่อหยั่งรู้ในวิชายุทธพลังฟ้าดินประสานและหมัดเจิ้งหยาง ข้าได้ประเมินความสำเร็จของเจ้าไว้สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ทว่าความสามารถของเจ้าไกลเกินจินตนาการของข้าไปมากนัก”

 

“ผู้ฝึกยุทธในโลกนี้เริ่มฝึกฝนหยั่งรู้วิชายุทธกันตั้งแต่ก่อนอายุจะถึงเจ็ดหรือแปดปี ผู้ที่มีพรสวรรค์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงสี่ปีเพื่อที่จะสำเร็จการหยั่งรู้ แต่เจ้ากลับใช้เวลาเพียงเจ็ดเดือนกับอีกสิบแปดวัน” ชายชราบรรยาย

 

หยางติงเทียนกล่าวว่า “แต่พวกเขาอายุเพียงเจ็ดแปดปี ข้าอายุมากกว่ายี่สิบ ย่อมมิอาจภาคภูมิใจที่เอาชนะเด็กตัวน้อยได้”

 

“นั่นมิได้เป็นไปตามนั้น ยิ่งเจ้าเข้าสู่ช่วงการหยั่งรู้ช้าเพียงใดเจ้าก็ยิ่งสูญเสียเพราะความคืบหน้าจะช้าลง” ชายชราหัวเราะ “เจ้าเริ่มหยั่งรู้เมื่ออายุยี่สิบ สิ่งที่เจ้าทำได้นั้นนับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง”

 

“ลูกชาย ข้าเองก็นับว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมาก แต่ข้าก็ยังมีศักยภาพน้อยกว่าเจ้าตอนนี้” ชายชรากล่าวต่อ “ตอนแรกข้าคิดว่าความฝันของข้าคงเป็นไปได้แค่ความฝัน แต่ทว่าเทพเจ้ากลับให้คนที่มีพรสวรรค์มากเช่นนี้แก่ข้า นั่นคือเจ้า”

 

“ข้าได้พลาดพลั้งไปในชีวิตนี้ ข้าพ่ายแพ้และอยู่ในสภาพที่มีชีวิตอยู่มิสู้ตกตาย อย่างไรก็ตามความฝันและความพากเพียรของข้าสามารถมอบต่อให้แก่เจ้าได้”

 

“ลูกชาย” ชายชราจ้องมองหยางติงเทียนและถามว่า “เจ้ายินดีที่จะรับข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่ เจ้ายินดีที่จะรับมรดกของข้าหรือไม่”

 

ก่อนที่หยางติงเทียนจะได้เข้าใจสิ่งที่ชายชราได้พูดอย่างแท้จริง เขาก็ตอบกลับโดยอัตโนมัติว่า “แน่นอน แน่นอนว่าข้ายินดี ในโลกนี้ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่เปรียบเสมือนครอบครัวของข้า ท่านเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดของข้าที่นี่”

 

“เช่นนั้นจงคุกเข่าลง” ตงฟางเนี่ยเมี่ยสั่ง

 

หยางติงเทียนยืนขึ้น คุกเข่าลงตรงหน้าชายชรา โขกศีรษะกระแทกพื้นเบาๆ คำนับสามครั้ง

 

“ดี ดี นับจากนี้ไป เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของตงฟางเนี่ยเมี่ย นับต่อนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นผู้นำสำนักคนที่ยี่สิบเก้าของนิกายหยินหยาง” ตงฟางเนี่ยเมี่ยแบมือเผยให้เห็นลูกบอลเพลิงสองลูกวนเวียนอยู่รอบนิ้วของเขา และพวกมันก็แข็งตัวกลายเป็นแหวนบนนิ้วสวมแหวน(นิ้วนางข้างซ้าย)ของเขา

 

มันเป็นแหวนที่สวยงามถึงที่สุด มันดูเหมือนกับไฟสองกลุ่มเกี่ยวกระหวัดรัดซึ่งกันและกันไว้ ไฟกลุ่มหนึ่งเป็นสีแดงในขณะอีกกลุ่มเป็นสีฟ้าใส

 

ตงฟางเนี่ยเมี่ยดึงแหวนออกและสวมมันเข้ากับนิ้วสวมแหวนของหยางติงเทียน ทันทีที่แหวนสวมลงถึงตำแหน่ง เปลวไฟที่เป็นตัวแหวนก็หายไป

 

ตงฟางเนี่ยเมี่ยกล่าวว่า “นี่คือแหวนประจำตำแหน่งเจ้าสำนักนิกายหยินหยาง ตอนนี้มันจะยังคงถูกซ่อนไว้บนนิ้วของเจ้า ตราบจนเมื่อเจ้าแข็งแกร่งและมีความสามารถมากพอ มันจึงจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และเวลานั้น เจ้าก็จะเป็นเจ้าสำนักของนิกายหยินหยางอย่างแท้จริง”

 

หยางติงเทียนหวาดหวั่นและกล่าวว่า “ท่านปู่...โอ อาจารย์ ข้าจะเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร ข้ายังคงอ่อนแอ”

 

“เจ้าสำนักของนิกายหยินหยางทุกคนล้วนเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักคนก่อน ดังนั้นถ้าเจ้ามิต้องการเป็นเจ้าสำนัก ใครจะเป็นล่ะ” ตงฟางเนี่ยเมี่ยกล่าวต่อว่า “หลังจากเจ้าไปถึงนิกายหยินหยาง อย่าประกาศการตายของข้าในเวลานั้น ให้ทุกคนคิดว่าข้ายังคงเป็นเจ้าสำนักของนิกายหยินหยาง สิบหรือยี่สิบปีให้หลัง เมื่อเจ้าแข็งแกร่งมากพอ เมื่อแหวนไฟได้ปรากฏขึ้นบนนิ้วเจ้าอีกครั้ง ตอนนั้นเจ้าจึงสามารถประกาศการตายของข้าให้แก่โลกและกลายเป็นเจ้าสำนักของนิกายหยินหยางคนต่อไป”

 

ตงฟางเนี่ยเมี่ยหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากคอของเขา มันเป็นหยกสีแดงไฟแกะสลักเป็นรูปไฟ วัตถุนั้นสวยงามมาก

 

“นี่คือสัญลักษณ์แทนความรักระหว่างข้ากับภรรยา เครื่องประดับนี้เรียกว่า”ผีเสื้อบินล้อแสงไฟ“ภรรยาข้าและตัวข้าต่างมีกันคนละครึ่งชิ้น ส่วนของข้าเป็นรูปเปลวเพลิง ขณะที่ส่วนของเธอเป็นรูปผีเสื้อ เจ้าแสดงสิ่งนี้ให้กับเธอและเธอจักเชื่อถือเจ้าโดยไม่มีข้อกังขา”

 

“เมื่อภรรยาข้ารวมเครื่องประดับเพลิงเข้ากับเครื่องประดับผีเสื้อ เธอก็จักเห็นพินัยกรรมที่ข้าเขียนไว้ให้เธอ…”

 

****

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด