ตอนที่ 8 พอรู้สึกตัวอีกที
ตอนที่ 8 พอรู้สึกตัวอีกที
มาจะกล่าวบทไป...
ขอเล่าความถึงเรื่องราวพระเอกแห่งโลกอวิ๋นเจวี้ยนคนนี้ฉบับย่อกันสักหน่อย
เด็กชายตัวน้อยผู้เกิดขึ้นมาในยามพระอาทิตย์ฉายรุ่งสว่างให้เป็นสีขาวนวลเจิดจ้า อันที่มาเป็นชื่อของ เหอไป๋เทียน (สีขาว และท้องฟ้า รวมกันเป็นฟ้ายามกลางวัน) เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องแห่งสกุลเหอ หนึ่งในสามสกุลผู้ยิ่งใหญ่ แรกเริ่มเดิมทีนั้นเป็นเพียงคุณชายน้อยที่มีดีแค่เพียงใบหน้าเท่านั้น ทั้งวรยุทธ์ ทั้งทักษะความรู้ ทุกอย่างล้วนไม่มีอะไรที่โดดเด่นเทียบเท่า 'เหอไป๋หลาน' ผู้เป็นพี่ชายแสนเพรียบพร้อมเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เหอไป๋เทียนกลับจากการเดินทางฝึกตนนอกเรือนอันเป็นทำเนียมเก่าแก่ของสกุลเหอ เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งนิสัยที่มั่นใจในตัวเอง เก่งศาสตร์ศิลป์ความรู้วิชาการทุกแขนงอีกทั้งความสามารถด้านวรยุทธ์เองก็พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นเพราะระหว่างนั้นเขาได้พบเจอกับสหายผู้เป็นดังอาจารย์มีวิชากล้าแกร่งคอยสอนทักษะหลายๆ อย่างให้กับเขา
เหอไป๋เทียนจึงได้กลายเป็นชายผู้โดดเด่นเกินกว่าใครๆ ในดินแดนอวิ๋นเจวี้ยนแห่งนี้
ทว่าช่วงที่เดินทางฝึกตนจิตใจของเด็กชายผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ก่อเกิดบาดแผลหลายแผลเกิดขึ้น จากหลายเหตุการณ์ หลายปัญหาที่ตนได้ประสบพบเจอ ทำให้เหอไป๋เทียนผู้มีนิสัยใจคอเป็นเทพบุตร เป็นคนดีตามอย่างสุภาพบุรุษกลับมีจุดด่างพร้อยในใจอยู่
ช่วงต้นเรื่องนั้นเหอไป๋เทียนจัดเป็นพระเอกแนวปั้นหน้ายิ้มเพื่อกลบปมด้อยในใจตัวเอง
เขามีปมริษยาพี่ชายและพัฒนาต่อมากลายเป็นปัญหาเรื้อรังในจิตใจลึกๆ เหอไป๋เทียนนั้นมีความทะเยอะทะยานอยากเก่งอยากดีกว่าคนอื่น บางครั้งเพื่อเป้าหมายก็ทิ้งคุณธรรมในใจตนแสดงความเจ้าเล่ห์ทำทุกอย่างให้สำเร็จโดยไม่เลือกวิธีการเช่นกัน
เป็นพระเอกไทป์น้องชายผู้เก็บกดอย่างไม่สงสัย กว่าที่จะกลับมาเป็นผู้เป็นคนคลายปมในใจได้ก็ตอนที่ได้เจอนางเอก
และเมื่อคลายปมในใจได้แล้ว เหอไป๋เทียน ก็ได้กลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือแนะนำตัวละครฉบับย่อสุดๆ ของตัวเหอไป๋เทียนตามหนังสือข้อมูลเล่มนั้น
สรุปย่อและให้คำบรรยายโดยเสวี่ยหงเยว่...ขอบคุณ ขอบคุณ..
วัดจากเส้นเวลาของเหอไป๋เทียนแล้ว พวกเขาน่าจะกำลังอยู่อยู่ในบทแรกๆ ของนิยายนั่นคือการออกเดินทางฝึกฝนความสามารถของตนก่อนเข้าพิธีบรรลุนิติภาวะ
ความจริงแล้วสตอรี่วงเดินทางนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของคาร์แร็คเตอร์พระเอกแต่หนังสือคู่มือไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่าเขาเจอเพื่อนที่อายุมากกว่าทำหน้าที่เป็นอาจารย์ คอยพอออกลงดันเจี้ยนเก็บเลเวลเพิ่มประสบการณ์ ไต่ระดับความเทพ
และพัฒนาร่างจากเด็กน้อยใสซื่อกลายเป็นพระเอกดราม่าชีวิตปมเยอะฉิบหายในอนาคต
ช่วงเดินทางไกลน้อง...น้องไปเจอดราม่าอะไรมาเนี่ย ไอ้เรื่องย่อเฮงซวยก็ดันกลวงโบ๋ไม่บอกด้วยว่าไปเจออะไร ทำไมคาแร็คเตอร์ถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้
“พี่ชายเป็นอะไรไปหรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนส่งเสียงเบาๆ เรียกสติที่มัวแต่คิดหลุดลอยของเสวี่ยหงเยว่ให้กลับมา ชายหนุ่มกระแอมเล็กน้อย หันมาสบสายตากับเด็กชายที่ทำสีหน้าเป็นห่วงใยเขา เพียงแค่นั้นก็ทำให้เผลอยิ้มด้วยความเอ็นดูออกมา
เสวี่ยหงเยว่ส่ายหน้าบอกว่าตนนั้นสบายดีไม่ต้องห่วง
“โล่งใจไปทีขอรับ เห็นเงียบไปเสียนาน ข้าตกใจหมด” แล้วเหอไป๋เทียนก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มจริงใจให้ ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ได้แต่ทำหน้าปั้นไม่ถูกจะร้องไห้ไม่ใช่ จะหัวเสียก็ไม่เชิง อีกใจหนึ่งเขาก็อยากจะวิ่งไปหน้าบ้านคนเขียนและแหกปากตะโกนด่าว่า ‘น้องเขาเป็นเด็กดีขนาดนี้ ยังจะให้เขาเจอดราม่ากลายเป็นเด็กมีปัญหาในอนาคตทำไม’ อยู่หรอก
แต่ติดที่เขาไม่รู้จักบ้านคนเขียน
และที่สำคัญกว่าคือเขาอยู่ในโลกนิยาย
“ข้าไม่เป็นไร...” เขาตอบก่อนจะเงียบลงเล็กน้อย เมื่อนึกขึ้นได้ถึงคำถามที่เหอไป๋เทียนถามเขาไว้ก่อนหน้านั้น
"จะว่าไปแล้ว ข้ายังไม่ได้ตอบคำถามของเจ้าเลยสินะ” เสวี่ยหงเยว่ก้มมองเสี่ยวจูที่กระดื๊บตัวดุ๊กดิ๊กมานั่งบนตักตน เขายิ้มให้มันอย่างเอ็นดู ระหว่างที่นึกหลายเรื่องในหัวไปด้วย
หากบอกชื่อหงเยว่ออกไปคงทำให้เส้นเรื่องผิด เขาไม่รู้ว่า ‘การผิดกฏขั้นร้ายแรง’ ที่ยมทูตเคยบอกนั้นเป็นอย่างไร ต้องร้ายแรงขนาดไหนหรือแค่ทำเส้นเรื่องผิดนิด ๆ หน่อยๆ ก็ถือว่าร้ายแรงแล้ว
“หง…” เอ่ยเพียงแค่นั้นเขาก็เงียบลง ดูอาการของตัวเอง คล้ายว่าจะมีแค่เพียงเม็ดเหงื่อเม็ดเป้งๆ พุดออกมาบนหน้าผากให้ระทึกเล่นเท่านั้น
เขายังไม่ได้พูดคำว่า ‘เยว่’ ต่อท้ายหรืออะไร
การเกิดใหม่ครั้งนี้มีกฏห้ามเปลี่ยนเส้นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ข้อตกลงที่ว่าจะให้แสดงบทบาทอย่างอิสระนั้นก็ยังคงมีอยู่ นั่นทำให้เขาพอที่จะหาช่องว่างในการแทรกแซงหรือตีเนียนให้ไหลตามสถานการณ์ไปได้ หากมันไม่สร้างผลกระทบใหญ่อะไรกับเนื้อหา
เท่ากับว่าหากเขาปกปิดตัวตนไปได้เรื่อยๆ จนถึงพิธีบรรลุนิติภาวะเขาจะไม่ทำผิดเส้นเรื่องไงล่ะ!
“หงงั้นหรือ...” ว่าแล้วเหอไป๋เทียนก็จ้องไปยังดวงตาของเสวี่ยหงเยว่ พิจารณาถึงสีสันของดวงตาคู่นั้น
...สีแดง…
หง จากคำว่าหงเยว่นั้น แปลได้ความหมายว่าสีแดง
“หงเกอ...ข้า...น้องเรียกพี่เช่นนี้ได้ไหมขอรับ?”
เสวี่ยหงเยว่นั่งนิ่งๆ ลูบไล้ไปตามแนวเส้นขนของเสี่ยวจู บางอย่างที่ร้อนวูบนั้นตีขึ้นมาในอก ช่างอบอุ่น จนเผลอก้มหลบหน้าหนี
หงเกอ (พี่หง) งั้นหรือ..
“เอาสิ งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าไป๋เทียน” เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ ซึ่งเหอไป๋เทียนเองก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน เป็นอันเข้าใจกัน
หง ที่แปลว่าสีแดง และ ไป๋ ที่แปลว่าสีขาว
พอเป็นแบบนั้นแล้วก็ทำให้อดอมยิ้มออกมาไม่ได้
เมื่อหาทางเอาตัวรอดจากการแนะนำตัวได้แล้ว ดวงตาสีแดงมองไปรอบๆ เขาไม่รู้ว่าร่วงลงมาลึกขนาดไหนหรือห่างจากตัวหมู่บ้านมากเท่าใด แต่หากปล่อยเวลาทิ้งไว้นานกว่านี้คงไม่ใช่ผลดีต่อเขาและเหอไป๋เทียน ระยะนี้มีข่าวอันตรายจากสัตว์ร้ายในป่า เสวี่ยหงเยว่นั้นไม่อยากให้หวยออก ดวงซวย จ๊ะเอ๋กับสัตว์ร้าย ในสภาพที่ร่างกายตัวเองยังไม่พร้อมแบบนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้นเสวี่ยวหงเยว่จึงลุกขึ้นยืนช้าๆ ความเจ็บปวดจากการข้อเท้าเคล็ดนั้นหายไปแทบจะสิ้นแล้ว
“ข้าว่าเราควรหาทางขึ้นไปด้านบน...” เขากล่าวพร้อมกับยื่นมือไปดึงร่างของเด็กชายให้ลุกขึ้นยืน คิดเอาเดี๋ยวนั้นว่าจะใช้วิชาตัวเบาอุ้มเหอไป๋เทียนกลับขึ้นไปข้างบน
ทว่า...
เจ้าอ้วนเสี่ยวจูกลับพยายามดิ้นอย่างสุดแรง คล้ายมันไม่ยอมให้พวกเขากลับขึ้นไป ขาหน้าสั้นๆ ของมันไกวดุ๊กดิ๊กตะกุยกับลมไปยังทิศทางหนึ่งซึ่งไม่ใกล้...แต่ก็ไม่ไกลจากจุดตรงนี้นัก
“เหมือนอยากจะไปยังทิศนั้น...ใช่ไหมเสี่ยวจู?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถามเจ้าลูกหมู
แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดภาษาหมู เสี่ยวจูย่อมไม่เข้าใจเขา แต่การดิ้นไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ก็เป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว
“ข้าคิดว่าหมูของเจ้า...กำลังมีเป้าหมายยังทิศนั้น”
เหอไป๋เทียนเหลือบมองเสวี่ยหงเยว่เล็กน้อย เขาพยักหน้าคล้ายจะบอกว่าให้อีกฝ่ายปล่อยสัตว์เลี้ยงของตนลง
และเมื่อเสวี่ยหงเยว่ปล่อยเสี่ยวจูลงกับพื้น เจ้าลูกหมูตัวกลมก็สับตีนแตกวิ่งเข้าป่าไปเลย
เวรแล้วไง…
เมื่อกำลังจะวิ่งตามเสี่ยวจูไปนั้น เสวี่ยหงเยว่นึกได้ถึงอะไรบางอย่างได้ เขารีบคว้ามือของเหอไป๋เทียนเพื่อไม่ให้เด็กน้อยวิ่งสะเปะสะปะห่างจากตัวเขาจนพลัดหลงกัน
ทิศทางที่เสี่ยวจูวิ่งไปจัดได้ว่าสบายสำหรับหมูแต่ลำบากสำหรับคน ทั้งพงไม้ที่หนาแน่น ทั้งกิ่งไม้โค้งที่โน้มลงต่ำลำบากหัวของคนตัวสูง เถาวัลย์ที่เลี้อยลงขวางบังเส้นทาง ไหนจะพื้นที่เป็นแอ่งน้ำหย่อมๆ เหยียบทีก็ทำให้ขี้เลนขี้โคลนกระเด็นเลอะเต็มขาเต็มรองเท้า
เล่นเอาสภาพที่มอมแมมจากการกลิ้งตกเขา ทวีความเลอะยิ่งกว่าเดิม
ยิ่งตามไปยิ่งเข้ามาในป่าลึกขึ้น พอลึกขึ้นก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในป่าดูแปลกไปจากเดิมมาก เสวี่ยหงเยว่จึงกระตุกข้อมือของเหอไป๋เทียนเบาๆ เพื่อให้เด็กชายหยุดวิ่ง
“หงเกอ...น้องว่าบรรยากาศตอนนี้มันแปลกๆ” เหอไป๋เทียนเอ่ยเสียเบาเมื่อสภาพอากาศอยู่ๆ ก็ชื้นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หมอกขมุกขมัวหลงหนาจัด หนาวจนหายใจเป็นไอขาวอีกทั้งเขายังรู้สึกว่าที่ตรงนี้เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ราวกับเข้าสู่ยามราตรี ผิดกับช่วงเวลาจริงที่อยู่ในช่วงเซี่ยอู่ว (ตอนบ่าย) เท่านั้น
เขาเสวี่ยมีหิมะปกคลุมยอดตลอดทั้งปีก็จริง แต่ช่วงตีนเขานั้นก็จะไม่เย็นจัดและฤดูนี้ไม่ได้ใกล้ฤดูหนาวเลยแม้แต่น้อย
อากาศต่างจากปกติลิบลับราวกับว่า…
เสวี่ยหงเยว่ขยับตัวเข้าใกล้เหอไป๋เทียน สายตามองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง บรรยากาศนี้...วังเวงขนาดนี้...ประสบการณ์มันสอนเขาดีเชียว
ว่านี่มันคือจุดเริ่มต้นของฉากต่อสู้!
ไอ้การที่ฉากปกติตัดเข้าสู่ความมืดวังเวงไม่น่าไว้ใจแบบนี้ได้น่ะนะ ถ้าเป็นหนังผี ก็ต้องเตรียมใจรับการโดนจัมป์สแกร์ แต่ถ้าเป็นนิยายสตอรี่จีนแบบนี้...ใช่แล้ว ! ต้องเป็นจุดเชื่อมของการเปิดฉากอะไรสักอย่างและคงไม่พ้นฉากต่อสู้แน่!
เชื่อเขาสิ เขาอ่านมากเยอะ
เสี่ยวจูนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่างพาซวยให้เข้ามาเจอฉากนี้
เจ้าหมูน้อย หรือการมีอยู่ของแกเป็นบทไว้เพื่อเรื่องแบบนี้กันหืม?
เสียงพุ่มไม้ดังสวบสาบดังเข้ามาใกล้ตัว เขาค่อยๆ กันเจ้าตัวเล็กให้หลบไปด้านหลัง เสวี่ยงหงเยว่เอามือแตะอกเสื้อตัวเอง ข้างในนี้มีมีดสั้นและยันต์จำนวนหนึ่งอยู่ หากเป็นเพียงแค่สัตว์ป่าธรรมดาก็พอจะเอาตัวรอดได้
เสี่ยวหงเยว่รู้สึกโมโหในความประมาทชะล่าใจตัวเอง
ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะมาสำรวจป่าหลังประชุมแผนจัดการวันพรุ่งนี้ จึงไม่ได้พกกระบี่ออกมาจากที่พักด้วย
แต่กลับกันก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ การเอากระบี่ประจำตัวมาเดินเตร็ดเตร่ในเมืองก็คงเป็นจุดเด่นเกินไปและทำให้การปลอมตัวไม่มีประโยชน์ โบราณว่าไว้ กระบี่ก็เหมือนเจ้าของ เจ้าของก็เหมือนกระบี่ หากบุคคลมีหน้าตาและรูปลักษณ์แต่ต่างกันฉันท์ใดกระบี่เองก็เช่นกัน เฟยฉี (โบยบินสู่มงคล) เป็นกระบี่สีขาวสะอาดเนื้องามมีเอกลักษณ์ต่างจากกระบี่อื่นเป็นอย่างมาก
มันครองความโดดเด่นไม่แพ้กันผู้เป็นนาย หากเสวี่ยหงเยว่พกออกมาจากที่พักในขณะปลอมตัวไม่แคล้วคนจะจับได้ทันที
“หงเกอ…” เสียงพึมพำมาจากเหอไป๋เทียน เสวี่ยหงเยว่จึงเหลียวมองตัวเล็กข้างกายที่กำลังดึงชายเสื้อของเขาไว้ด้วยสีหน้าที่กังวลใจ เห็นดังนั้นจึงโอบประครองบ่าเล็กๆ นั้นเอาไว้
“อย่ากังวลใจไป ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
เหอไป๋เทียนได้ฟังก็ชะงักไปเล็กน้อยกับคำที่พูดออกมาโดยสีหน้าไม่ได้แปรเปลี่ยน ไม่สิ คนตรงหน้าเขาแทบจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เลยนอกเหนือจากความจำเป็นเลยมากกว่า
คำพูดนั้นอาจจะเป็นคำพูดเพื่อดึงสถานการณ์ให้ดีขึ้นก็ได้
และถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร
เพราะมันสร้างความอุ่นใจให้เหอไป๋เทียนเป็นอย่างมาก
แผ่นหลังนั้นกว้างและสูงแต่กลับอ่อนโยนมากเสียจนเหอไป๋เทียนยิ้มออกมา สถานการณ์ตอนนี้อันตรายมากนักเขากลับรู้สึกวางใจและเชื่อใจในชายที่เขาพบเจอเพียงแค่ไม่นาน
ช่างเป็นชายที่น่าชื่นชมนัก นั่นคือสิ่งที่เหอไป๋เทียนคิด
ทว่าฉากอันแสนดีนี้ก็ต้องชะงักลงไป เมื่อกลิ่นสาบฉุนเริ่มอบอวลลอยใกล้ เสียงสวบสาบของบางสิ่งบางอย่างกำลังคืบคลานตนเข้ามา เสวี่ยหงเยว่จึงค่อยๆ หลับตาลง ตั้งสมาธิ จับใจฟังและคาดคะเนถึงฝีเท้าที่เดินเข้ามาหา รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เมื่อเสียงที่ได้ยินระบุว่าผู้มาเยือนนั้นมีเพียงแค่หนึ่ง
เสวี่ยหงเยว่รีบดึงร่างเล็กเข้ามาใกล้ตัวเองมากยิ่งกว่าเดิม ในเวลานี้เหอไป๋เทียนยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังไม่ได้กระบี่ประจำตัว อีกทั้งเขายังไม่รู้ถึงทักษะการต่อสู้ว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญมาน้อยเพียงใด เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเด็กคนนี้จะเอาตัวรอดได้
เหมือนพามาหาอันตราย ไม่น่าไว้ใจหมูมันเลย ตอนแรกก็นึกแค่ว่าจะวิ่งเข้าป่าไปหาอะไรสักอย่างตามสัญชาติญาณสัตว์ ไม่นึกเลยว่ามันจะพามาเจอสถานการณ์ชวนปวดหัวแบบนี้
กลิ่นสาบเริ่มเด่นชัดจนรู้สึกเวียนหัว ความรู้สึกคล้ายกับขนสัตว์หรือหนังสัตว์แห้งๆ ที่ไม่ได้ตากแดดตากลมเป็นกลิ่นเหม็นที่เสวี่ยหงเยว่รู้สึกคุ้นเคยแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก จนกลิ่นเข้ามาใกล้มากขึ้น จึงได้เห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตตัวนั้นโผล่พ้นออกมาจากเงาไม้
แสงสว่างเพียงเล็กน้อยที่เล็ดลอดผ่านกิ่งไม้ พอจะทำให้เห็นได้ว่ารูปร่างนั้นเป็นเช่นไร
สิ่งที่เขาเห็นมันคือเจ้าของฟันและเขี้ยวขนาดใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับคำให้การถึงสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ของจงฉิงเจียแล้ว เขาก็ประติประต่อได้ทันทีว่านี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนในหมู่บ้านถูกสังหาร มันคือสัตว์ร้ายผู้ทำให้ธุรกิจส่งของป่าขาดตอน
ในที่สุดเขาก็หาตัวมันพบ
แม้ว่าจะ...ไม่ใช่เวลาและสถาณภาพที่พร้อมต่อกรด้วยสักเท่าไรนัก
โลกอวิ๋นเจวี้ยนนั้น สัตว์ในตำนาน สัตว์ร้าย ปิศาจ เป็นสิ่งที่ปกติสำหรับโลกใบนี้อยู่แล้ว การพบเจอสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ไม่มีอยู่ในสารบบโลกเก่าของเสวี่ยหงเยว่มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยเป็นเด็กวัยละอ่อนเขายังเคยต้องไปปราบสาหร่ายที่กินหัวมนุษย์เป็นอาหารด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น ก็นับว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ปกติมากไม่ต่างจากการการเจอเสือหลุดออกมาจากสวนสัตว์
ใช่...ไม่น่ากลัวเลย...ไม่เลย ไม่สักนิด...ฮือออ...
เงาร่างของหมาป่าขนาดใหญ่...ใหญ่มากเกินกว่าขนาดของสัตว์ปกติค่อยๆ เดินย่างเท้าอย่างเชื่องช้ามาทางทางเขาและเหอไป๋เทียนด้วยท่าทางที่แวดระวังภัยอีกทั้งยังส่งเสียงครางต่ำในลำคอพร้อมพุ่งโจมตี
จากการกะเอาเองด้วยสายตา เสวี่ยวหงเยว่คิดว่าขนาดมันเทียบเท่ากับม้าที่มีเส้นขนสีดำสนิทแห้งกระด้างอย่างสัตว์ป่าไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดหรือว่าแปรงขนเลยแม้แต่น้อย
ทำให้คิดออกเดี๋ยวนั้นว่ากลิ่นสาบฉุนอันแสนคุ้นเคยที่รู้สึกในตอนแรกนั้นเหมือนอะไร ใช่แล้ว มันเหมือนกลิ่นหมาไม่ได้อาบน้ำยังไงล่ะ!
อา คิดถึงไอ้ด่างหมาจรแถวบ้านที่เชียงใหม่...น่าเอามะกรูดมาขยำขนจริงๆ
แต่คุณ มาระลึกถึงหมาแถวบ้านทำมะเขือเผาอะไรตอนนี้! ใช่เวลาไหม! จะโดนหมาป่ายักษ์ขย้ำอยู่แล้วไหมล่ะ!
เมื่อรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของผู้บุกรุก หมาป่ายักษ์ก็ส่งเสียงคำรามดังขึ้นและพุ่งตัเข้าใส่เสวี่ยหงเยว่โดยไว!
เสวี่ยหงเยว่เห็นเช่นนั้นก็ชะงักไปด้วยความตกใจใน หากตั้งสติชูฝ่ามือวาดออกไปด้านหน้าสร้างม่านป้องกันตัวของเขากับเหอไปเทียนเอาไว้ไม่ทัน คอของเขาคงมีเขี้ยวฝังไปเรียบร้อยแน่
แต่การสร้างม่านป้องกันแบบลวกๆ อย่างคนตั้งสมาธิไม่ทันก็ทำให้ได้โล่ที่ไม่แข็งแกร่งมากมายนัก โดนกรงเล็บของสัตว์พุ่งโจมตีไม่กี่ครั้งก็เกิดรอยแตกร้าวราวได้แล้ว หากจะต้องการม่านป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าของเดิม เขาต้องทำลายอันเก่าแล้วสร้างใหม่ ซึ่ง...
ความบ้าคลั่งจากการพุ่งโจมตี ทั้งกรงเล็บใหญ่ยักษ์ ไหนจะยังน้ำลายเหนียวที่ออกมาจากปากและเขี้ยวอันแข็งแรงที่พร้อมจะกัดได้ทุกเมื่อ
อา...กัดทีเดียวร่างคงกระจุยเป็นชิ้น อร่อยเจ้าหมามันล่ะ
หยุดป้องกันตอนนี้ก็โดนกัดคอสิครับ!
นึกอยากจะใช้พลังของตัวเองจัดการกับเจ้าหมานั้น เขามั่นใจว่าระดับความสามารถของตัวเองสูงพอที่จะเป่าเจ้าสัตว์ยักษ์นี้ให้หายไปง่ายๆ ราวกับดีดนิ้ว อย่างน้อย การที่เขาได้ขึ้นมาเป็นประมุขสำนักใดสำนักหนึ่งก็ไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของพ่อเพียงอย่างเดียว
...แต่มันก็มีความเสี่ยง...
เสวี่ยงหงเยว่ไม่เคยกังวลเกี่ยวกับการตายตามบท
เพราะเขารู้ดีว่าถ้าทำหน้าที่ของตัวเองจนจบ เขาก็ได้ไปเกิดใหม่ในโลกที่ตัวเองต้องการ...แต่การตายโดยผิดไทม์ไลน์นอกจากไม่คุ้มค่าเหนื่อยแล้วยังเสี่ยงที่จะผิดสัญญาฉบับนั้นจนอาจไม่ได้เกิดใหม่อีกรอบ
แต่ในทางกลับกัน หากใช้พลังตัวเองมันก็มีความเป็นไปได้ที่การเป็นเสวี่ยหงเยว่จะเปิดเผย คลื่นพลังของสายเลือดเสวี่ยมีเอกลักษณ์มาก และการเปิดเผยตัวเองก่อนพิธีบรรลุนิติภาวะนั่นก็จะเสี่ยงต่อการทำผิดกฏไทม์ไลน์อีกเช่นกัน
เขาต้องเลือกระหว่างตัวเลือกสองอย่างนี้และไม่ว่าจะเลือกทางไหนผลก็สุดโต่งทั้งคู่
แต่ยังไม่ทันตัดสินใจเลือกอะไรเขาก็ได้ยังเสียง ‘เพล้ง’ ดังขึ้น
รอยร้าวที่เกิดจากคมเขี้ยวหมาป่า กระจายตัวกว้างมากเรื่อยๆ ครอบคลุมม่านป้องกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็แตกกระจายกลายเป็นเศษลอยในอากาศดังกระจกเนื้อใสที่ถูกทำให้ป่นละเอียด
ในที่สุดม่านป้องกันที่ถูกสร้างมาอย่างลวกๆ ก็พังทลายลงจนได้
“รีบไปหาที่ปลอดภัยซะ!” เสวี่ยหงเยว่กางม่านป้องกันคลุมเหอไป๋เทียนเอาไว้ก่อนจะเหวี่ยงร่างเด็กชายไปทางอื่น
เมื่อเห็นว่าเหอไป๋เทียนหลุดออกจากวงต่อสู้ไปแล้ว เขาก็รีบชักมีดสั้นของตัวเองออกมาจากอกเสื้อ ทว่าไม่ทันการณ์! คมเขี้ยวพุ่งตรงเข้ามาหาและกัดเข้าไปยังแขนข้างขวาของเสวี่ยหงเยว่เต็มแรง!
ชายหนุ่มทรุดลงไปกับพื้น ร่างของเขากึ่งนั่งกึ่งนอนโดยมีหมาป่ายักษ์คร่อมเอาไว้ น้ำลายเหนียวผสมกับเลือดไหลออกมาจนกระเซ็นเลอะเสื้อผ้าของเสวี่ยหงเยว่
เจ็บว้อยยย!!
อยากแหกปากร้องแบบนี้มาก แต่ร้องไม่ได้ แต่มันเจ็บ! โอ้ย โคตรเจ็บ! แต่ร้องไม่ได้ ทำไมต้องสร้างคาร์แร็คเตอร์ให้ตัวเองเป็นคนขี้เก็กด้วยวะเนี่ย!!
เขายื้อแขนข้างขวาของตนกับการดึงกระชากของหมาป่ายักษ์ด้วยแรงทั้งหมดเท่าที่ทำได้ การที่เขาพยายามจะทำอยู่นี้ไม่ใช่ดึงเพื่อให้หลุดจากโดนกัดแต่ยื้อเพื่อไม่ให้มันสะบัด หมาแบบนี้หากกัดอะไรเข้ามันจะต้องพยาดดึงให้ขาด หากเขายอมโอนอ่อนต่อแรงแขนของเขาต้องขาดเป็นแน่
มีดของเขาหลุดออกจากมือขวาไปแล้วตอนถูกกัด เห็นทีคงต้องใช้พลังของตัวเองในการจัดการกับเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เท่านั้น เสวี่ยหงเยว่กัดฟัน สถานการณ์ตอนนี้สุ่มเสี่ยงเขาไม่รู้ว่าหมาป่าจะบ้าคลั่งเล่นเขาถึงตายไหม ตัวเลือกสองทางอันสุดโต่งทางเมื่อครู่ลอยกลับมาในหัว ความรู้สึกไม่ต่างจากตอนทำข้อสอบช่วงห้าวินาทีสุดท้ายแล้วต้องเลือกช้อยส์ไม่มีผิด
ระหว่างตายกับเปิดเผยตัว...
เอาวะ เลือกก็เลือก ให้เปิดเผยตัวก็เสี่ยงผิดกฏน้อยกว่าตายนอกบทละวะ!!!
เสวี่ยหงเยว่พยายามยกมือข้างซ้ายขึ้นมา ตั้งสมาธิสร้างกระแสพลังให้หมุนวนอยู่ในมือ ต่อให้เป็นพลังง่ายๆ และไม่ได้หมายให้หมาป่าตายแต่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ก็ทำให้เขาเสียสมาธิมากจนกะการใช้งานไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าพลังที่ปล่อยไปส่งผลระดับไหนกับมัน
เขากลัวทำมันตาย เสวี่ยหงเยว่รู้ดีถึงนิสัยสัตว์ การที่เข้ามาทำร้ายคน หากไม่ใช่ถูกบุกรุก ก็เพราะกลัวภัยที่กำลังเข้ามา
แต่ถ้าไม่ทำ เขาก็เสี่ยงชีวิต เสี่ยงผิดสัญญาเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่ต้องเลือกแล้ว
ในจังหวะที่เขาพยายามตัดใจ ทำตัวเป็นคนใจแข็งซัดพลังใส่เจ้าหมาป่านั้น เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ไม่ใช่เสียงพูด ไม่ใช่เสียงตะโกน แต่เป็นเสียงอันอ่อนหวานละมุนดังขึ้นมาในหัวของเขาโดยตรง!
“นายท่านเสวี่ย ได้โปรดหยุดก่อนเจ้าค่ะ!”