ตอนที่แล้วบทที่ 11 ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 ความเชื่อมั่นของสือเสี่ยวไป๋สั่นคลอนเสียแล้ว

บทที่ 12 ที่แท้พวกเราก็คิดมากไปเอง!


บทที่ 12 ที่แท้พวกเราก็คิดมากไปเอง!

 

ตอนที่ข้อความบนกำแพงโลหะหยุดนิ่งที่ “ระดับสติปัญญา : S ยีนพลังจิตพิเศษ : S” ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง

 

ข่ายเหวินตะลึงงัน เขานึกถึงสือเสี่ยวไป๋ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าอะไรคือผู้มีพลังจิตพิเศษ นึกถึงในหน้าสือเสี่ยวไป๋ที่ตะลึงอ้าปากค้างตอนที่ตัวเองทำท่าทางอวดเก่ง นึกถึงท่าทางสลดของสือเสี่ยวไป๋ตอนที่เขาเดินผละไปอย่างรวดเร็วหลังจากกล่าวถ้อยคำเหยียดหยันแล้ว และหันกลับไปมองข้อความสองบรรทัดบนกำแพงโลหะอีกครั้ง รู้สึกแค่ว่าหน้าเขาชามากๆ ชาที่สุด โค-ต-ร ชา แม่เจ้าโว้ย! แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือ[1]สนุกมากหรือยังไง?

 

หยางหยางอึ้งไปเหมือนกัน เดิมทีเขากำลังดื่มด่ำกับน้ำแกงอันโอชะนามว่า “ไม่มีอัจฉริยะ มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น” ที่มีสือเสี่ยวไป๋เป็นผู้ปรุง กลับพบว่าผู้ที่ต้มน้ำแกงโอชะถ้วยนี้แท้จริงแล้วอัจฉริยะกว่าข่ายเหวินไม่รู้ตั้งกี่เท่า พาลรู้สึกว่าในปากเขาตอนนี้อบอวลไปด้วยรสชาติของขี้ ให้ตายเถอะ แกงถ้วยนี้มีพิษ!

 

ผู้อาวุโสทั้งสามบนเวทีตกตะลึง พวกเขาเป็นสมาชิกรุ่นเดอะที่มีคุณสมบัติค่อนข้างสูงของ [ไกอา] พบเห็นการทดสอบเด็กใหม่มานับไม่ถ้วน แต่คะแนน S คู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเชื่อมั่นในความแม่นยำของเครื่องวัดระดับแล้วล่ะก็ พวกเขาเกรงว่าคงต้องตรวจสอบดูสักหน่อยว่ามีการโกงเกิดขึ้นหรือเปล่า

 

หลีจื่อเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะรู้จากอีเฉวียนมาแต่แรกแล้วว่าสือเสี่ยวไป๋เป็นผู้มีพลังจิตพิเศษ แต่ท่าทางเห็นม้าตายแล้วรักษาดุจม้าเป็น[2]ของสือเสี่ยวไป๋ ทำให้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณสมบัติของสือเสี่ยวไป๋จะน่ากลัวขนาดนี้ สือเสี่ยวไป๋คงเป็นเด็กใหม่ที่มีคุณสมบัติสูงที่สุดตั้งแต่ [ไกอา] ก่อตั้งขึ้นมาเลยทีเดียว ตอนนี้หลีจื่อได้แต่ยิ้มอย่างโง่เขลาพลางคิด ท่าจะเก็บของดีมาได้

 

หลังจากที่ทุกคนอึ้งไปแล้วนั้น ในใจพลันนึกถึงคำพูดของสือเสี่ยวไป๋ก่อนจะเข้าตู้เหล็กทดสอบ

 

สือเสี่ยวไป๋กล่าวว่า อัจฉริยะเป็นเพียงคนธรรมดาต่อให้หมั่นเพียรเท่าไหร่ ยังไงก็ยังเป็นคนธรรมดา

 

สือเสี่ยวไป๋กล่าวว่า คนธรรมดาที่หมั่นเพียรจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง อัจฉริยะผู้เกียจคร้านจะไม่มีวันเป็นผู้แข็งแกร่ง

 

สือเสี่ยวไป๋กล่าวว่า บนโลกนี้ไม่มีอัจฉริยะ มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น

 

ตอนที่สือเสี่ยวไป๋พูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างฮึกเหิม พวกเขาบางคนก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่รู้สึกหมั่นไส้ ตอนนี้`     มาลองคิดอย่างจริงจังดูอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่า ที่แท้แล้วคำพูดของสือเสี่ยวไป๋ไม่ได้แค่กำลังบอกพวกเขา แต่สือเสี่ยวไป๋กำลังบอกตัวเองด้วย!

 

สือเสี่ยวไป๋กำลังบอกตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาเองจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะในอัจฉริยะ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะแข็งแกร่งไปกว่าผู้อื่น หากไม่หมั่นเพียร เขาก็ไม่มีทางเป็นผู้แข็งแกร่งได้ บนโลกใบนี้ไม่มีอัจฉริยะ เขาสือเสี่ยวไป๋ก็ไม่ควรค่าแก่การเป็นอัจฉริยะ เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่ง เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องหมั่นเพียรกว่าผู้อื่น!

 

จะมีใครที่พูดแบบนี้แล้วน่าเชื่อถือไปกว่าอัจฉริยะระดับ S คู่?

 

ในใจของผู้คนในที่นี้ต่างนับถือเขาขึ้นมาไม่มากก็น้อย พวกเขาลองคิดว่า หากตัวเองมีคุณสมบัติในระดับ S คู่เหมือนๆ กับสือเสี่ยวไป๋ จะยังถ่อมตัวเหมือนสือเสี่ยวไป๋ตอนนี้หรือไม่ จะยังมีใจมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นผู้แข็งแกร่งอยู่อีกหรือไม่?

 

คำตอบคือไม่ พวกเขาทำไม่ได้ คุณสมบัติของอัจฉริยะระดับ S คู่ต่อให้นับทั้งเซี่ยกั๋วก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ว่าองค์กรไหนต่างก็ทะนุถนอมราวไข่ในหิน ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หากพวกเขาเป็นสือเสี่ยวไป๋ล่ะก็ แม้ว่าจะสามารถรักษาใบหน้าท่าทางเจียมตัวจอมปลอมไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดจริงใจเช่นนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน

 

สือเสี่ยวไป๋ ไม่ใช่แค่อัจฉริยะ แต่ยังเป็นอัจฉริยะที่หมั่นเพียรยิ่งกว่าพวกเขา!

 

การได้รู้แบบนี้ทำให้อารมณ์ของทุกคนดิ่งลึก ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาค่อยๆ ล้นเอ่อในจิตใจ พวกเขาพร้อมใจกันปิดปากนิ่งเงียบ จับจ้องไปยังเด็กชายอายุ 13 ที่เพิ่งออกมาจากตู้เหล็กคนนั้น

 

หนุ่มน้อยคนนั้น ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วนไม่ผอม ใบหน้าสะอาดหมดจด แต่งกายสะอาดสะอ้าน ดวงตากลมโตคู่นั้นสุกสกาวราวกับดวงดารา แต่ไม่ถึงขั้นหล่อเหลา และไม่ได้งดงาม หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วหล่ะก็ เพียงกวาดสายตามอง คงไม่สะดุดตาถึงขั้นจดจำได้

 

แต่ว่าเด็กชายคนนี้นี่แหละ เป็นที่ประจักษ์ว่าอัจฉริยะเหนือใครทั้งหมด แต่กลับรังเกียจอัจฉริยะยิ่งกว่าใครเช่นกัน เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาเป็นคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความหมั่นเพียรเหมือนใคร แต่กลับขยันหมั่นเพียรยิ่งกว่าผู้ใด

 

ภายใต้ท่าทางอันแสนธรรมดาของสือเสี่ยวไป๋ ลึกๆ แล้วซ่อนจิตวิญญาณแบบไหนอยู่กันแน่?

 

ทุกคนล้วนดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสือเสี่ยวไป๋เอ่ยก้องขึ้นมา

 

“ทุกท่าน! ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ แท้จริงแล้วบนโลกใบนี้มีอัจฉริยะอยู่จริง!”

 

ทุกคนต่างตกตะลึง นึกว่าตัวเองฟังผิดไป แต่แล้วสือเสี่ยวไป๋ก็พูดประโยคต่อมาว่า

 

“ข้าเนี่ยแหละคืออัจฉริยะ ฮ่าๆๆ กลัวตัวสั่นเลยสิ สิ้นหวังสินะ พวกมนุษย์ธรรมดา อัจฉริยะตัวจริงมาแล้ว!”

 

เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของสือเสี่ยวไป๋ดังสะท้อน กึกก้องอยู่ในทุกอณูเส้นประสาทของพวกเขา

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ที่แท้พวกเราก็คิดมากไปเอง!

 

สือเสี่ยวไป๋ก็เป็นแค่ไอ้โง่คนหนึ่ง!

 

ไอ้โง่ที่ปัญญาอ่อนขนาดนี้เป็นถึงอัจฉริยะระดับ S คู่อย่างนั้นหรือ?

 

พูดแบบนี้แล้ว แม้แต่ไอ้โง่คนหนึ่งพวกเขายังเทียบไม่ติดหรือ?

 

ให้ตายเถอะ โลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรม!

 

......

 

“เจ้าพวกมนุษย์ทำไมดูเหมือนพวกเจ้าอยากจะจับข้ากินยังงั้นล่ะ?”

 

สือเสี่ยวไป๋พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารีบรุดลงจากเวทีไปยังที่นั่งด้านซ้าย พบว่าสายตาของทุกคนยังคงเคลื่อนตามเขา พาลให้รู้สึกขนลุก

 

“หรือว่ายัยแม่มดขี้อิจฉาขโมยจิตวิญญาณของพวกเขาไป? ข้าต้องระวังตัวซะหน่อยแล้ว!”

 

สือเสี่ยวไป๋ย้ายตัวเองกลับมายังที่นั่งอย่างระมัดระวัง พบว่าหยางหยางที่อยู่ด้านหลังเขา กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาสับสน นัยน์ตาของสือเสี่ยวไป๋เป็นประกายวับ รีบกะพริบตาให้แพะน้อย[3]

 

“รีบชมข้าร็ว เร็วซี่...”

 

สือเสี่ยวไป๋คิดดังนั้น ยิ่งกะพริบตาถี่ขึ้น แต่กะพริบมาตั้งนานแล้ว หยางหยางกลับดูไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร เขาจึงรู้สึกเซ็งเล็กน้อย

 

“เจ้าแพะอารมณ์ดีนี่ ตอนที่เอ่ยชมสิงโตขนทองหลงตัวเองไม่ได้มีอาการแบบนี้นี่นา ข้าอัจฉริยะกว่าสิงโตขนทองหลงตัวเองตั้งเยอะ ทำไมไม่เห็นจะเอ่ยชมข้าเลย?”

 

สือเสี่ยวไป๋เห็นว่าหยางหยางไม่มีท่าทีสนใจเขา จึงหันไปหาข่ายเหวินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล โบกมือพูดว่า “เฮ้!เจ้าขนทองหลงตัวเอง”

 

ตอนนี้สือเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของข่ายเหวินมีเหตุผลอยู่มาก คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน เช่นตัวเขาเองสือเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้มีชีวิตไม่ธรรมดามาตั้งแต่กำเนิดหรอกหรือ

 

สือเสี่ยวไป๋ยิ้มให้ข่ายเหวินอย่างปราถนาดี แต่ข่ายเหวินกลับทำหน้าตาถมึงทึงสะบัดหน้าหันไปอีกทาง เขายิ่งรู้สึกสลดใจ

 

“เส้นทางการเป็นราชาคงโดดเดี่ยวแบบนี้เองสินะ”

 

สือเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ รู้สึกว่าจิตวิญญาณอันบอบบางของเขาได้ถูกคนพวกนั้นทำร้ายเอาเสียแล้ว

 

“สือเสี่ยวไป๋ ฉันว่านายพูดได้ถูกต้องที่สุด อัจริยะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่ง” เสียงของหยางหยางพลันดังขึ้นข้างหู

 

สือเสี่ยวไป๋ตะลึงไป ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งพูดจาอะไรทำนองนี้ออกไป กำลังจะกระแอมเพื่อแก้ไขทัศนคติผิดๆ นี้ ก็ได้ยินหยางหยางพูดอย่างจริงจังว่า

 

“ฉันไม่ใช่ผู้มีพลังจิตพิเศษ แต่ฉันเป็นคนที่มีความหวังที่สุดในการชิงเอาตำแหน่งเด็กใหม่ระดับ A ของหน่วยผู้คุมกฏรุ่นนี้ เพราะหัวข้อการวัดระดับเด็กใหม่ส่วนที่สอง คือการทดสอบความสามารถ ไม่พูดถึงพรสวรรค์ สนแค่พรแสวงที่สะสมมาของแต่ละคน”

 

“เพราะฉะนั้นสือเสี่ยวไป๋ หากในส่วนการทดสอบความสามารถนั้น นายสามารถทำให้ฉันนับถือนายจากใจจริงได้แล้วล่ะก็ ฉันก็จะยอมรับว่านายไม่ใช่แค่อัจฉริยะ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!”

 

แววตาของหยางหยางไม่เพียงเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความฮึกเหิมที่ลุกโชน แต่ยังแฝงความคาดหวังที่มีไม่สิ้นสุดอยู่ด้วย คำพูดก่อนหน้านี้ของสือเสี่ยวไป๋อาจจะเป็นเพียงลมปากที่พูดไปงั้นเอง แต่สำหรับหยางหยางกลับฟังขึ้นใจ เขาหวังว่าคำพูดเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่สุด เช่นนั้นเขาถึงจะสามารถเชื่อต่อไปได้ เพราะเหตุนี้ ก่อนอื่นเขาจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสือเสี่ยวไป๋ผู้ที่พูดถ้อยคำเหล่านั้น มีความสามารถอยู่จริง

 

ครั้นสบตากับหยางหยาง สือเสี่ยวไป๋เดิมทีอยากจะพูดว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์” แต่ไม่รู้ทำไมกลับยิ้มแล้วกล่าวออกไปว่า “ข้าไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น”

 

[1] แต่งเป็นหมูหลอกกินเสือ เป็นสำนวนจีน หมายถึง แกล้งทำตัวอ่อนแอเพื่อล่ออีกฝ่ายให้มาติดกับ

[2] เห็นม้าตายแล้วรักษาดุจม้าเป็น เป็นสำนวนจีน หมายถึง คนที่ดันทุรังทำในสิ่งที่เกินตัว

[3] แพะน้อยในภาษาจีนคือ 羊 (หยาง)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด