ตอนที่แล้วตอนที่ 6 และแล้วก็ได้พบกัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 8 พอรู้สึกตัวอีกที

ตอนที่ 7 ว่าแล้วเชียว


ตอนที่ 7 ว่าแล้วเชียว

 

“เจ้าควรระวังมากกว่านี้” เสวี่ยหงเยว่หรี่ตาลง เจือความห้วนหุ้นในน้ำเสียงอยู่ไม่น้อยถึงแม้จะไม่ได้โกรธอะไรอยู่ก็ตาม

ซึ่งการกระทำเหล่านี้ส่งผลให้เจ้าตัวเล็กตัวสั่นเทา หน้าสลดจนถึงขั้นซึมอย่างเห็นได้ชัด กอปรกับใบหน้าเรียบเฉยชินชากับการไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของเสวี่ยหงเยว่ด้วยแล้ว การโดนกดเสียงต่ำใส่ก็ดูราวกับว่ามีความมืดมิดอนธการเป็นฉากอยู่เบื้องหลังให้เด็กมันกลัวเล่นอยู่ไม่น้อย

ต่อให้เด็กคนนี้จะมีหน้าตาสุดน่ารักเป็นอาวุธโดนใจคนรักเด็กแค่ไหน เขาก็ต้องข่มใจลดละรสนิยมส่วนตนเก็กหน้าขึงขัง สั่งสอนเจ้าเด็กซุกซนไม่สนสี่สนแปดนี่เสียหน่อย

ถ้าเด็กทำเรื่องไม่ดีแล้วไม่สอน เขาก็เป็นแค่ไอ้บ้าหลงเด็กที่ไม่รู้จักโตเหมือนกัน

ในเมื่อสภาวะตอนนี้นั้น จัดได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ

มือหนึ่งโอบเอวเด็กชายเอาไว้ส่วนมืออีกข้างก็จับกิ่งไม้ที่ดูจะไม่แข็งแรงเท่าไร ขาเองก็ต้องยันพื้นในท่าทางที่พอเหมาะจะประครองร่างกายส่วนล่างไม่ให้ตัวเองโดนน้ำหนักจากการอุ้มเด็กหนึ่งคน (บวกกับหมูอีกหนึ่งตัว) ถ่วงให้ไถลร่วงลงไปตามทางลาดของภูเขา

ซึ่ง…

มองลงไปแล้ว ก็สูงน้องๆ ตึกสองชั้น ร่วงลงไปนี่มีสิทธิ์ขาหักได้เลยละครับคุณผู้ชม!

“ข้าอุตส่าห์บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่างวิ่ง”

หากจะให้ย้อนความว่าทำไม ถึงได้มาอยู่ในสภาพหวาดเสียวแบบนี้ได้น่ะหรือ…

หลังจากที่ไล่ตามเสี่ยวจูที่สับขาหน้าวิ่งเข้าป่ามา ก็สร้างความวุ่นวายของการวิ่งไล่จับในป่า ระหว่างเด็กชายที่วิ่งตามหมูและเขาที่วิ่งไล่ตามเด็กชาย ลัดเลาะไปตามแนวไม้แนวหญ้า ละเลงดิน ละเลงโคลน ชนิดที่ถ้านี่เป็นนิยายบรรยายในมุมมองพระเจ้าคงเป็นภาพตลกชวนกระอักกระอ่วนใจอย่างแปลกประหลาด

จริงๆ แล้วเขาจะปล่อยให้เด็กคนนั้นวิ่งไปทางไหนหรือเจออะไร เขาไม่มีสิทธิ์ห้ามอยู่แล้ว คนที่เพิ่งเห็นหน้ากันไม่กี่นาทีเช่นนี้จะเรียกว่าคนรู้จักยังเรียกได้ไม่เต็มปากเลยด้วยซ้ำ

แต่ด้วยหลักธรรมคนรักสัตว์โลกและเด็ก (?) ของเขาแล้ว บอกเลยว่าคงปล่อยไม่ได้

ทว่าตอนที่จับหมูป่าได้นั้นก็ดันไปหยุดยืนอยู่ในจุดอันตราย เด็กคนนั้นเกือบลื่นไหลตกจากทางลาดเขาซึ่งมีความสูงพอควร หากเสวี่ยหงเยว่คว้าเอาไว้ได้ไม่ทัน มีหวังได้ร่วงลงไปหัวแตก แขนหัก แพทย์แผนโบราณไม่รับประกันความปลอดภัยเป็นแน่

เสวี่ยหงเยว่กรอกตา ชนิดที่ถ้าโลกในมีนี้ตัว 'ฐ สันฐาน' ในสารบบ คงจะเห็นได้ว่าเขาพยายามกรอกตาเป็นรูปแบบนั้นอยู่

“เอาล่ะ เจ้าจับข้าเอาไว้แน่นๆ” เขาเอ่ยบอกเพื่อให้เด็กชายจับตัวเอาไว้ เขาจะได้ใช้วิชาตัวเบาอุ้มกลับขึ้นไปยังที่ปลอดภัย

แต่โชคชะตามีหรือจะใจดีกับเสวี่ยหงเยว่ เขายังพูดไม่ทันขาดขำ กิ่งไม้อันแสนบอบบางก็รับภาระเป็นที่พึ่งของสองคนหนึ่งหมูไม่ไหวอีกต่อไป มันส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะถี่ๆ

และทันเท่าใจนึกกิ่งไม้ก็หักป๊อกอย่างแรงชนิดที่หลุดออกมาทั้งก้าน!

เสวี่ยหงเยว่ไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ หัวสมองว่างเปล่าคิดไม่ออก ลืมกระทั่งว่าตัวเองก็เป็นผู้มีวิชา ส่งผลให้ทั้งหมดตกลงไปสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

เชี่ย เชี่ย เชี่ย!! เชี่ยสามครั้งที่ไม่ใช่คำว่าเชี่ยเชี่ยที่แปลว่าขอบคุณ

แต่มันไม่ใช่เวลามาเล่นมุก!!

เขากอดร่างของเด็กชายเอาไว้แนบกาย เอาตัวต่างโล่กำบังกิ่งไม้ ก้อนหิน และเศษซากต่างๆ ที่พร้อมใจพุ่งกันเข้ามากระทบสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกาย อันที่จริงคือของพวกนั้นมันอยู่เฉยๆ พวกเขาต่างหากล่ะที่ร่วงไปหามันเอง สถานการณ์แบบนี้พาให้เสวี่ยหงเยว่คิดถึงนาทีระทึกที่ตนเคยขับรถตกเขาตายสมัยก่อน

แต่ไม่ต้องมารีรันฉากให้ ไม่ได้คิดถึงเลยสักนิด ขอบคุณ!

ไม่รู้ว่าระยะเวลาในการร่วงมันนานสักเท่าไร หรือเขาไถตัวไปชนกับอะไรมาบ้าง จนกระทั่งเสียง ‘แอ้ก’ สุดท้ายนั้นดังขึ้น เสวี่ยหงเยว่ผู้หลังกระแทกนอนแผ่กับพื้นเอาตัวเป็นฟูกรองรับเด็กชายบวกลูกหมูก็ลงมาถึงข้างล่างอย่างปลอดภัย…มั้ง

พอนึกย้อนตอนที่ร่วงอย่างสวยงามกับพื้นว่าตนทำไมใช้วิชาก็สายไปเสียแล้ว เขาเจ็บจนนึกว่าเครื่องในกระฉอกออกปากไปแล้ว

แต่ก็ยังนึกขอบคุณกับการฝึกที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงมากพอที่จะรับผลกระทบพวกนี้

เขาส่งเสียงร้องเบาๆ อย่างคนเจ็บ ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อยเพื่อชะโงกดูคนที่อยู่ในอ้อมกอดเขา เสวี่ยหงเยว่คลี่รอยยิ้มบางพลางคิดว่าถึงจะร่วมลงมาท่าไม่สวย ไม่สง่างามจนหลุดคาร์แรคเตอร์เสวี่ยหงเยว่ไปบ้าง แต่คนที่มาด้วยกันไม่เป็นอะไรแบบนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าที่ยอมเจ็บตัวแล้วละนะ

“เจ็บตรงส่วนใดหรือไม่?”

เด็กยังคงเงียบ...ตัวสั่น ใจเสวี่ยหงเยว่ในทีแรกคิดว่าเด็กคนนี้คงกลัว หากแต่ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่ามีอะไรชื้นๆ มากระทบที่อกเสื้อตัวเอง

ร้องไห้?

“ข้า...ข..ขออภัยที่ล่วงเกินท่านขอรับ” เสียงของเขาสั่น แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเงยหน้ามองอีกฝ่าย สีหน้าสลดหดหู่ รู้สึกผิดสุดอะไรสุดจนคนมองได้แต่ถอนหายใจลูบหัวปลอบเจ้าคนหน้าเสียในอ้อมแขน

“อย่าคิดมาก และคราวหลังอย่าซุกซนไม่สนอันตรายเช่นนี้อีก รู้ใช่ไหม ในป่ามันอันตรายยิ่งนัก ไม่เพียงแค่พื้นที่ไหนจะยังสัตว์ เจ้าไม่ควรผลีผลามใจร้อนหากข้าไม่มาด้วยจะเป็นเช่นไรรู้แก่ใจดีใช่ไหม ถ้าเข้าใจแล้วสัญญากับข้าสิว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก” เสวี่ยหงเยว่ร่ายออกมาเป็นชุด เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหลานซิ่นหลิงเวลาที่ต้องมาปากเปียกปากแฉะคอยสั่งสอนพวกตัวป่วนขึ้นมาเลาๆ

ตัวอย่างพวกตัวป่วนที่ว่าก็...เด็กชายเสวี่ยหงเยว่เป็นต้น

เมื่อสอนเสร็จแล้วก็ค่อยๆ ดันเจ้าตัวเล็กให้ลุกจากตัวเอง แม้จะนึกเสียดายสถานการณ์แบบนี้นานทีจะเกิดสักหนแต่ให้นั่งทับกลางตัวแบบนี้มันก็หนักใช่เล่น

เด็กชายขยับตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ เขากอดเจ้าเสี่ยวจูเอาไว้แนบกายแน่น ดาวตาคู่งามสลดลงไม่เหลือเค้าโครงความร่าเริงพระอาทิตย์สดใสอย่างที่เจอในทีแรก เสวี่ยหงเยว่เลยได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง อีกครั้ง และก็อีกครั้ง...เอาเป็นว่าเขาถอนใจนับครั้งไม่ถ้วนแล้วในเวลานี้

สุดท้ายเพื่อทำลายสถานกาณ์ชวนอึดอัดนี้ เสวี่ยหงเยว่ก็เลือกที่จะใช้ชายแขนเสื้อของตนซับหน้าซับตาที่เลอะเทอะดินปนน้ำตาให้กับเจ้าตัวเล็ก

“ดูซิ...เลอะเทอะไปหมด” บ่นออกมา พอเห็นเจ้าเด็กน้อยร้องไห้แล้วก็พาให้ย้อนความไปสมัยยังเป็นสมจิตร เขาเป็นพี่ชายคนโตที่ต้องดูแลน้องที่อายุห่างกันมากๆ ถึงสองคน

เขานึกออกเดี๋ยวนั้นว่าสาเหตุที่เขาชอบเด็กนั้นมาจากอะไร ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นพี่ชายที่แสนดี หรือว่าน้องของตัวเองน่ารักอะไรหรอก ตรงข้ามเลย... ความน่ารักน่าเอ็นดูของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องหรือว่าเด็กนั้นมันก็มีแค่ในการ์ตูนเท่านั้นแหละ

ถ้าไม่เอาแต่ใจก็งอแง ถ้าไม่งอแงก็หวีดร้อง น้อยนักที่จะทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู

พอรู้สึกตัวอีกที เขาก็โหยหาเด็กดีน่ารัก และเด็กในนิยาย ในอนิเมนี่แหละคือสิ่งที่ตอบโจทย์ของเขาที่สุดแล้ว ให้ตายเถอะ!

ดูเหมือนว่าอาการโกรธเกรี้ยวในใจนี้จะทำให้เสวี่ยหงเยว่เผลอลงแรงในการเช็ดหน้าโดยไม่รู้ตัว ตัวเล็กส่งเสียงอู้อี้ประท้วงการเช็ดอย่างไม่ถนอมหนังหน้า เขาพยายามยื้อมือของเสวี่ยหงเยว่ให้หยุดและรีบผละตัวเองออกมาก่อนที่จะเจ็บไปมากกว่านี้

“พอแล้วขอรับ” เด็กชายเอ่ยเสียงเบาๆ อย่างสุภาพ “ใบหน้าของข้า สะอาดมากพอแล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงท้วงนั้น เสวี่ยหงเยว่จึงได้สติ หยุดคิดถึงเรื่องความดราม่าเด็กไม่น่ารักในชาติที่แล้วของตน

เหมือนจะบอกว่า 'พอเถอะขอบคุณ แค่นี้ก็สะอาดจนลึกไปถึงชั้นรูขุมขนแล้ว' นี่คือสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่คิดจากการเดาอารมณ์ทางสีหน้าของอีกฝ่าย

ดวงตาสีสนิมเพ่งมองร่างของเด็กชายตรงหน้า สำรวจดูว่าไม่เจ็บตรงไหนจริงๆ แล้วก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ถ้าเจ็บหรือเกิดอันตรายก็เท่ากับว่าการเอาเป็นโล่มนุษย์กันไม้กันหินของเขาก็คงไร้ประสิทธิภาพน่าดูชม

“ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ขอรับ” เห็นถึงสายตาดูห่วงใยเช่นนั้นมองมายังตน เด็กชายจึงรีบตอบออกมา แม้จะดูติดขัดไปบ้างก็ตาม เขาปล่อยเจ้าเสี่ยวจูออกจากอ้อมแขนแล้วขยับมือไปด้านหน้าแตะตรงข้อมือข้างขวาของเสวี่ยหงเยว่แล้วบีบเบาๆ จนคนโดนบีบหน้าเบ้เล็กน้อย

“แต่ท่านเจ็บ...ตรงนี้กับข้อเท้าของท่านมันเคล็ดอยู่”

เสวี่ยหงเยว่ชะงักเล็กน้อย เขาแปลกใจ ที่อาการเหล่านั้นกับถูกมองออกโดยง่ายในเมื่อเขาไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดอะไรให้เห็น แม้กระทั่งการร้องโอดโอยก็ไม่ได้ทำสักนิดสู้อุตส่าห์เก็บอาการไม่แสดงออกอะไรเพื่อที่อีกคนจะได้ไม่รู้สึกผิด

ข้อมือข้างขวาของเขานั้นเคล็ดจากการร่วงลงมาอย่างผิดท่า อีกทั้งยังข้อเท้าเองก็เจ็บไม่แพ้กันจากการเอาเท้าข้างที่ถนัดลงพื้นก่อน สิ่งเหล่านั้นเป็นสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของเขา และมันก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรให้เลยนอกจากการเจ็บตัว

แม้การบาดเจ็บตรงข้อมือข้างที่ถนัดและเท้าแพลงเช่นนี้อาจจะดูน่ากลัวสำหรับคนหลงป่าก็ตามแต่ก็ไม่ใช่ปัญหากับเขามากมายนัก

เพราะในโลกในนี้นั้นมีสิ่งที่เรียกว่าการ ‘ใช้พลังฟื้นฟู’ อยู่

เสวี่ยหงเยว่ยิ้มนิ่งๆ ให้กับคนตรงหน้า กำลังหนดจิตให้พลังในกายของตัวเองหมุนเวียนอย่างเป็นระบบระเบียบ เพียงแค่นี้ แค่เขาใช้ความสามารถในการฟื้นฟูอาการเคล็ดก็หายไปได้โดยไวอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไวจนเหนือมนุษย์ ต้องใช้เวลาสักหน่อยให้พลังในตัวเองค่อยๆ ซ่อมแซม บรรเทาอาการปวด

เขาไม่ได้รู้วิชากดจุดหรือศาสตร์การรักษามากมายนัก ถึงอาจารย์หลานจะเคยสอนพื้นฐานมาบ้างแต่มันก็ไม่ต่างจากให้เด็กสายธุรกิจไปเรียนหมอ...ไม่เข้าสมองเลยสักนิด

“เพราะข้าหรือ…?” เด็กชายเอ่ยเสียงเบา ความรู้สึกผิดสลดปรากฏในแววตา มือที่จับข้อมือขอเสวี่ยหงเยว่สั่นอย่างเห็นได้ชัด

เสวี่ยหงเยว่แสดงสีหน้าคล้ายกับต้องการจะพูดปลอบ ทว่าเขากลับต้องชะงักไปเพราะรู้สึกถึงคลื่นพลังบางอย่างที่อบอุ่นแทรกซึมผ่านเข้ามาในร่างกาย

โดยมีจุดก่อกำเนิดจากข้อมือซึ่งถูกเด็กชายสัมผัส

สัมผัสเพียงแค่แผ่วเบาเท่านั้น แต่กลับรู้สึกอบอุ่นมากมายเหลือล้น

กระแสพลังที่ละมุนอ่อนโยนไหลเข้าร่างของเขาอย่างเชื่องช้า มันช่างอบอุ่นนุ่มนวลทว่ามั่นคง เสวี่ยหงเยว่รู้สึกราวกับได้รับแดดอ่อนๆ ยามรุ่งที่แม้จะสว่างไสวแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกแสบระคาย สิ่งเหล่านั้นไหลรินเข้ามาทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ ฟื้นฟูทีละเล็ก กำลังกายเพิ่มพูนทีละน้อย ความเจ็บปวดเริ่มหายไป

มันแตกต่างจากการถ่ายทอดพลังให้ผู้อื่นหรือแม้กระทั่งแย่งชิงพลังงานชีวิตอย่างที่เขาเคยทำ แม้จะใกล้เคียงกันมากแต่ก็ไม่ใช่ ไม่สิ...มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

ปกติแล้วการถ่ายทอดพลังฟื้นฟูที่โลกนี้ทำกันก็แค่เพียงส่งพลังกระตุ้นให้ร่างกายผู้รับเร่งปฏิกริยารักษาซ่อมแซมด้วยตัวเอง

แต่สิ่งที่เด็กคนนี้ทำนั้นราวกับว่าได้ถ่ายทอดบางอย่างที่สะอาดมากๆ เข้ามาอยู่ในร่าง และค่อยๆ กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกับพลังของเขา

ถ่ายทอดพลังของตัวเองและปรับเปลี่ยนให้เป็นพลังของคนอื่นอย่างรวดเร็วราวกับว่านี่คือ...

“ได้โปรดอย่าบอกใครว่าข้าทำเช่นนี้กับท่านได้ไหมขอรับ?” เด็กชายคนนั้นเงียบลง แม้มือจะยังคงเกาะกุมข้อมือของเขาเอาไว้อยู่ก็ตาม

ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ได้แต่เงียบงันอยู่เช่นนั้นไปครู่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว

ด้วยวัยแล้ว คงไม่ใช่ผู้ฝึกฝนพลังจากสำนักใดๆ

ด้วยวัยแล้ว หากจะเด็กตัวเท่านี้จะมีพลังที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ได้

ก็คาดเดาได้ไม่ยากนัก...

พลังที่สว่าง สะอาด พลังที่เข้มแข็งและเจิดจรัส

“หยกหงส์คู่งั้นหรือ?”

เอ่ยเพียงแผ่วเบาแต่ก็ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างชะงักลงไปได้ ช่องว่างของความเงียบเฉียบนั้นครอบคลุมบรรยากาศอย่างเชื่องช้า ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดออกจากปากของเด็กชาย ไร้ซึ่งทีท่าอาการใดๆ ให้เห็น ในเวลานี้เสวี่ยหงเยว่จึงทำได้เพียงแค่มองเสี้ยวใบหน้าที่ก้มหนีเขาไปเท่านั้น

ตราหยกหงส์คู่...สกุลเหอ

อย่างที่ทราบกันดีกฏของโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถร่ำเรียนการใช้พลังจากสำนักโดยไม่ต้องรอบรรลุนิติภาวะได้ ก็มีเพียงแค่คนที่เกิดในสามสกุล...

อีกทั้งเสวี่ยหงเยว่นั้นรู้จักพลังนี้ดี ในอดีตเมื่อตนถึงวัยบรรลุนิติภาวะ ได้ออกไปร่ำเรียนตำรานอกสำนักตนเป็นครั้งแรก เขาได้พบพานผู้เยาว์อันเป็นความหวังใหม่จากสกุลต่างๆ มากหน้าหลายตาและหนึ่งในนั้นก็คือคนผู้เป็นสายเลือดแห่งสกุลใหญ่เช่นเดียวกับเขา

เขาเคยสัมผัสกับกระแสอันเป็นเอกลักษณ์ของพลังนี้จากคนสกุลเหอคนหนึ่ง

มิน่า...ถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มนี้คุ้นตานัก

“ไป๋เทียนขอรับ” เด็กชายเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาที่ราวกับทำให้ความคลางแคลงใจ ความสงสัย ความหนักอึ้งในอกของเสวี่ยหงเยว่ได้ถูกปลดเปลื้องไปด้วยชื่อนั้น ชื่อที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ใช่จากข่าวคราว ไม่ใช่จากปากต่อปากถึงชื่อเสียงเรียงนามของครอบครัวสกุลเหอ

แต่ชื่อนี้ 'เหอไป๋เทียน' คือชื่อที่ระบุบ่อยครั้งในหนังสือคู่มือเล่มนั้น

เป็นชื่อที่จะต้องมีแทบทุกย่อหน้า

เป็นชื่อที่มีตั้งแต่ต้นจนจบและยังเป็นชื่อที่ใช้สำหรับการดำเนินเรื่องราวนี้ทั้งหมด

ชื่อของ พระเอก ของเรื่องนี้

คือชาย ผู้ซึ่งในอนาคตจะสังหารเขา...สังหารเสวี่ยหงเยว่...

เพียงเท่านั้นเสวี่ยหงเยว่ก็ถึงกับหัวเราะออกมา ไม่ใช่ตกใจ ไม่ใช่เสียใจ แต่เขาแค่รู้สึกเหมือนโชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็เรื่องราวนี้คงจะผิดเพี้ยนไปแล้ว เหตุใดเล่าการพบเจอกันระหว่างพระเอกกับตัวร้ายถึงได้ถูกเร่งให้มาไวกว่าที่ควร

ไอ้คุณเสวี่ยหงเยว่เอ๊ย เอ็งควรจะเอะใจได้ตั้งแต่เห็นความหน้าตาดีโดดเด้งกว่าตัวประกอบเอ บี ซี ดี อี ฯลฯ ของเจ้าหนูคนนี้ไหมล่ะ ไอ้การเกิดมาหน้าตาดีคับฟ้าคับดินไม่เกรงใจใครขนาดนี้เนี่ย สำหรับโลกใบนี้ก็บ่งบอกได้แล้วไม่ใช่เหรอว่าอยู่ในบรรดาศักดิ์ตัวเอก!

ที่จริงแล้วฉากแรกของพระเอกกับตัวร้ายตามต้นฉบับคือตอนพิธีบรรลุนิติภาวะของเหอไป๋เทียน เสวี่ยหงเยว่จะต้องไปร่วมงานนั้นและได้ปะทะฝีปากโต้วาทีด้านการเมืองกัน ซึ่งเป็นฉากที่จะทำให้คนอ่านได้รู้ว่าเหอไป๋เทียนนั้นมีความรู้ ความสามารถด้านการเมือง อีกทั้งยังมีทักษะการพูดจูงใจที่ดีเยี่ยม

ไม่ควรเจอกันครั้งแรกเพราะวิ่งตามหมูจนกลิ้งตกเขาสิ

แถมตอนนี้ยังเป็นเด็กน้อยอ๊องๆ เอ๋อ ๆ ขี้แยอยู่เลย ไม่เห็นเหมือนพระเอกสุดหล่อฉลาดเหลือ แมรี่ซูแกรี่สตูขั้นสุดตามที่ระบุในเรื่องย่อเลยแม้แต่น้อย

แบบนี้มันผิดไทม์ไลน์แล้วไม่ใช่เหรอ!?

และเมื่อกระทำผิดต่อเนื้อเรื่องแบบนั้น ก็พาให้คิดถึงช่วงที่เขาพยายามจะช่วยเหลือพ่อแม่ของตนจากศึกสกุลจง บทลงโทษของการทำผิดเนื้อเรื่อง...

อาการทรมานพวกนั้น...

แต่ทว่าตั้งแต่แรกพบจนถึงเวลาปัจจุบันก็ยังไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้น ไม่แน่นหน้าอก ไม่ทรมาน ร่างกายปกติดีทุกอย่าง นั่นจึงเท่ากับว่าการกระทำเช่นนี้ การเร่งฉากพบเจอกันเช่นนี้จะไม่เป็นการทำลายเส้นเรื่องหลักหรือทำผิดสัญญาอย่างนั้นเหรอ…?

หรือเป็นเพราะ เขายังไม่ได้เปิดเผยตัวตนกันนะ…

“ข้าไม่บอกหรอกผู้ใดหรอก” ยิ้มให้บางๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวไปหา อาการเจ็บปวดตัวนั้นหายไปแล้ว เสวี่ยหงเยว่จับแก้มเนียน ประครองใบหน้าเยาว์วัยนั้นอย่างแผ่วเบาแล้วดันให้เงยหน้าขึ้นมองตนอย่างเชื่องช้า

“เงยมองข้าเถิด...เด็กดี”

เด็กชายนั้นมองเขากลับมา ดวงตากลมโตสีทองแม้จะมีความรู้สึกผิดปนกังวลใจเจืออยู่มากมายสักเท่าใดแต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่อาจกลบประกายสว่างราวกับพระอาทิตย์นี้ได้เลย

“หากบอกใครว่าข้าพานายน้อยแห่งสกุลเหอมากลิ้งตกเขา ไม่แคล้วข้าจะโดยโบยหลังเอา”

จริงจังนะนั่น ไม่ใช่มุกด้วย พาลูกชายคนเล็กสุดรักสุดหวงของบ้านเหอมากลิ้งตกเขาเนี่ย ได้ร้อยเอาเหรียญเดียว ชื่อเสียงอันเสียหายของเสวี่ยหงเยว่ต้องขจรไปไกลกว่าเดิมแน่ๆ

“เจ้าคงมิอยากให้ข้าตัวลายดังเสือโคร่งหรอกใช่ไหม?” เลิกคิ้วเล็กน้อย ใส่มุกตลกให้เด็กคลายกังวล ซึ่งก็เป็นดังหวัง เหอไป๋เทียนส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ท่านจะไม่บอกใครและข้าเองก็ไม่อยากเห็นมนุษย์ลายเสือ” เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ปาดน้ำตาที่อาบคลอดวงตากลมโตของตน แล้วมองคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างตรงไปตรงมา

เหอไป๋เทียนยิ้มเล็กน้อย บรรยากาศเริ่มคลี่คลายตัวอย่างเชื่องช้า

“เช่นนั้น ข้าขอเสียมารยาทถามนามของพี่ชายได้ไหมขอรับ?”

เอ่ยถามคำถามที่ทำให้เม็ดเหงื่อเม็ดเป้งไหลออกมาเต็มหน้าผากเสวี่ยหงเยว่ ถึงจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องโดนถามชื่อแน่ๆ แต่เขาควรจะบอกหรือว่าตัวเองคือเสวี่ยหงเยว่

เป็นประมุขแห่งเสวี่ย

เป็นตัวร้ายอันดับหนึ่งของเรื่องที่จะต้องถูกพระเอกอย่างเหอไป๋เทียนสังหาร

เช็ดเป็ด…!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด