ตอนที่แล้วNYSS บทที่ 4: ชายชราลึกลับ (ส่วนที่ 2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปNYSS บทที่ 6: สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก

NYSS บทที่ 5: แรกสัมผัสศิลปะการต่อสู้


NYSS บทที่ 5: แรกสัมผัสศิลปะการต่อสู้

 

“ข้ามีพลังลับแล้วรึ” หยางติงเทียนถามด้วยความตื่นเต้น

 

“ไปฝึกชกสามชั่วโมง” ชายชรากล่าว “สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อฝึกชกหมัดไม่ใช่การเคลื่อนไหว แต่เป็นความสัมพันธ์กับปราณในช่องท้อง เจ้าต้องผสมผสานหมัดและปราณเข้าด้วยกันและเรียนรู้ในการควบคุมปราณในท้องเจ้า เจ้าไม่เพียงต้องเรียนการรวบรวมปราณจากชีพจรทั้งหมดมายังตันเถียน แต่ยังต้องเรียนวิธีกระจายปราณจากตันเถียนไปยังชีพจรทั้งหมดด้วย เช่นนั้นจึงจะทำให้หมัดของเจ้ามีประโยชน์ในการต่อสู้”

 

(บันทึกจากฉบับภาษาอังกฤษ: ตันเถียน(ต้นฉบับอังกฤษใช้ Sea of Energy) เป็นบริเวณระหว่างสะดือกับกระดูกหัวหน่าว อยู่กึ่งกลางเส้นผ่านระหว่างสองจุดนี้ มีขนาดกว้างประมาณสองนิ้วมือ เป็นที่ใช้กักเก็บพลังปราณ)

 

“ความสัมพันธ์อะไร” หยางติงเทียนถาม

 

ชายชรากล่าวว่า “ไปลองรับรู้ด้วยตนเอง”

 

หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วชายชราก็หลับตาลงอีกครั้ง

 

หยางติงเทียนเริ่มฝึกวิชาหมัดเจิ้งหยาง ในตอนแรกเขาฝึกขณะลืมตาเพื่อหลีกเลี่ยงจากการทำผิดพลาด อย่างไรก็ตามเขากลับไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาอะไรจากปราณในตันเถียนในช่องท้อง หลังจากฝึกต่อไปอีกสิบนาที ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาจากพลังปราณ ดังนั้นหยางติงเทียนจึงพยายามรับรู้กับพลังปราณโดยการหลับตา ไม่สนใจว่าการเคลื่อนไหวของเขาถูกต้องหรือไม่ ผลออกมาเป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อหนูภายในร่างเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย พลังดึงดูดของหยางติงเทียนไม่แข็งแกร่งพอและไม่สามารถดึงเอาปราณออกมาจากชีพจรได้

 

หยางติงเทียนฝึกต่อไปพร้อมหลับตาและพยายามอย่างหนักในการรับรู้และเข้าไปใกล้ชิดกับหนู อย่างไรก็ตามนั่นกลับตรงข้ามกับความคาดหวัง ยิ่งเขาพยายามเข้าไปใกล้มันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสงบนิ่งมากขึ้นเท่านั้น ตอนแรกมันเคลื่อนไหวเล็กน้อย ตอนนี้มันไม่สนใจและไม่ตอบสนองเขาโดยสิ้นเชิง

 

ดังนั้นหยางติงเทียนจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและฝึกการเคลื่อนไหวอย่างถูกต้องอีกหลายสิบครั้ง โดยไม่สนใจหนูพลังปราณตัวน้อย หลังจากนั้นเข้าก็ฝึกขณะปิดตาอีกครั้งพยายามรู้สึกถึงหนูปราณตัวน้อย

 

น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งขณะที่เขาเริ่มฝึกด้วยการหลับตาและใช้ใจรับรู้หนูตัวน้อย เจ้าหนูก็เริ่มพลุ่งพล่านไปมาอย่างรุนแรงราวกับว่าจะกระจายผ่านชีพจรไปทั่วทั้งร่าง

 

หยางติงเทียนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อหนูพลังปราณนี้ดูคล้ายกับหนูจริง บางครั้งก็จะเข้ามาใกล้บางครั้งก็ไกล เมื่อพยายามเข้าไปหามันก็จะเพิกเฉย แต่เมื่อไม่สนใจมันกลับเข้ามาใกล้ชิด

 

หยางติงเทียนพลันเริ่มฝึกอีกครั้งขณะหลับตาเพื่อรับรู้ถึงปราณ โลกผู้ฝึกยุทธช่างวิเศษเหลือเกิน หยางติงเทียนโอบกอดมันไว้และหลงไหล

 

“วันนี้เพียงแค่นี้ อย่าฝึกไปมากกว่านี้” ชายชรากล่าว

 

“แต่หนูนั่นกระโดดอย่างก้าวร้าว ข้ากำลังจะประสบความสำเร็จ” หยางติงเทียนกล่าว

 

“มันจักมิโลดแล่นในชีพจรของเจ้าอีกในเมื่อมันเพิ่งโลดแล่นอย่างรุนแรง เจ้าได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากแล้วในวันนี้” ชายชรากล่าว “หยุดฝึกหรือไม่เจ้าจักพบความเสียใจแทน”

 

“อา เมื่อเจ้าเปรียบเทียบคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง นั่นเพียงทำให้เกิดความไม่สบายใจ” ชายชราถอนใจและค่อยหลับตาลงช้าๆ

 

หยางติงเทียนไม่เชื่อเขาและแอบฝึกต่อ อย่างไรก็ตามกลับเป็นว่าชายชราพูดถูก แทนที่จะก้าวหน้าเขากลับประสบกับความเสียใจอย่างมากเป็นการตอบแทน หนูค่อยกระตือรือล้นน้อยลงและสุดท้ายมันพักอยู่ภายในตัวเขาโดยไม่ขยับอีกต่อไป

 

ในวันที่สอง หยางติงเทียนก็ฝึกปราณต่อเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เขารู้สึกว่าหนูตัวเล็กโตขึ้นเล็กน้อยและยิ่งรุนแรงกว่าเดิมเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามในการฝึกหมัดเจิ้งหยางสามชั่วโมงหลังจากนั้น แม้ว่าหนูจะโลดแล่นรุนแรง แต่เขาก็ยังคงล้มเหลวในการดึงพลังปราณออกมา ราวกับว่าหนูตัวน้อยถูกดึงไว้ด้วยพลังปราณจนไม่สามารถออกมาได้

 

วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า

 

สุดท้ายหยางติงเทียนก็สามารถชักนำหนูตัวน้อยออกมาจากจุดตันเถียนจากบริเวณท้องได้ จนรู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่ามีหนูมีชีวิตวิ่งพล่านไปรอบตัวเขาและไม่สามารถควบคุมได้เลย ทุกส่วนบนร่างกายเขาที่หนูวิ่งผ่านจะเกิดอาการร้อน รู้สึกเหมือนกับว่าบวมขึ้น หยางติงเทียนก็เริ่มสร้างความวุ่นวายอีกครั้ง

 

ชายชราลืมตาขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาเห็นหยางติงเทียนที่วิ่งวุ่นวายไปรอบๆ เขาถอนหายใจส่ายหน้า และพึมพัมอีกครั้งว่า “เมื่อเจ้าเปรียบเทียบคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง นั่นเพียงทำให้เกิดความไม่สบายใจ”

 

ขณะที่คนอื่นต้องการฝึกสามเดือนก่อนที่พวกเขาจะสามารถดึงเอาพลังปราณออกมาจากจุดตันเถียนมาสู่เส้นชีพจร หยางติงเทียนกลับประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้นเพียงใช้เวลาห้าวัน

 

“นั่งลงแล้วปรับลมหายใจของเจ้า พลังปราณย่อมกลับเข้าไปสู่จุดตันเถียนด้วยตนเอง” ชายชราพูดต่อ “เคล็ดวิชาแรกของหมัดเจิ้งหยางก็คือความสามารถในการระบาย”พลังปราณ“รวบรวมพลังปราณจากเส้นชีพจรของเจ้าและส่งมันกลับไปยังท้องทีละน้อยจนหมด กระบวนการนี้จะทำให้พลังปราณของเจ้าเข้มแข็งมากขึ้น จากนั้นเจ้าจึงดึงพลังปราณออกมาจากตันเถียนกลับไปสู่เส้นชีพจร”

 

“การทำเช่นนี้จึงจะถือว่าเจ้าสำเร็จเคล็ดวิชาแรก” ชายชรากล่าว “เคล็ดวิชาสองจะสอนเจ้าถึงวิธีชักนำและควบคุมพลังปราณ มันจะสอนเจ้าว่าเมื่อไหร่จึงยับยั้งไว้ เมื่อไหร่จึงจะปล่อยมันออก และวิธีส่งพลังปราณไปที่หนึ่งที่ใดตามต้องการ”

 

“เคล็ดวิชาที่สามสอนเจ้าถึงวิธีแบ่งพลังปราณ ในเมื่อเจ้ามิควรใช้ปราณทั้งหมดของเจ้าในขณะต่อสู้กับใครสักคน บางทีเจ้าต้องการสอนบทเรียนให้กับใครสักคนและมิมีเจตนาจะฆ่าเขา เจ้าก็เพียงปลดปล่อยพลังปราณของเจ้าออกมาทีละเล็กละน้อย”

 

“เคล็ดวิชาที่สี่สอนเจ้าถึงวิธีดึงเอาพลังปราณออกมาจากท้องน้อยเพื่อโจมตีศัตรู แต่คราวนี้ เจ้าควรสามารถที่จะหยุดพลังปราณไว้ครึ่งทางภายในเส้นชีพจร เก็บกักมันไว้และปลดปล่อยมันออกมาภายหลัง”

 

“เคล็ดวิชาที่ห้าสอนเจ้าถึงวิธีรวบรวมพลังปราณใหม่อย่างรวดเร็วจากทุกส่วนของชีพจรของเจ้าขณะที่ใช้พลังปราณโจมตีศัตรูไปพร้อมๆกัน ดังนั้นเจ้าก็สามารถที่จะเตรียมการต่อสู้ครั้งต่อไปได้ขณะที่กำลังโจมตีออกไปในครั้งนี้”

 

“เคล็ดวิชาที่ห้าเป็นเคล็ดที่สำคัญที่สุด” หยางติงเทียนมั่นใจ

 

“ถูกต้อง เคล็ดวิชาที่ห้าเป็นเคล็ดที่สำคัญที่สุดและยากที่สุดที่จะเชี่ยวชาญ” ชายชรากล่าว “เส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์เปรียบเสมือนร่องน้ำและพลังปราณเหมือนกับน้ำที่ไหลอยู่ภายในนั้น ขณะที่ปราณในตันเถียนเปรียบเหมือนทะเล ร่องน้ำไหลเข้าสู่ลำธาร ลำธารไหลเข้าสู่แม่น้ำ แม่น้ำไหลสู่ทะเล พลังปราณมาจากแผ่นฟ้าแผ่นดิน ทุกรูขุมขนและทุกตารางนิ้วของร่างกายมนุษย์ดูดซับพลังปราณ เมื่อพลังปราณในตันเถียนถูกปลดปล่อย พลังปราณในเส้นชีพจรก็สามารถรวบรวมเข้าไปสู่ตันเถียนได้รวดเร็วขึ้น ในเวลาเดียวกัน ทุกส่วนของร่างกายก็เริ่มดูดซับพลังปราณจากแผ่นฟ้าแผ่นดินอีก วัฏจักรดำเนินไปไม่รู้จบวนเวียนเป็นวง อย่างไรก็ตามก็ยังมีความแตกต่างในความเร็ว ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดของเจ้าในหมัดเดียว เช่นนั้นนั่นย่อมต้องใช้เวลามากกว่าสองนาทีสำหรับเจ้าในการรวบรวมพลังปราณอีกครั้ง ระหว่างนั้นบางคนอาจจะฆ่าเจ้าได้หลายสิบครั้ง”

 

หลังจากนั้นชายชราก็เริ่มวาดเคล็ดวิชาที่สอง สาม สี่ และห้าของหมัดเจิ้งหยางบนพื้นหิมะ

 

“ฤดูร้อนกำลังจะมาถึง สภาพหิมะตกคงหยุดลงในที่สุด ดังนั้นเจ้าต้องสามารถจำทุกสิ่งเหล่านี้ให้ได้ทั้งหมด และตามพื้นฐานข้าจักมิลืมตาขึ้นในเวลาช่วงนี้ เจ้าต้องฝึกฝนด้วยตนเองและจดจำคำพูดของข้าไว้ในใจ ฝึกปราณหนึ่งชั่วโมงและฝึกหมัดสามชั่วโมง” ชายชราแนะนำ

 

“ท่านจะไม่แนะนำข้าอีกต่อไปรึ” หยางติงเทียนถาม

 

“หมัดเจิ้งหยางและพลังฟ้าดินประสานล้วนเป็นวิชาการต่อสู้ที่ต้องอาศัยการหยั่งรู้ด้วยตนเอง พวกมันมีรากฐานที่ง่ายดายที่สุด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยากที่สุดและสำคัญที่สุดเช่นกัน ผู้ฝึกวิชายุทธต้องฝึกทั้งหมัดเจิ้งหยางและพลังฟ้าดินประสานเพื่อเข้าสู่ขอบเขตการฝึกฝนขั้นต่อไป อาจารย์ย่อมมิอาจให้คำชี้แนะได้ในเมื่อไม่มีคำชี้แนะใดจะให้ได้ ทุกผู้ฝึกวิชายุทธมีความรู้สึกรับรู้ต่างกัน กระทั่งวิธีในการเชื่อมโยงกับพลังปราณก็ยังแตกต่าง บางคำแนะนำอจจะมิมีประโยชน์และอาจจะชักนำผู้ฝึกวิชายุทธนั้นไปผิดเส้นทาง”

 

“ซึ่งนี่เป็นเหตุว่าทำไมหมัดเจิ้งหยางและพลังฟ้าดินประสานถือเป็นรากฐานที่ทุกผู้ฝึกวิชาต้องเชี่ยวชาญ อาจจะกล่าวได้ว่า จากการเฝ้าสังเกตฝึกฝนหมัดเจิ้งหยางและพลังฟ้าดินประสานเพียงอย่างเดียว เราสามารถประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะผู้ฝึกวิชาการต่อสู้จะสามารถเข้าไปถึงได้ในชั่วชีวิตของเขา” ชายชราพูดต่อว่า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมนี่จึงถือว่าเป็นกระบวนการหยั่งรู้ตัวตนของเราเอง”

 

หลังจากเรียนรู้สิ่งสำคัญของทั้งหมัดเจิ้งหยางและพลังฟ้าดินประสานแล้ว หยางติงเทียนก็ถามว่า “สำหรับผู้ที่สามารถเชี่ยวชาญทั้งหมัดเจิ้งหยางและพลังฟ้าดินประสานได้เร็วกว่าจะประสบความสำเร็จในอนาคตสูงกว่าหรือไม่”

 

“นั่นก็เป็นจริงสำหรับคนทั่วไป แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น กุญแจก็คือการมองเห็นในวิชายุทธ เข้าใจและรู้สึกถึงพลังปราณระหว่างการหยั่งรู้ รวมไปถึงอารมณ์และความเหมาะสมของเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบรรทัดฐานสำหรับทำนายอนาคตของผู้ฝึกวิชานั้นได้อย่างแม่นยำ” ชายชรากล่าวต่อ “แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพลังปราณ ผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์เกิดมาพร้อมความสามารถในการดูดซับพลังปราณจากแผ่นฟ้าแผ่นดินได้ดีกว่า และด้วยมีขนาดตันเถียนใหญ่กว่า เขาย่อมมีความสามารถในการควบคุมปราณดีกว่า”

 

“โดยสรุป ภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน ความสำเร็จเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ของผู้ฝึกยุทธขึ้นอยู่กับชีพจรปราณ ขณะที่อีกสามสิบเปอร์เซนต์ขึ้นกับตัวตนของเขา” ชายชรากล่าว “แน่นอนว่าเมื่อผู้ที่มีพรสวรรค์และชีพจรปราณเท่าเทียมกัน ทั้งยังมีตัวตนลักษณะใกล้เคียงกัน  เช่นนั้นเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ก็จะขึ้นกับผู้สอน วัตถุล้ำค้าและอาวุธ ขณะที่สามสิบเปอร์เซนต์จะขึ้นกับโอกาสที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับชีพจรปราณ”

 

“ชีพจรปราณของข้าเป็นอย่างไร” หยางติงเทียนถามอย่างรวดเร็ว

 

ชายชราทำท่าทางประหลาดและหลับตาลงอีกครั้ง

 

หยางติงเทียนพลันรู้สึกสิ้นหวัง ท่าทางเช่นนี้ของชายชราหมายความว่าอย่างไร อาจจะเป็นว่าข้าไม่มีพรสวรรค์ คงไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่ไหม หยางติงเทียนยังเป็นคนที่ค่อนข้างมีความมั่นใจค่อนข้างสูง ผู้ที่เชื่อว่าตนเองเก่งเกือบทุกอย่าง

 

ดังนั้น เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

 

เขาใช้เวลาเพียงห้าวันเพื่อเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาแรก

 

อย่างไรก็ตามสำหรับเคล็ดวิชาที่สอง เขาใช้เวลาห้าวันในการเรียนส่วนแรก เขาสามารถควบคุมพลังปราณยามต่อยหมัด เมื่อเขาสามารถใช้ปราณเป่าหิมะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ หยางติงเทียนก็ยิ่งตื่นเต้น เขาเริ่มหลงไหลมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆกับโลกลึกลับของศิลปะการต่อสู้

 

ดังนั้นจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาที่สองอย่างต่อเนื่อง เขาก็เรียนวิธีหยุดพลัง วิธีปล่อยพลัง และวิธีการควบคุมการเคลื่อนไหวของพลังปราณ เขาใช้เวลาทั้งหมด 25 วันเพื่อเชี่ยวชาญการเคลื่อนไหวเหล่านี้

 

กระบวนการเหล่านี้หมายความว่าเขาใช้เวลาทั้งสิ้น 40 วันเพื่อเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาที่สอง ซึ่งเป็นแปดเท่าของที่เขาใช้กับเคล็ดวิชาแรก เห็นชัดว่าความก้าวหน้าที่ช้าลงนี้ทำให้เขาค่อนข้างเสียใจและสงสัยในพรสวรรค์ของตนเองอยู่บ้าง

 

แน่นอนว่าถ้าชายชรารู้ถึงความก้าวหน้าของเขา อีกฝ่ายคงจะพึมพำคำว่า “เมื่อเจ้าเปรียบเทียบคนคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง นั่นเพียงทำให้เกิดความไม่สบายใจ”

 

ความจริงแล้วกระทั่งผู้ที่มีพรสวรรค์สุดยอดยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปีเพื่อสำเร็จเคล็ดวิชาที่สอง

 

ตามด้วยเคล็ดวิชาที่สาม หยางติงเทียนยิ่งหดหู่กว่าเดิมเมื่อเขาต้องใช้เวลากว่าสองเดือนกว่าจะสำเร็จ

 

ระหว่างกระบวนการทั้งหมด ชายชราไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสักครั้ง เขาได้ส่งโอสถเพลิงทั้งหมดไว้กับหยางติงเทียนเพื่อให้กินทุกสิบห้าวัน นอกจากฝึกปราณและหมัดเจิ้งหยาง เขาก็จะทำอิฐหิมะทุกครั้งเมื่อเกิดหิมะตก ส่วนหนูพลังปราณตัวน้อยนั้นก็เริ่มโตขึ้นโตขึ้น เขาก็ดูเหมือนได้รับความต้านทานต่อความหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาแข็งแกร่งขึ้นและเบาขึ้นคล่องแคล่วขึ้น

 

ยามเมื่อหยางติงเทียนเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาที่สาม ฤดูหนาวก็ได้จบลงและย่างเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของฤดูร้อน

 

ในเมื่อเป็นพื้นที่เย็นจัดในแดนทางเหนือ จึงยังมีหิมะระหว่างฤดูร้อน เพียงแต่ว่าความถี่และปริมาณของหิมะเท่านั้นที่ลดน้อยลง ดังนั้นกระบวนการสร้างบันไดน้ำแข็งที่หยางติงเทียนสร้างขึ้นก็ช้าลงจนเหมือนคลาน

 

ดังนั้น หยางติงเทียนจึงหวังให้ฤดูร้อนจบเร็วกว่านี้และฤดูหนาวกลับมา

 

หยางติงเทียนฝึกฝนหมัดเจิ้งหยางอย่างต่อเนื่อง เคล็ดวิชาแรกเขาใช้เวลาเพียงห้าวันก็ฝึกสำเร็จ ขณะที่เคล็ดวิชาที่สองใช้เวลาเขาถึงสี่สิบวัน เขาต้องการเวลาสองเดือนเพื่อฝึกสำเร็จเคล็ดวิชาที่สาม เขาเตรียมตัวอย่างเต็มที่สำหรับการฝึกเคล็ดวิชาที่สี่ กระทั่งกำหนดเส้นตายในการฝึกสำเร็จไว้ที่สี่เดือน แต่อย่างไรก็ตามกลับเป็นว่าเขาใช้เวลาเพียงแค่สามวันในการฝึกสำเร็จเคล็ดวิชาที่สี่ ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีใจถึงที่สุด ในตอนนั้นเขาก็หวังว่าชายชราจะลืมตาขึ้นมาชื่นชมเขาหรือมีท่าทางตกตะลึงไปกับความก้าวหน้าของเขา

 

อย่างไรก็ตาม ชายชรายังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น ซึ่งทำให้หยางติงเทียนค่อนข้างเสียใจ เขารู้สึกเหมือนกับคนที่ได้รับผลสำเร็จที่ดีแต่กลับไม่ได้รับคำชื่นชมจากบิดามารดา

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด