ตอนที่แล้วตอนที่ 23 จุมพิตแรกผูกเสน่หา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 25 ท่านอ๋องซีผู้ไร้ยางอาย

ตอนที่ 24 สาบานด้วยใจจริง


ตอนที่ 24 สาบานด้วยใจจริง

เขาต้องใช้ความพยายามมากในการยันกายลุกขึ้นนั่ง นางหยิบหมอนมาให้เขาพิงหลัง จากนั้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วตะโกนเหมือนเด็ก:

“ท่านรู้หรือไม่? แขนของท่านใช้งานได้แล้ว ข้าออกแรงเพียงครึ่งหนึ่งจากปกติเท่านั้นเพคะ”

“จริงหรือ?”

เขามองนางด้วยความประหลาดใจ “ข้าขยับแขนได้แล้วจริงหรือ?”

นางก้าวเข้าไปใช้สองมือจับแขนเขา แล้วพูดเสียงเบา:

“สองมือของท่านก็ขยับได้แล้ว ตอนนี้สองมือของข้าอยู่ในมือท่าน หากท่านกุมมือข้าได้ ข้าจะอยู่กับท่านตลอดไป…”

นางใช้วิธียั่วยุเพื่อกระตุ้นเขา เหลิ่งอวี้กัดฟัน มองมือสวยทั้งสองข้างในมือของเขา

จู่ ๆ นิ้วก้อยมือขวาของเขาก็เริ่มขยับ นางยิ้มด้วยความประหลาดใจ “เห็นหรือไม่เพคะ? นิ้วของท่านสามารถขยับได้แล้ว”

เหลิ่งอวี้ก็มองนางด้วยความประหลาดใจเช่นกัน “ข้าเห็นแล้ว มันน่าจะขยับได้แล้วจริง ๆ”

นางกระตุ้นเขาอีกครั้งด้วยการพูดว่า:

“คราวนี้ข้าจะให้เวลาท่านด้วยการนับหนึ่งถึงสาม หากท่านจับมือข้าไว้แน่น ๆ ได้ ข้าจะอยู่ดูแลท่าน แต่ถ้าทำไม่ได้ ข้าจะเมินท่านเลยเพคะ”

เหลิ่งอวี้ได้ฟังดังนั้นจึงกังวลขึ้นมาทันที ต่อให้ต้องตายตอนนี้เลย เขาก็ไม่กลัว แต่เขากลัวว่าหลานเอ๋อร์จะทิ้งเขาไป

เขาจึงกัดริมฝีปาก หลับตาแน่น พยายามบังคับตัวเองในใจเงียบ ๆ

สายตานางมองเขา ริมฝีปากสีแดงเผยอออกเล็กน้อย ขณะพูดช้า ๆ:

“หนึ่ง…”

นางกลัวว่านิ้วของเขาจะแค่ขยับได้เป็นช่วง ๆ เท่านั้น นางจึงใช้คำพูดดังกล่าว เพื่อกระตุ้นความมุ่งมั่นของเขา

“สอง…”

นางกัดฟันพูดเสียงดัง นิ้วของเหลิ่งอวี้ยังไม่ขยับ เขายังไม่ลืมตา

“สาม…”

ทันทีที่นางพูดคำว่า “สาม” นางก็รู้สึกถึงมือใหญ่คู่หนึ่งที่กุมมืองามของนางไว้ ทันใดนั้น ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างอธิบายไม่ถูกพลันเกิดขึ้นในหัวใจของนาง

จู่ ๆ นางก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจ ชายคนนี้ขยับได้แล้ว มือของชายที่นางดูแลอย่างดีสามารถขยับได้แล้ว

นางดีใจมากจนน้ำตาไหล เหลิ่งอวี้ลืมตาขึ้นมองนาง ก่อนจะปล่อยมือนางข้างหนึ่ง แล้วเช็ดน้ำตาให้นางอย่างแช่มช้า

นางโน้มตัวไปข้างหน้า นางไม่อยากให้เขาเหนื่อยเกินไป แต่ก็อยากให้เขาเช็ดน้ำตาให้ด้วย

“อย่าร้องไห้...”

เขาพูดสองคำนี้ออกมาจากใจ แต่ลั่วหลานกลับหัวเราะออกมา นางจับมือเขาสองข้างขึ้นมาแนบแก้มนวลของนาง แล้วมองเขาด้วยความดีใจ

“เยี่ยมมากเพคะ ความพยายามที่ผ่านมาของข้าไม่สูญเปล่า มือของท่านขยับได้แล้ว ดีมาก…”

เหลิ่งอวี้มองนางด้วยนัยน์ตางามราวกับหยก “หลานเอ๋อร์ ขอบคุณนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคิดว่าข้าคงตายไปด้วยความต่ำต้อยแล้ว เจ้าคือคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้”

ลั่วหลานยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกจากหางตาของเขา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเพคะ ข้าบอกแล้วว่าข้าช่วยชีวิตท่านก็เพื่อช่วยชีวิตตัวเองด้วย ถ้าท่านตาย ข้าต้องถูกฝังไปกับท่านด้วยไม่ใช่หรือ แทนที่จะเป็นวิญญาณคู่รัก ขอเป็นนกเป็ดน้ำคู่รักที่มีชีวิตดีกว่าเพคะ”

คำพูดของนางทำให้เหลิ่งอวี้รู้สึกตื้นตัน เขาลูบแก้มนิ่มของลั่วหลาน แล้วพูดด้วยความพึงพอใจ:

“ดีเหลือเกิน ข้าอยากสัมผัสแก้มของเจ้าในความฝันมาโดยตลอด ตอนนี้ข้าสามารถสัมผัสได้แล้ว ดีมากจริง ๆ หลานเอ๋อร์ ข้าเป็นเหมือนตัวหมากที่ถูกทิ้ง ปล่อยให้คนอื่นเหยียบย่ำทำลาย เจ้าเป็นคนจุดประกายความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ของข้าอีกครั้ง ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี”

เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา ลั่วหลานก็ขยับเข้าไปใกล้ขึ้น จับแก้มของเขาด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วพูดเสียงแผ่วเบา

“เช่นนั้นท่านต้องสัญญากับข้าว่าเมื่อท่านยืนขึ้นได้ในอนาคต ยืนตัวตรงสง่าผ่าเผยสมกับเป็นมนุษย์อีกครา ท่านจะแต่งงานกับข้า แต่งงานกับข้าอย่างสง่างาม ให้คนทั้งโลกรู้ว่าข้า ลั่วหลาน เป็นภรรยาของท่าน เหลิ่งอวี้”

คำพูดของนางทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน เขารีบพยักหน้า

“หลานเอ๋อร์ ข้า เหลิ่งอวี้ สาบานว่าหากวันหนึ่งข้าลุกขึ้นมา ข้าจะแต่งงานกับลั่วหลานแน่นอน และทำให้เจ้าเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก”

เพียงแค่ประโยคนี้ก็เพียงพอสำหรับลั่วหลานแล้ว

ใบหน้ามีเสน่ห์นี้ทำให้ลั่วหลานหลงใหล บางครั้งนางคิดว่าเมื่อเขาสามารถยืนหยัดได้ในอนาคต การพาเขาออกไปข้างนอก จะดึงดูดสายตาอิจฉาของผู้อื่นแน่นอน เพียงแค่คิดถึงภาพเขาใช้ไหล่กว้างโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน ก็คิดว่ามันช่างเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

ตอนนี้ดูเหมือนว่าความปรารถนานี้ อาจใกล้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว

ลั่วหลานปาดน้ำตาออกจากหางตาทันที นั่งตัวตรงแล้วพูดว่า:

“ท่านดูข้าสิ ข้ามัวแต่มีความสุขมากจนอาหารเริ่มเย็นหมดแล้ว”

พูดจบ นางก็คีบซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งลงในชามข้าว จากนั้นคีบขึ้นมาตรงหน้าเหลิ่งอวี้ แล้วพูดกับเขาว่า

“มา อ้าปากสิเพคะ”

เหลิ่งอวี้เม้มปาก แล้วมองนางด้วยรอยยิ้ม “แม่สาวน้อย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าขยับมือได้แล้ว? ข้ากินเองได้”

ลั่วหลานเพิ่งตระหนักได้ ก่อนพูดว่า:

“ข้าดีใจมากจนลืมไปเลย เช่นนั้นก็ดีแล้วเพคะ มื้อนี้ท่านกินเองได้”

หลังจากพูดเช่นนั้น นางจึงส่งชามกับตะเกียบในมือให้เขาอย่างระมัดระวัง

เหลิ่งอวี้มองนาง แล้วถอนหายใจด้วยความเศร้าใจเล็กน้อย

“ตอนเด็กเจ้าไม่เคยได้กินข้าวร้อน ๆ มาเจอข้าแล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวร้อนอีก ตอนนี้ไม่เป็นอันใดแล้ว ข้ากินเองได้แล้ว ต่อไปนี้เราจะกินข้าวด้วยกัน ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าต้องกินข้าวเย็นชืดอีกแล้ว”

ลั่วหลานหยิบข้าวอีกชามขึ้นมา แล้วพยักหน้า “เพคะ ต่อไปนี้เราจะกินข้าวด้วยกัน และข้าจะไม่ต้องป้อนอาหารท่านอีกแล้ว”

หลังจากพูดแล้ว นางจึงคีบซี่โครงหมูอีกชิ้นมาใส่ในชามของเขา “กินเยอะ ๆ เลยเพคะ”

เหลิ่งอวี้คีบซี่โครง แล้วยกแขนขึ้นช้า ๆ “เจ้าก็กินด้วยสิ”

“เช่นนั้นข้าทำเองได้เพคะ”

พูดจบ นางจะหลบซี่โครงหมูที่เขายื่นมาให้นาง แต่เขากระซิบ:

“เจ้าดูแลข้ามาโดยตลอด ข้าอยากจะคีบซี่โครงหมูให้เจ้าหนึ่งชิ้น”

เมื่อได้ฟังดังนั้น และเห็นแววตาคาดหวังในดวงตาของเขา ลั่วหลานก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มแล้วยกชามไปตรงหน้าเขา เขาวางชิ้นซี่โครงหมูลงในชามของนาง แล้วยิ้ม

“กินสิ กินเยอะๆ เจ้าตัวผอม”

ลั่วหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ข้ายังผอมอยู่หรือเพคะ? ท่านไม่ใช่หรือที่ผอม? ท่านผอมจนหนังจะหุ้มกระดูกอยู่แล้วเพคะ”

“ผู้ชายเช่นข้ามีโครงร่างใหญ่ ดังนั้นผอมลงก็ไม่เป็นอันใด แต่เจ้าจะผอมเกินไปไม่ได้”

“เหตุใดจะไม่ได้ล่ะเพคะ ผู้หญิงจะดูดีขึ้นถ้าผอมลง!”

“……”

ทันใดนั้นห้องของทั้งสองก็มีชีวิตชีวา อาโฮ่วกับอาอวี่ยืนอยู่ที่หน้าประตูมองหน้ากันแล้วยิ้ม

ท่านอ๋องกับพระชายาหัวเราะ ราวกับมีลมปลายฤดูใบไม้ร่วงอันอบอุ่นโชยผ่านมา

แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านอ๋อง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่จากคำอธิบายของพระชายา พวกเขาเดาได้ว่าท่านอ๋องต้องเป็นท่านอ๋องที่หล่อเหลา แต่ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสด้วยโรคร้าย

พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอ๋องจะอาการดีขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อให้พระชายาอารมณ์ดี แล้วคนรับใช้อย่างพวกเขาก็จะพลอยมีความสุขไปด้วยเช่นกัน

ขณะที่ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง ลั่วหลานเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าปูที่สะอาดให้เหลิ่งอวี้ ฝากจุมพิตไว้ที่หน้าผากของเขา แล้วพูดเสียงแผ่วเบา:

“รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้เป็นวันที่สำคัญมากสำหรับท่าน และก็เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับข้าด้วย ข้าหวังว่าด้วยความพยายามร่วมกันของเรา เราจะสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมในขาของท่านได้เพคะ”

เหลิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วพยักหน้า “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้อย่าตื่นเช้าเกินไป ช่วงนี้เจ้าคอยดูแลข้าตลอดก็เหนื่อยมากแล้ว”

“ไม่เหนื่อยเพคะ”

นางเม้มริมปากแล้วยิ้ม “ดูแลท่านก็เหมือนเล่นเกมแนวจำลองสถานการณ์ หากดูแลท่านได้ดี ข้าจะมีสามีที่สุขภาพแข็งแรงและหล่อเหลา ถือว่าเป็นพรอันประเสริฐสำหรับข้า แล้วข้าจะเหนื่อยได้อย่างไรเล่าเพคะ?”

.................................................................................