ตอนที่ 9 สถานที่อันเป็นความลับ
ตอนที่ 9 สถานที่อันเป็นความลับ
เสียงที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัวทำให้เสวี่ยหงเยว่และเจ้าหมาป่านั้นชะงักลงไปทันที เขาเดาว่ามันเองคงจะได้ยินถึงเสียงนั้นเหมือนกันจากการที่รีบคายแขนเขาออกมาพร้อมกับส่งเสียงหงิงเบาๆ ในลำคอ หูลู่หางตกเหมือนหมาบ้านทำความผิดแล้วเจ้านายไล่ให้ไปนั่งสำนึกผิดอยู่
เมื่อเห็นว่ามันถอยห่างออกจากตัวเขาไปไกลพอสมควรแล้ว เสวี่ยหงเยว่จึงยันกายลุกขึ้นนั่งสายตาจับจ้องเฝ้าระวังภัย มือของเขาพร้อมคว้ามีดสั้นมาป้องกันตัวได้ทุกเมื่อหากเจ้าสัตว์ร้ายเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอีก
“หงเกอ!!” เสวี่ยหงเยว่ได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อจึงรีบหันหน้าไปหาต้นเสียง เขาเห็นร่างของเด็กชายกำลังอุ้มลูกหมูวิ่งตรงมาหาเขา...เหอไป๋เทียนกับเสี่ยวจูนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหงเยว่ปลอดภัยดียังมีชีวิตอยู่ เหอไป๋เทียนถึงกับหน้าเบ้คล้ายคนกำลังร้องไห้รีบวางเสี่ยวจูลงกับพื้น เด็กชายรีบทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
ก่อนจะ…
จะ…
โผเข้ากอดเสวี่ยหงเยว่เต็มแรง
“หงเกอ หงเกอ! หงเกอ!!” เหอไป๋เทียนในตอนนี้ทำได้แค่เพียงร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายเท่านั้น อ้อมแขนอันสั่นเทาขยับกอดแน่นไม่ยอมปล่อย ความกลัว ตกใจ ปนโล่งใจที่วิ่งกลับมาพบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดี ความรู้สึกทุกอย่างปะปนกันจนสับสนก่อให้เกิดน้ำตาเม็ดโตไหลออกมาจากดวงตาของเขา
เมื่อเด็กชายรู้ถึงความอบอุ่นที่ลูบหลังของตน เขาจึงได้สติ เหอไป๋เทียนค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากการกอด
“น้องลืมไปว่าพี่ยังเจ็บ…” ทำเสียงหงอยเล็กน้อย เมื่อเห็นบาดแผลจากคมเขี้ยวบนแขนขวาของเสวี่ยหงเยว่ เหอไปเทียนเอื้อมมือไปหาคล้ายกับว่าจะสัมผัส
“อย่าแตะ” เสวี่ยหงเยว่ร้องห้ามทันที เนื่องจากบาดแผลของเขานั้นค่อนข้างน่ากลัวเอาการ
“แผลไม่สะอาด มันจะทำให้มือเจ้าสกปรก” เขาพูดนิ่งๆ ขัดกับในใจที่กำลังแหกปากโวยวายอยู่
เล่นโดดกอดแน่นซะแบบนั้น หัว - ใจ - แทบ - ร่วง – ไป - กอง – ที่ - ตาตุ่ม!
เสวี่ยหงเยว่ชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างมาดุนดันหลังตน เมื่อหันไปก็ได้สูดกลิ่นสาบสุนัขเข้าไปเต็มปอด ในทีแรกเขาตกใจ คว้าร่างเหอไป๋เทียนพร้อมจะพาหนี หากแต่พอเห็นแววตาและสายตาซึมหงิมขั้นสุดของเจ้าหมาป่าขนาดเท่าม้าตรงหน้าแล้ว ก็ทำให้สงบลง
มันเอาหัวของตัวเองดันๆ หลังเสวี่ยหงเยว่ สื่อสายตาคล้ายอยากขอโทษ พลิกอารมณ์จากหมาบ้าดุร้ายกลายเป็นหมาซึมทันทีจนเสวี่ยหงเยว่ตกใจ
ตอนแรกก็นึกอยากจะกำหมัดต่อยมันแรงๆ สักทีให้สมกับที่ทำแขนเกือบขาด
เจ็บก็เจ็บ แต่เห็นแบบนี้ ก็โกรธไม่ลง บ้าเอ้ย ทำไมต้องเกิดเป็นคนใจอ่อนกับของน่ารักด้วยวะเนี่ย!
“จริงสิ หงเกอ ไปล้างแผลก่อน” เมื่อนึกออก เหอไป๋เทียนหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาจากอกเสื้อ ฉีกกระชากออกจนได้ผ้าพันแผลยาวๆ มาพันรัดห้ามแขนที่เลือด เด็กชายประครองเสวี่ยหงเยว่ให้ลุกขึ้น พาเดินเข้าไปในป่าเรื่อยๆ โดยมีเสี่ยวจูเดินนำหน้า และเจ้าหมาป่าเดินปิดท้าย คล้ายขบวนอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะแปลกก็ไม่ใช่ตลกก็ไม่เชิง
“ระหว่างทางน้องเจอน้ำตกด้วยล่ะ!” เหอไป๋เทียนยิ้ม ชวนพูดคุยระหว่างเดินทาง "แล้วก็ที่ตรงน้ำตก…น้องมีอะไรอยากให้พี่ได้เห็น”
เพราะจังหวะที่เสวี่ยหงเยว่เหวี่ยงเขาให้ออกจากวงต่อสู้ เหอไป๋เทียนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเป็นอย่างแรกก็หันไปเจอกับเสี่ยวจูวิ่งกลับมาพอดี เมื่อเจ้าลูกหมูมันเห็นสถานการณ์ย่ำแย่เกิดขึ้นตรงหน้าก็รีบดึงให้เหอไป๋เทียนวิ่งไปยังทิศหนึ่งซึ่งมีอะไรบางอย่างอยู่ทันที
ซึ่งการชักนำของเสี่ยวจูทำให้ได้พบกับอะไรบางอย่างที่เหอไป๋เทียนคาดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
เหอไป๋เทียนพาเสวี่ยหงเยว่เดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนป่าที่เคยรกร้างเย็นยะเยียบมืดมิดเหมือนป่าผีสิงเริ่มมีแสงสว่างก่อเกิดที่ละเล็ก ที่ละน้อย ราวกับว่าแสงอาทิตย์ที่หายไปได้เริ่มกลับคืนมาแล้ว
จนกระทั้งคนทั้งคู่ สัตว์ทั้งสองตัว ลอดผ่านม่านใบไม้ ก็ปรากฏแสงสว่างอันเจิดจ้าแสบตาของสถานที่แห่งหนึ่ง
แว่วยินถึงเสียงน้ำตกกระทบกับโขดหินท่ามกลางป่าเขา น้ำตกใสสะอาดเสียจนเห็นถึงสัตว์น้ำน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ แสงสว่างเรืองรองผ่านพ้นแมกไม้ก่อให้เกิดประกายกระทบกับสายน้ำ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปยังด้านบน ภาพของท้องฟ้าก็ปรากฏลอดจากยอดของต้นไม้ที่กำลังสั่นไหวไปตามสายลมอ่อนๆ กลีบดอกไม้สีแดงขาวถูกโอบลอยละล่องฟุ้งพัดพากลิ่นอายหอมไปทั่วบริเวณ ทั้งหมดนี้เป็นภาพของธรรมชาติที่แสนงดงามและดูไม่คุ้นตา
นับตั้งแต่บรรลุนิติภาวะเสวี่ยหงเยว่เดินทางมายังเขานี้ค่อนข้างบ่อย อย่างน้อยก็เดือนละสองถึงสามครั้ง ลงพื้นที่เข้าป่ามาสำรวจหรือก็ไม่ใช่น้อย แม้เขาเสวี่ยแห่งนี้จะกว้างขวางสูงชันลึกลับมากเพียงใดแต่สถานที่งดงามเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเล็ดรอดจากสายตาของชาวบ้านได้…
ราวกับว่าถูกบังตาเอาไว้..
เสวี่ยหงเยว่มองไปรอบๆ เขารู้สึกประทับใจมากเสียจนเกือบลืมความเจ็บปวดที่แขนขวา ด้านข้างเขามีเหอไป๋เทียนที่ประครองเขาเดิน สายตาของเด็กชายนั้นเปล่งประกายสดใสคล้ายกับมีความคิดบางอย่างในหัว ทว่าคนมองกลับไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่น้อย
“มาถึงแล้วหรือเจ้าคะ นายท่านเสวี่ย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเสียงนี้คือผู้ช่วยชีวิต หยุดการต่อสู้ระหว่างเขากับหมาป่าเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที เสวี่ยหงเยว่รีบหันซ้ายหันขวา มองหาต้นเสียงนั้นทว่ากลับไม่เห็นซึ่งสิ่งใดที่จะอยู่ในที่แห่งนี้ได้เลย สิ่งมีชีวิตนอกจากพวกเขาหรือก็ไม่เห็นเลยสักอย่าง
จนกระทั่งเสี่ยวจูเริ่มส่งเสียงร้อง 'อู๊ดๆ’ ออกมา
มันเรียกพรรคพวกสรรพสัตว์ทั้งหลายที่กำลังแอบหลบอยู่ตามพุ่มไม้ หลังต้นไม้ และตามจุดต่างๆ ไม่นานนักเสวี่ยหงเยว่ก็ได้เห็นสัตว์น้อยใหญ่หลากหลายชนิดค่อยๆ ทยอยเดินออกมาจากที่ซ่อน ไม่ว่าจะสัตว์ป่าปกติเช่นกระต่าย กวาง
หรือสัตว์ป่าที่...ไม่ปกติ…
เมื่อคนทั้งคู่เดินตามไปยังทิศหนึ่งซึ่งสัตว์ป่าเหล่านั้นพร้อมใจกันตรงไป มันคือถ้ำที่อยู่ด้านหลังของน้ำตก พวกเขารับรู้ถึงกระแสพลังบางอย่างที่สะอาดมากเสียจนพลังมืดในร่างกายของเสวี่ยหงเยว่เริ่มปั่นป่วน มันไม่ใช่ปั่นป่วนในทางที่แย่ แต่กลับเป็นความรู้สึกแปลกๆ ราวกับ..นี่คือความโหยหาถึงความสงบ
อย่างที่ทราบกันดีว่าการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดบนโลกนี้เป็นเรื่องปกติ สัตว์ร้ายตัวยักษ์ ปิศาจอันน่าเกลียดน่ากลัว ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่สามารถพบเจอได้ไม่แตกต่างจากการเดินเข้าป่าไปชี้นกชี้ไม้
แต่ก็ใช่ว่าจะพบเจอได้ง่ายดายไปเสียทุกชนิด
เบื้องหน้าของคนทั้งสองตอนนี้คือร่างของสิ่งมีชีวิตสีขาวราวกับหิมะ ขนของมันยาวดูนิ่มนุ่มปกคลุมร่างการอันอรชรสวย ดวงตาเรียวมีสีเขียวสว่างสุกใสราวกับเม็ดอัญมณีเนื้องาม ท่าทางของมันแม้ยามนอนหมอบก็ยังคงดูสง่างามสุภาพ หางทั้งเก้าราบแผ่ไปกับพื้น
สิ่งที่ปรากฏแก่สายของเสวี่ยของเยว่นั้นเป็นภาพของสิ่งมีชีวิตที่หาได้ยากอันดับต้นๆ ของโลกนี้
จิ้งจอกเก้าหางสีหิมะ
รอบกายของเธอมีเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่เฝ้า ซึ่งท่าทางเช่นนั้นเสวี่ยหงเยว่รู้จักคุ้นเคยดี ทีท่าที่ราวกับได้รับการเคารพไว้อย่างสูงสุดไม่ได้แตกต่างจากเวลาเขาอยู่บ้านเสวี่ย อยู่ในสถานะประมุขของสกุล
เธอคนนี้คงเป็นผู้ปกครองของเหล่าสัตว์ในที่แห่งนี้
‘ข้าต้องขออภัยที่เด็กคนนั้นเสียมารยาท เขาไม่รู้ว่านี่คือนายท่านผู้เป็นเจ้าของเขาแห่งนี้เจ้าค่ะ’
เสียงนั้นของจิ้งจอกหิมะดังเข้ามาในหัวของเขา เด็กคนนั้นที่นางว่า คงหมายถึงเจ้าหมาป่ายักษ์ที่กำลังทำหน้าหงอยจ๋อยเหี่ยวสุดๆ ข้างตัวเขานั่นเอง
แต่ประโยคหลังนั้น ก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ชะงักไปพลันและรีบหันมองเหอไป๋เทียนที่ตอนนี้ทำหน้าสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ หงเกอก็หันมาหา
“นายท่านอย่ากังวลใจ ผู้ที่ได้ยินเสียงของข้าในตอนนี้มีเพียงท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ”
พอได้คำตอบก็ทำให้เสวี่ยงหงเยว่โล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย นายท่านผู้ปกครองเขานี้ จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากประมุขเสวี่ย
อุตส่าห์รอดจากการต้องใช้พลังต่อหน้ามาแล้วแท้ๆ หากได้ยินคำเมื่อครู่อีกเหอไป๋เทียนคงจะรู้ทันทีว่าเขาคือใคร
“น้อง...วิ่งตามเสี่ยวจู จนมาเจอสถานที่แห่งนี้น่ะขอรับ” เหอไป๋เทียนที่นึกว่าตนถูกสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ก็พามาที่แห่งนี้จึงได้ตอบขึ้น เขามองไปทางนางจิ้งจอกคล้ายจะขออะไรบางอย่างซึ่งนางก็พยักหน้าอนุญาต เด็กชายจึงจูงมือของเสวี่ยหงเยว่ไปนั่งที่โขดหินวักน้ำใสๆ จากน้ำตกขึ้นมาล้างแผลให้ โดยมีสายตาของเหล่าสัตว์นั้นจ้องมองอยู่อย่างสนอกสนใจ
“น้องเลยขอความช่วยเหลือจากเธอคนนั้น ท่านพ่อเคยบอกน้องว่าสัตว์หลายหางนั้นเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญพียร เลยคิดว่านางคงพอช่วยเหลืออะไรหงเกอได้น่ะขอรับ” ถึงแม้ไม่ถาม แต่เหอไป๋เทียนก็ตอบทุกอย่างโดยไม่ปิดบังอะไร สมกับที่เป็นผ้าขาวใสซื่อเสียเหลือเกิน
เขามองบาดแผลถูกน้ำชะล้างเลือดไปช้าๆ คราบสกปรกทั้งหลายเริ่มจางลงไป เสวี่ยหงเยว่รู้สึกได้ว่าเจ้าหมาป่ายักษ์นั้นเดินเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงข้างๆ เขา
เล่นเอาเสวี่ยหงเยว่ถึงกับแอบตกใจ แม้รู้ว่าเจ้าหมาป่านี้ไม่ได้หมายมุงจะทำร้ายเขาแล้วแต่...
ภาพความดุร้ายบ้าคลั่งขย้ำแขนคนจนจมเขี้ยวยังติดตาอยู่เลย...
หมาป่าส่งเสียงหงิงๆ มันคาบใบไม้บางอย่างจำนวนมากมาวางไว้ที่ตักเสวี่ยหงเยว่ ใบไม้นั้นมีลักษณะรูปทรงคล้ายดอกไป๋ซันเย่ (โคลเวอร์) สี่แฉกทว่าขนาดใหญ่กว่าและสีแดงเข้มทั้งใบไปจนถึงก้าน
“ใบหนามแดง?” เป็นเหอไป๋เทียนที่เอ่ยออกมา เพราะเสวี่ยหงเยว่มัวแต่จ้องใบนั้นตาค้างไปแล้วคือเขาก็รู้สึกแหละว่าหน้าตามันคุ้นมากแต่ชื่อมันติดอยู่ในปากนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก อะไรหนามๆ สักอย่าง นี่แหละ
“เป็นสมุนไพร เอาไว้ใช้ห้ามเลือดน่ะขอรับ” เด็กชายตอบ ก่อนจะหันไปหาหมาป่าข้างตัว บอกคำขอบคุณที่อุตส่าห์ไปหาสมุนไพรมาให้และลูบขนมันอย่างแผ่วเบา
น้องครับ...น้องไม่กลัวกลิ่นสาบหมาจะติดมือหน่อยเหรอ
"เอาล่ะ ล้างมือๆ แล้วมาทำแผลกันนะขอรับ!"
เสวี่ยหงเยว่ได้แต่ถอนหายใจ มองใบหนามแดงที่อยู่ในมือเหอไป๋เทียน มันเป็นใบจากต้นไม้หายากที่มีหนามสีแดงขึ้นทั้งต้นเป็นที่มาของชื่อ 'หนามแดง'
มนุษย์นั้นจะมีคนที่สามารถจดจำและแยกชนิดใบไม้ใบหญ้าในป่าออกได้ทันทีกับคนที่หาความต่างของแต่ละใบไม่ได้เลย ซึ่งเสวี่ยหงเยว่นั้นเป็นมนุษย์จำพวกหลัง ยิ่งสมุนไพรหรือยิ่งไม่เข้าหัว แค่แยกว่าอะไรกินได้ กินไม่ได้ในป่าก็ถือว่าเก่งแล้ว
ก็บอกแล้ว เรื่องเกี่ยวกับการแพทย์เอย สมุนไพรศาสตร์เอย พวกนี้ มันไม่เหมาะเขาหรอก
“นายท่านได้โปรดรับคำขอโทษจากเด็กคนนั้นด้วยเกิดนะเจ้าคะ”
เสียงของนางจิ้งจอกส่งตรงมายังหัวของเขา เสวี่ยหงเยว่จึงได้แต่ส่ายหน้า แล้วตั้งสมาธิกำหนดกระแสจิตส่งข้อความโต้ตอบกลับไปหาเช่นกัน
“ข้าไม่ได้ถือโทษอะไรหรอก ข้ารู้ดีกว่าเขาทำไปเพราะนึกว่าพวกเรารุกรานสถานที่แห่งนี้”
สถานที่ซึ่งมีน้ำตกสวย อุดมสมบูรณ์พร้อมจนสมุนไพรหายากงอกงามมีใช้เหลือเฟือซ้ำยังมีจิ้งจอกหิมะเก้าหางที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์มีพลังกล้าแกร่ง
คงเป็นสถานที่ปิดผนึกไม่ให้ใครเข้ามา ไม่แปลกนักหากจะมีสัตว์ร้ายเป็นยามคอยเฝ้าระวังภัย
แต่ถ้าอย่างนั้น…
“เพราะช่วงนี้กำลังของข้าอ่อนแอลงเจ้าค่ะ ไม่อาจสร้างม่านหมอกพรางตาคนนอกได้และเพื่อป้องกันสถานที่แห่งนี้ ผู้เฝ้ายามจึงได้พลั้งมือสังหารคนของท่านไป...ข้าต้องขออภัยอย่างสุดหาสิ่งใดเปรียบ”
เสียงของนางสลดลง แม้จะเป็นเสียงที่ดังในหัว แต่เขาก็รับรู้ได้ ว่านั่นคือความรู้สึกผิดจากใจจริงของนาง
เสวี่ยหงเยว่รับรู้ พร้อมกับครุ่นคิดอะไรหลายๆ เรื่องในหัวของตัวเอง
ตามปกติแล้วคนในหมู่บ้านไม่น่าจะเข้ามาหาของในป่าลึกขนาดนี้ ที่ตรงนี้มันพ้นเขตของการทำมาหากินหรือจุดอุดมสมบูรณ์ในการหาของป่าแล้วด้วยซ้ำ
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเจ้าอ่อนแอลงงั้นหรือ…?”
“โอ้ย!” การติดต่อภายในเป็นอันต้องหยุดชะงักลง เมื่อเสวี่ยหงเยว่รู้สึกถึงความแสบและปวดหนึบที่ปากบาดแผล คล้ายกับมีมดทั้งรังโดดเข้ามาเกาะและกัดจนคันยิบๆ
“น้องทำให้พี่เจ็บหรือ?” เหอไป๋เทียนเอ่ยถาม น้ำเสียงดูชะงักตกใจ เขานั้นบดใบดอกหนามแดงด้วยมือและเอามากดลงบนแผลของเสวี่ยหงเยว่ เด็กชายเงยมองคนตรงหน้ายิ้มแห้งๆ ให้ “หงเกออดทนหน่อยนะขอรับ เจ็บนิดหน่อย แต่มันจะช่วยห้ามเลือดและทำให้บาดแผลสะอาดขึ้นได้นะ”
คุณสมบัติของใบหนามแดงนั้น ถ้าให้อธิบายด้วยภาษาบ้านๆ ให้คนสมัยใหม่เข้าใจได้คือยาฆ่าเชื้อโรคที่บาดแผล
แต่ถ้าให้เข้าใจง่ายกว่านั้นหน่อยก็
...เบตาดีน…
เอาเถอะ จะเป็นอะไรก็ช่างที่สำคัญสำหรับเขาตอนนี้ก็คือการมีเด็กน้อยน่ารักมาเป็นพยาบาลทำแผลให้เขาอยู่ต่างหาก!
ถึงโดนน้องแทงตอนนี้ พี่ก็ยอมแล้วครับ ตายตาหลับแล้ว!
ได้ยินเสียงหัวเราะของนางจิ้งจอกหิมะเลยทำให้เสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียนหันไปมองพร้อมกัน เขาเห็นเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่กำลังมองมา บางตัวที่ใจกล้าก็เริ่มเดินออกมามาหาพวกเขา พวกมันจะเริ่มไว้วางใจและหายตื่นกลัวกับการที่อยู่ๆ เจ้าของภูเขาเสวี่ยก็ปรากฏกายในที่แห่งนี้แล้ว
สัตว์ในโลกนี้ไม่ได้โง่หรือไม่รู้ความ พวกมันนั้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากพอควร อย่างน้อยที่สุดก็รู้จักการให้ความเคารพกับเสวี่ยหงเยว่ซึ่งเป็นเจ้าของภูเขาที่พวกมันอาศัยอยู่
มันรู้จักถึงวัฏจักรที่ต้องเกิด แก่และโดนล่า พวกมันยอมรับกับสิ่งเล่านั้น จิตสำนึกต่อส่วนรวมดีกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก
เมื่อทำแผลเสร็จสิ้น เสวี่ยหงเยว่ก็ลูบผมเหอไป๋เทียนเบาๆ แทนคำขอบคุณซึ่งเด็กชายก็ยิ้มรับด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด
บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้นมาแม้อะไรหลายๆ อย่างจะยังคลี่คลายไม่หมดก็ตาม
เสวี่ยหงเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เดินไปกลับเข้าไปในถ้ำหลังน้ำตกอันเป็นสถานที่ซึ่งนางจิ้งจอกนั้นนอนพักอยู่ นับตั้งแต่มาถึงจนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่เห็นว่านางขยับกายเลยแม้แต่น้อย
“นายท่านสังเกตุแล้วหรือเจ้าคะ?”
ราวกับนางนั้นรู้ถึงความคิดของเขา เสวี่ยหงเยว่ชะงักไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้า การที่ไม่ขยับลุกไปไหนประกอบกับเมื่อครู่ที่นางบอกว่าพลังของนางอ่อนแอ หากไม่ใช่เพราะสภาพร่างกายบาดเจ็บก็ต้องไม่พร้อมด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง
“นายท่านลองเดินมาใกล้ๆ ตัวข้าสิเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวี่ยหงเยว่จึงเดินเข้าไป ในทีแรกมีสัตว์บางตัวทำทีท่าขู่ กันไม่ให้เข้าหา ทว่าเมื่อเห็นถึงรอยยิ้มบางๆ จากชายหนุ่มพวกมันจึงล่าถอยและยอมให้เสวี่ยหงเยว่เดินเข้าไปหาโดยดี
มือของเขาสัมผัสกับนางจิ้งจอกนั้นอย่างแผ่วเบา แรกเริ่มนั้นมันคือความรู้สึกนุ่มนวลอันแสนจะอบอุ่นจากเส้นขนสีขาวเนื้อสวยเรียงตัวอย่างละเอียดพาให้เคลิ้มในใจไปชั่วครู่ หากแต่เมื่อลูบไล้ไปได้สักพักก็ทำให้รู้สึกเอะใจบางอย่าง
ตรงส่วนท้องที่นูนขึ้นมาอบอุ่นเสียจนแทบร้อน อีกทั้งบางจังหวะที่ลูบเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสดุนโดนกับฝ่ามือจากด้านใน...
เขาสัมผัสได้ถึงการมีชีวิตจากบางอย่างที่กำลังเติบโตอยู่ข้างในนั้น
“เจ้ากำลังตั้งครรภ์!?” เขาหลุดพูดออกมา ซึ่งทำให้เหอไป๋เทียนได้ยินพอดี เด็กชายจึงลองเสี่ยงเดินเข้าไปใกล้และเอามือสัมผัสที่ท้องของนางจิ้งจอกเบาๆ
“แบบนี้คงแย่…” เด็กชายเอ่ยพึมพำ มือน้อยลูบไล้ไปตามแนวเส้นขนอย่างอ่อนโยน เป็นห่วงนางจิ้งจอกด้วยใจจริงและเมื่อเขาเห็นถึงสายตาสงสัยของเสวี่ยหงเยว่ เหอไป๋เทียนเลยเริ่มอธิบาย “สัตว์หลายหางนั้นตั้งครรภ์ยากขอรับ แต่ที่ยากกว่าการตั้งครรภ์ ก็คือการคลอด”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นอย่างที่นายท่านเหอกล่าวทุกประการ”
นางจิ้งจอกเอ่ยเสียงเศร้า ในคราวนี้นางให้ทั้งเสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียนได้ยินเสียงของนาง
สัตว์หลายหางนั้น เป็นสัตว์ที่บำเพ็ญตนนับร้อยนับพันปีจนได้รับทักษะความรู้ความสามารถในพลังเทียบเท่ากับมนุษย์ (เสวี่ยหงเยว่คิดว่าบางตัวเช่นนางจิ้งจอกตนนี้พลังสะอาดกว่ามนุษย์เสียอีก) พวกมันมีพลังมากมายถึงขั้นที่ว่าสัตว์บางตนแปลงกายเป็นมนุษย์และใช้ชีวิตปะปนไปกับสังคม
และเพราะเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญเพียร ย่อมมีความแตกต่างจากสัตว์โลกทั่วไป การมีทายาทเป็นเรื่องยาก เพื่อเลี้ยงดูเด็กที่กำลังจะเกิดนั้นจำเป็นจะต้องให้เด็กกลืนกินพลังทิพย์เป็นสารอาหารตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หากพลังในตัวมารดาไม่เพียงพอแก่การเลี้ยงดู ทารกจะเสียชีวิต
การตั้งท้องว่าลำบากแล้ว การคลอดทารกซึ่งมีพลังทิพย์ในกายเองก็ยากไม่แพ้กัน ร่างกายของมารดาอ่อนแรงลงมาก หากคลอดก็จะเสี่ยงถึงชีวิต สัตว์มากหางเพศเมียจึงไม่นิยมที่จะตั้งครรภ์
ไม่แปลกใจแล้วที่นางจิ้งจอกหิมะผู้นี้จะพลังอ่อนแรงลงเพราะถูกลูกในท้องดูดพลังทิพย์เป็นอาหาร ซ้ำยังอยู่ในช่วงใกล้คลอด
“แม้จะช้าไปเสียหน่อย นามของข้าคือ เหมยฉี เป็นผู้เฝ้าน้ำตกแห่งนี้ซึ่งเป็นแดนลับแลบนเขาเสวี่ยเจ้าค่ะ”
และแล้วเสวี่ยหงเยว่เข้าใจทันทีว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวเมืองพวกนั้นพยายามดั้นด้นเข้ามายังที่แห่งนี้ ดื้อดึงจนถูกสัตว์ยักษ์ทำร้าย ไม่ใช่เพื่อตามหาของป่า ไม่ใช่เพื่อทำมาค้าขายอันเป็นอาชีพสุจริต แต่พวกเขานั้นกำลังตามหาดินแดนลับแลบนเขานี้ต่างหากล่ะ!
สมัยเด็กเขาเคยได้ยินบิดาเล่าถึงตำนานแห่งเขาเสวี่ยเป็นนิทานก่อนนอนมาหลายครั้งแล้ว
อดีตประมุขเสวี่ยนั้นเคยเล่าว่าภูเขายิ่งใหญ่สูงเทียมฟ้าเสียดเมฆกินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้ซ่อนเร้นแดนลับแลเอาไว้ ณ. ยังดินแดนแห่งนั้น มีปราณทิพย์อันแสนบริสุทธิ์อบอวล มีพืชพันธุ์แปลกตาและสัตว์หายากมากมาย อีกทั้งยังมีสมบัติเก่าแก่จากบรรพกาลเก็บซ่อน
เขามั่นใจว่าคนเหล่านั้นคงหมายปองซึ่งสมบัติในตำนานนั้น
อา...เจ้าพวกนั้นมันนักขุดสมบัติชาตินี่หว่า! ผิดกฏหมายนะ!
โอย...ใจคนหนอยากแท้จะหยั่งถึง ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก กลับไปหมู่บ้านจะจัดการแก้ไขปัญหานี้ยังไงดีละเนี่ย ละเหี่ยใจ...เอ้ย! ไม่สิ! ก่อนที่จะคิดถึงปัญหาอื่นน่ะ ควรจะคิดถึงปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ก่อนมากกว่า!
“การที่เจ้ายอมให้พวกข้าเข้ามายังที่แห่งนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะข้าบาดเจ็บใช่หรือไม่”
และไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้ปกครองเขาเสวี่ยแห่งนี้ด้วย
ถ้าไม่อย่างนั้น ประมุขเสวี่ยคนอื่นคงหาสถานที่แห่งนี้พบไปเป็นร้อยเป็นพันปีก่อนหน้าเขาเกิดมาแล้ว
“ใช่เจ้าค่ะ”
และนางก็ตอบออกมา น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นดูแผ่วเบาอย่างคนรู้สึกเกรงใจ แต่เธอนั้นไม่มีทางเลือก โอกาสมาถึงที่หน้าประตูบ้านนางไม่อาจจะปล่อยให้มันหลุดลอยได้ ร่างกายของนางอ่อนแอมากจากการใกล้คลอด หากไม่รีบแล้วล่ะก็ ทั้งนาง ทั้งลูกของนาง จะต้องแย่
“งั้นก็ว่ามาเถิด...เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในประชากรบนเขาแห่งนี้ ข้าเชื่อว่าคนแห่งเสวี่ยย่อมเมตตาเจ้า” เมื่อมีเหอไป๋เทียนอยู่ข้างกาย เขาจึงเป็นเป็นต้องกล่าวอ้อมโลกแบบนี้ เลี่ยงบาลีเพื่อให้จับได้ว่าตัวเองคือเสวี่ยหงเยว่
เอาเป็นว่าพอเหมยฉีบอกว่าตัวเองคอยเฝ้าสถานที่ให้แบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดเป็นบ้า ในสถานะที่ตอนนี้ตัวเองครองตำแหน่งเจ้าของเขานี้ เข้าใจไหม มันแบบแบบ อา...นี่มันพนักงานในบริษัทมาทำงานตอนท้องแก่ใกล้คลอดแล้วมาขอความช่วยเหลืออะไรแบบนั้นเลย!
“ที่แห่งนี้มีสมบัติอยู่จริงเจ้าค่ะแต่ทว่าไม่ใช่เงินตราทรัพย์สินดังที่มนุษย์เชื่อกัน”
นางกล่าว แล้วหันไปมองที่น้ำตกซึ่งมีประกายสะท้อนสั่นไหวเบาๆ จากแสงสว่างตกกระทบบนผิวน้ำ มันดูสวยงามจนไม่อาจละสายตา
“มีบางสิ่งอยู่ที่น้ำตกนี้หรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อจับสังเกตุสายตาของนางจิ้งจอกหิมะได้ เขาปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดและสรุปขึ้นมา
“แล้วมันสำคัญต่อการคลอดของท่านเหมยฉี ใช่ไหมขอรับ?”
เหมยฉีพยักหน้า ทีท่านางยังคงอ่อนน้อมสุภาพแม้จะรู้สึกประทับใจในการต่อเรื่องราวของเหอไป๋เทียนอยู่ไม่น้อยก็ตาม
“เจ้าค่ะ”