ตอนที่แล้วNYSS บทที่ 3: ชายชราลึกลับ (ส่วนที่ 1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปNYSS บทที่ 5: แรกสัมผัสศิลปะการต่อสู้

NYSS บทที่ 4: ชายชราลึกลับ (ส่วนที่ 2)


NYSS บทที่ 4: ชายชราลึกลับ (ส่วนที่ 2)

คราวนี้คำที่เขียนควรเป็นคำว่า "เจ้า" ของโลกนี้

หยางติงเทียนพูดตามชายชรา พูดซ้ำ และเขียนมันลงบนหิมะอีกครั้ง เขาเขียนคำว่า "เจ้า" อ่านออกมาเสียงดังและชี้ไปที่ชายชรา

ชายชราเข้าใจภาษาได้อย่างรวดเร็ว เขาสามารถอ่านและเขียนได้อย่างถูกต้องและมีความเชี่ยวชาญมากกว่าหยางติงเทียน

พวกเขาพูดต่อคำว่า ตา จมูก ปาก ผม ผิวหนัง เนื้อ เส้นเลือด เอ็น กล้ามเนื้อ ท้อง ขา หิมะหนัก น้ำแข็ง บันได ท้องฟ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย

หยางติงเทียนเป็นคนฉลาดมาก แต่ชายชรากลับยิ่งกว่านั้นอีก

หลังจากใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงจนกระทั่งหิมะหยุดตกทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้ภาษาและคำศัพท์ของกันและกัน

ชายชราสอนหยางติงเทียนทั้งหมด 189 คำและ 50 ประโยค หลังจากเรียนจบชายชราก็ใช้ภาษาจีนในการทดสอบหยางติงเทียน

ตัวอย่างเช่น ชายชราชี้ไปที่ก้อนเมฆบนท้องฟ้าและพูดว่า "ก้อนเมฆ" ในภาษาจีน จากนั้นให้หยางติงเทียนเขียนคำว่า "ก้อนเมฆ" ของโลกนี้และออกเสียง

หากหยางติงเทียนทำได้ถูกต้องชายชราจะยิ้ม แต่ถ้าหยางติงเทียนทำผิดชายชราจะตบหน้าเขาตรงๆ

การตบของเขานั้นช่างเจ็บปวด แต่ดูเหมือนว่าชายชราจะเจ็บปวดยิ่งกว่า นี่เป็นเพราะกระดูกที่หักของเขายังคงไม่หายดี มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาตบหยางติงเทียนแต่ก็อาเจียนเป็นเลือดจำนวนมาก ดังนั้นหยางติงเทียนจึงไม่กล้าทำผิดพลาดอีกต่อไป และหากว่าเขาทำพลาดเขาก็จะตบตัวเองทันที ไม่ยอมให้ชายชราตบอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังตีตัวเองให้หนักกว่าที่ชายชราตบ บางครั้งใบหน้าของเขาจะบวมทันทีหรือกระทั่งมีเลือดไหล…

ตลอดการฝึกซ้อม ชายชราไม่เห็นอกเห็นใจเขาแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อหยางติงเทียนทำผิดพลาดชายชราจะจ้องเขาเขม็ง

เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ ชายชราก็เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าที่บวมเป่งของหยางติงเตียน หัวใจของหยางติงเทียนก็ละลายในทันที

"คุณไปสร้างบันไดน้ำแข็งต่อไป" ชายชราพูดเป็นภาษาจีน จากนั้นเขาก็หลับตาและกลับสู่สภาพนั่งสมาธิ

"คุณอยากกินอะไรไหม?" หยางติงเทียนถาม อย่างไรก็ตามชายชราไม่สนใจเขาแม้ว่าตอนนี้จะเข้าใจสิ่งที่หยางติงเทียนพูด

หยางติงเทียนยิ้มแล้วค่อยจัดเสื้อผ้าของชายชราอย่างนุ่มนวล เขาใช้หวีหวีผมก่อนที่จะกลับไปสร้างบันไดน้ำแข็ง

...…

เวลาผ่านไปแบบนั้นวันต่อวัน

ส่วนใหญ่แล้วชายชราจะนั่งตัวตรงทำสมาธิ ทุกสิบวันเขาจะให้ยาเม็ดสีแดงแก่หยางติงเทียนเพื่อรักษาชีวิตและพลังงาน

ยกเว้นเมื่อหิมะเริ่มตกเขาก็จะลืมตาและสอนหยางติงเทียนด้วยภาษาและคำที่ใช้ในโลกนี้ ในเวลาเดียวกันเขาก็จะเรียนภาษาจีนจากหยางติงเทียนด้วยการเขียนบนหิมะ

เมื่อหิมะหยุดทั้งคู่ก็จะหยุดเรียน ชายชราจะนั่งสมาธิและหยางติงเทียนก็จะสร้างบันไดน้ำแข็งของเขาต่อไป

เวลาผ่านไปวันต่อวัน

บันไดที่สร้างโดยน้ำแข็งนั้นสูงขึ้นและสูงขึ้นทุกวันที่ผ่านไป ความเข้าใจของหยางติงเทียนเกี่ยวกับภาษาของโลกนี้ได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ชายชราที่ฉลาดที่สุดคนนี้เกือบเชี่ยวชาญในภาษาจีนอย่างสมบูรณ์ ยามเมื่อเขาได้เข้าใจกฎและสาระสำคัญของภาษาจีนแล้ว เขาสามารถบูรณาการและเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ผลสุดท้ายเขายังสามารถชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดบางประการในของภาษาจีนของหยางติงเทียนได้ด้วย สติปัญญาของชายชราทำให้หยางติงเทียนประหลาดใจอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามความคืบหน้าของหยางติงเทียนในการศึกษาภาษาของโลกนี้ก็เริ่มช้าลงเรื่อยๆ ในตอนแรกเขาสามารถเรียนรู้คำศัพท์หลายร้อยคำในเวลาเพียงสิบชั่วโมง แต่ตอนนี้อัตราการศึกษาของเขาช้าลงอย่างมาก ความก้าวหน้าที่ช้าลงเป็นเพราะเขาได้ให้ความสนใจกับโลกลึกลับของวิทยายุทธ หยางติงเทียนไม่เคยได้ยินคำศัพท์มากมายที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ เนื่องจากมันเป็นนามธรรมเกินไปสำหรับเขา

เพื่อให้หยางติงเทียนเชี่ยวชาญภาษาอย่างแท้จริง ชายชราได้แปลคำศัพท์และแนวคิดเหล่านั้นทั้งหมดเป็นภาษาจีนก่อนที่จะสอนสิ่งเหล่านั้นให้เขา

ความไม่คุ้นเคยนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ ซึ่งไม่เคยถูกทุบตีมาระยะหนึ่งแล้วเริ่มถูกทุบตีอีกครั้ง ทุกครั้งที่เขาทำการศึกษา ก็จะจบลงที่เขาตีตัวเองจนใบหน้าของเขาบวมดูเหมือนหมู

ชายชรายังคงรุนแรงต่อเขา สายตาของเขายังคงเฉียบคม

อย่างไรก็ตามเมื่อหยางติงเทียนหันหลังให้กับชายชรา อีกฝ่ายก็จะมองดูเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนสงสาร

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า…

หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน .....

ครึ่งปีผ่านไป ฤดูหนาวผ่านไป วันที่หิมะตกเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ แต่บันไดน้ำแข็งยังทำไปเพียงแค่ครึ่งเดียว

อากาศเริ่มอุ่นขึ้นและอุ่นขึ้น

หยางติงเทียนได้เข้าใจภาษาและคำพูดของโลกนี้เกือบหมดแล้ว เขาได้รับความเข้าใจเพียงพอเกี่ยวกับโลกนี้ และตอนนี้เขาสามารถสื่อสารได้โดยใช้ภาษาของที่นี่

โลกนี้ถูกเรียกว่าพิภพแห่งความวุ่นวาย พื้นดินมีขนาดใหญ่กว่าของโลกมาก แต่ประชากรที่นี่มีขนาดใกล้เคียงกัน นี่เป็นโลกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงที่เกี่ยวพันอยู่กับวิทยายุทธ พลังปราณเป็นรากฐานของโลกนี้ ทุกคนมีเส้นชีพจรปราณที่แตกต่างกัน คนที่มีพรสวรรค์จะสามารถเชี่ยวชาญวิทยายุทธระดับสูงขึ้น ส่วนคนที่มีความสามารถน้อยกว่าก็จะเพียงแค่เชี่ยวชาญระดับที่ต่ำกว่าเท่านั้น

อาจกล่าวได้ว่าพิภพแห่งความวุ่นวายเป็นโลกของศิลปะการต่อสู้ นอกเหนือจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้เป็นอย่างดีแล้ว คนอื่นล้วนติดอยู่ที่ฐานล่างของสังคมแบบปิรามิด ดังนั้นวิธีเดียวที่จะกลายเป็นผู้มีอำนาจและเป็นที่เคารพในสังคมคือการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้

เม็ดยาที่หยางติงเทียนกินเป็นประจำเรียกว่าโอสถเพลิง มันผลิตมาจากสมุนไพรที่มีค่าหลายสิบชนิดผสมเข้ากับเลือดของสัตว์ธาตุไฟลึกลับอีกหลายสิบชนิด มันถูกปรุงโดยใช้เปลวไฟที่เหนือกว่าปกติและมีค่านับล้าน โดยปกติผู้คนจะใช้เพิ่มพูนศิลปะการต่อสู้ของพวกเขา แต่หยางติงเทียนใช้มันเป็นอาหาร

เวลาผ่านไปทีละวัน หยางติงเทียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกนี้ดีขึ้นทุกวัน อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายชรา อีกฝ่ายเป็นใคร ทำไมจึงถูกขังอยู่ที่นี่ และทำไมร่างกายของเขาจึงดูไร้เรี่ยวแรง คำถามทั้งหมดเหล่านี้ล้วนไม่มีคำตอบ แต่ความสัมพันธ์ของเขากับชายชรานั้นก็ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาหยางติงเทียนได้สนิทกับชายชราและปฏิบัติต่อเขาเหมือนครอบครัวในตอนนี้

********************

ทุกครั้งที่ได้รับโอสถเพลิง หยางติงเทียนก็จะรู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่จำกัด ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาไม่สามารถสร้างก้อนน้ำแข็งได้ เขาก็ได้แต่เพียงแค่ชกหมัดออกเพื่อระบายพลังงานพลุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย

อยู่มาวันหนึ่งชายชราก็วาดคู่มือการออกหมัดเป็นภาพบนหิมะ วิธีออกหมัดนี้เรียกว่าหมัดเจิ้งหยาง มีเคล็ดวิชาห้ารูปแบบ แต่ละรูปแบบมีท่วงท่าต่างกันสิบท่วงท่า

เพลงหมัดเจิ้งหยางดูง่าย หยางติงเทียนศึกษาเพียงศึกษาอยู่สามถึงสี่ครั้งก่อนที่จะแสดงท่าทางรูปแบบแรกออกมาได้เกือบถูกต้องทั้งหมด ขณะที่เขาเริ่มรู้สึกภูมิใจในตัวเอง เขากลับเห็นชายชราดูเย็นชาอีกครั้ง จากนั้นชายชราก็เขียนบนหิมะว่า "อาจจะดูเหมือนเป็นการฝึกซ้อมเพลงหมัด แต่จริงๆแล้วการฝึกนี้เกี่ยวข้องกับพลังภายใน หรือที่เรียกว่าปราณ การชกนั้นคือการเลือกทิศทาง ในขณะที่ปราณจะใช้เพื่อการโจมตี มีเพียงยามที่เจ้ารู้สึกได้ถึงปราณไหลผ่านร่างเจ้าเท่านั้น ที่เจ้าจะะได้รับพิจารณาว่ามีความเชี่ยวชาญในวิชานี้อย่างเต็มที่ "

จากนั้นชายชราก็หลับตาและไม่ใส่ใจเขาอีกต่อไป

ผลลัพธ์ก็คือหยางติงเทียนเริ่มฝึกซ้อมออกหมัดซ้ำแล้วซ้ำอีกในทันที เขาฝึกซ้อมซ้ำเกือบพันครั้ง อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงไม่รู้สึกถึงปราณ เขายังคงเหนื่อยล้า รู้สึกเหมือนกระดูกของเขากำลังจะแหลกสลาย และในไม่ช้าเขาก็หลับไป

เมื่อเขาตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น เขาเห็นชายชราลืมตาเรียบร้อยแล้ว และมีคำหลายร้อยคำที่เขียนไว้ชัดเจนบนพื้นหิมะ

"เคล็ดวิชานี้เรียกว่าพลังฟ้าดินประสานและเป็นรากฐานพื้นฐานที่สุดในการฝึกฝนปราณ เจ้าต้องปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้เพื่อฝึกฝนทุกเช้า" ชายชรากล่าว "เจ้าเกือบจะเชี่ยวชาญภาษาของโลกนี้แล้ว แต่วิธีการที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการฝึกฝนปราณบจะเกี่ยวข้องกับจุดเส้นจำนวนมากในร่างกายมนุษย์ ซึ่งวิธีการดังกล่าวต้องใช้หนังสือและรูปภาพเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง แต่ในเมื่อเจ้ายังไม่เข้าใจหัวข้อเหล่านี้ดีนัก ดังนั้นข้าจึงยังมิสามารถสอนวิธีฝึกฝนพลับลับให้กับเจ้าได้ ในเมื่อมันจะเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นปีศาจได้อย่างง่ายดาย ส่วนเคล็ดวิชาเหล่านี้ไว้สำหรับฝึกฝนในขณะที่นั่งเท่านั้นและจะมิเป็นอันตรายเลยแม้แต่น้อย"

"เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาทุกเช้า จงฝึกฝนปราณเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วจึงฝึกฝนหมัดเจิ้งหยางอีกสามชั่วโมง เมื่อเจ้ารู้สึกถึงปราณในระหว่างการฝึกซ้อม จงบอกให้ข้ารู้และข้าจะสอนเคล็ดวิชาที่สองให้แก่เจ้า” ชายชราได้เขียนเอาไว้

“ขอรับ” หยางติงเทียนกล่าว

ชายชราหลับตาลงอีกครั้งและกลับเข้าสู่สภาวะสมาธิ

ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาชายชราใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งสมาธิหรือนอนหลับ ทำเหมือนกับว่าชีวิตของเขาสั้นลงทุกครั้งที่เขาพูด ตลอดช่วงเวลานี้หยางติงเทียนได้ใช้โอสถเพลิงอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ชายชราไม่ได้กินอะไรเลย เขาไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่แม้แต่จะฉี่หรืออึ หยางติงเทียนตกใจเป็นอย่างมากกับเรื่องทั้งหมดนี้ แม้ว่าชายชราจะไม่เคยเปิดเผยตัวตนของเขา แต่ตัดสินจากจำนวนของโอสถเพลิงที่ชายชรามี หยางติงเทียนคาดเดาเขาไม่ใช่คนธรรมดา

หยางติงเทียนกำจัดความคิดทั้งหมด และเริ่มทำตามเคล็ดวิชาของชายชรา เขานั่งตัวตรงหลับตาและฝึกฝนปราณ

เคล็ดวิชาเหล่านี้มีเพียงไม่กี่ร้อยคำ อย่างไรก็ตามพวกมันเกี่ยวพันกับหลายสิบหัวข้อ การเคลื่อนไหวจมูกและลิ้น เคล็ดลับการหายใจ ปางมือ ท่าทางการนั่ง วิธีหาความสอดคล้อง เคล็ดวิชาเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามอย่างถูกต้องทั้งหมดโดยไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาด หลังจากหยางติงเทียนประสบความสำเร็จในการฝึกฝนเคล็ดวิชาชุดนี้ไปสิบกว่าครั้ง เวลาหนึ่งอาทิตย์ก็ผ่านไปแล้ว

สิ้นสัปดาห์นั้นทันใดหยางติงเทียนก็รู้สึกแสบร้อนและคันท้องน้อย ราวกับว่าหนูกำลังกระโดดไปมาข้างใน ร่างกายของเขาไม่สามารถทนได้ เขาจึงส่งเสียงออกมา

“เกิดอะไรขึ้น” ชายชราลืมตาขึ้น

“มันเหมือนกับว่ามีหนูอยู่ในท้องข้า กระโดดไปมาอย่างดุร้าย” หยางติงเทียนกล่าว

ใบหน้าชายชราเปลี่ยนไป ราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อ เขากล่าวว่า “เร็วเช่นนั้นเลยรึ”

หลังจากนั้นชายชราก็ถอนใจ “เมื่อเจ้าเปรียบเทียบคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง นั่นเพียงทำให้เกิดความไม่สบายใจ เจ้าเพียงแค่ฝึกฝนต่อไป อีกอย่างอย่าประหลาดใจจนเกินไปถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้”

“ขอรับ” หยางติงเทียนตอบ เขาฝึกฝนต่อด้วยเคล็ดวิชาในการฝึกปราณ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณสามนาที และแต่ละรอบ หนูในท้องน้อยของเขาก็จะกระโดดไปมารอบๆชั่วขณะ และจะหายไปขณะที่หยางติงเทียนกำลับจะค้นหามัน กระบวนการทั้งหมดเหมือนกับเกมซ่อนหา

ตลอดกระบวนการนี้ ดูเหมือนกับหยางติงเทียนได้รับของเล่นใหม่ เขาพบว่ามันน่าสนุกและไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย สามารถพูดได้ว่าพลังฟ้าดินประสานได้ชักนำเขาให้หมกมุ่นอยู่กับโลกอันแปลกประหลาดและลึกลับนี้อย่างสมบูณ์

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หยางติงเทียนก็ไม่พึงพอใจและพยายามอีกครั้ง “ใช่แล้ว…” หนูตัวน้อยดูเหมือนว่าจะโผล่ออกมาจากท้องน้อยของเขาก่อนที่จะกระโดดไปไม่หยุด

“เป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราถามเขาขณะลืมตาขึ้น

หยางติงเทียนกล่าวว่า “หนูตัวนั้นออกมาและกระโดดไปมาไม่หยุดในท้องของข้า”

ชายชราตื่นตระหนกพร้อมกับส่ายหน้าอีกครั้ง “เมื่อเจ้าเปรียบเทียบคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง นั่นเพียงทำให้เกิดความไม่สบายใจ”

สิ่งที่เขาไม่ได้บอกหยางติงเทียนก็คือผู้คนส่วนใหญ่ที่ฝึกตามเคล็ดวิชานี้ แม้กระทั่งผู้ที่มีพรสวรรค์จะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเพื่อที่จะได้รับรู้ว่ามีหนูอยู่ภายในตัวเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีเพื่อที่จะนำหนูออกมาจากท้องน้อย

“กระบวนการเมื่อกี้นี้เรียกว่าการรวมปราณ เมื่อร่างกายของเจ้าดูดซับพลังงานจากแผ่นฟ้าแผ่นดิน ดังนั้นเจ้าก็จะรวบรวมพวกมันไว้ในท้องน้อยของเจ้าจากเส้นชีพจรนับไม่ถ้วน หนูที่กระโดดไปมาที่เจ้ารู้สึกก็คือ พลังปราณของเจ้า” ชายชรากล่าว

“ข้ามีปราณแล้วเช่นนั้นรึ” หยางติงเทียนถามด้วยความตื่นเต้น

********************

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด