ตอนที่แล้วตอนที่ 19 ไท่จื่อหน้าหมามาแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 21 เผลอจูบไม่ได้ตั้งใจ

ตอนที่ 20 ระบายความโกรธ


ตอนที่ 20 ระบายความโกรธ

ลั่วหลานยิ้มเยาะในใจ ดูเหมือนว่าไท่จื่อจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา อย่างไรเสีย นางกับเหลิ่งอวี้ก็ถูกคนนอกมองไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว หากทำให้ไท่จื่อขุ่นเคืองแล้วจะอย่างไรล่ะ?

นางลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไท่จื่อ มองหน้าเขาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า

“ที่ไท่จื่อตรัสนั้นผิดแล้วเพคะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นท่าน ข้าเพียงแค่เตือนท่านด้วยความหวังดี หากท่านไม่ฟัง ก็คิดเสียว่าสีซอให้ควายฟังก็แล้วกันเพคะ”

ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ อาหงกับอาไฉ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างแทบจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

ไท่จื่อยืนอึ้ง ส่วนชายที่อยู่ข้างเขาเม้มปาก กลั้นหัวเราะไม่อยู่

เมื่อเห็นว่าทุกคนหัวเราะ ไท่จื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นใบหน้าของเขาก็มืดมน แทบจะกระโดดเพราะความโกรธเคือง

เขาชี้ยกนิ้วชี้หน้านาง แล้วตวาดด้วยความโมโห

“เจ้า... เจ้ากล้าด่าข้าหรือ?”

ลั่วหลานมองเขาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ไม่ใช่นะเพคะ! ไท่จื่อเข้าใจผิดแล้ว ท่านจะเปรียบเทียบตัวเองกับสัตว์ชั้นต่ำอย่างควายได้อย่างไรเพคะ? ท่านเป็นผู้สูงศักดิ์ มิอาจหาใครเปรียบได้ พระชายาที่กำลังจะตายเช่นข้า จะบังอาจทำให้ท่านขุ่นเคืองได้อย่างไรเพคะ?”

“เจ้า…”

ไท่จื่อรู้สึกเหมือนกำลังจะโกรธจนเสียสติ แต่ในฐานะไท่จื่อผู้มีสถานะสูงส่ง เขาไม่อาจโกรธสตรีผู้เป็นน้องสะใภ้ของเขาได้

เขาระงับความโกรธ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระกับเจ้า วันนี้ข้ามีเวลาว่าง ข้ากับน้องห้าจึงมาเยี่ยมน้องสี่”

ปรากฏว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ ไท่จื่อคือองค์ชายห้านั่นเอง!

ลั่วหลานย่อมไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าไปเยี่ยม นางรู้ว่าเหลิ่งอวี้ก็ไม่ต้องการพบเขาเช่นกัน

ดังนั้น นางจึงทำเป็นมองหาของในมือของพวกเขา จากนั้นแสร้งพูดหน้าเศร้า

“ในเมื่อพวกท่านมาที่นี่เพื่อเยี่ยมคนไข้ เหตุใดถึงมามือเปล่าล่ะเพคะ? พวกท่านก็ทราบดี ว่าเงินเดือนของตำหนักอ๋องอวี้ถูกตัดไปร้อยละเจ็ดสิบ ตอนนี้สวามีของข้า ท่านอ๋องอวี้ มีชีวิตอยู่ได้เพราะโจ๊กเปล่าเท่านั้น... ฮือฮือฮือ...”

เมื่อมาถึงจุดนี้ นางเริ่มร้องไห้คร่ำครวญแล้วจริง ๆ:

“คนในราชวงศ์ใจร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ทุกคนรู้ดีว่าไม่อาจไปเยี่ยมคนไข้มือเปล่าได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกสวรรค์ลงโทษ ยิ่งกว่านั้นคือคนที่กำลังจะไปเยี่ยมเป็นพี่น้องแท้ ๆ พวกท่านอย่าเข้าไปเยี่ยมเขาจะดีกว่า หากเขารู้ว่าพวกท่านมาเยี่ยม แต่ไม่ได้ตระเตรียมของเยี่ยมมาให้เลย ก็คงจะโกรธแน่นอน และความโกรธนั้นบั่นทอนจิตใจ หากเขาอาการกำเริบจนสิ้นไป แล้วข้าจะทำอย่างไรล่ะเพคะ?”

พูดจบนางก็นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วเริ่มร้องไห้หนักด้วยความเจ็บปวด

พฤติกรรมของนางทำให้ไท่จื่อผู้เย่อหยิ่งสับสนทันทีว่าจะทำอย่างไร พระองค์ไม่กลัวคนหยิ่งผยอง แต่กลัวผู้หญิงที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ หากนางคิดเรื่องนี้จริงจัง แล้วนำไปบอกคนนอก ไท่จื่อเช่นเขาคงทนเสียหน้าไม่ได้

เขาจึงขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า

“ครั้งนี้ข้ารีบมาเกินไป จึงทำผิดพลาดไปบ้างจริง ๆ เนื่องจากพระชายาอวี้รู้สึกว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นพวกข้าจะกลับไปก่อน แล้วค่อยมาใหม่คราวหน้า”

หลังจากทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้ว เขาก็หันหลังสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความโกรธมาก

ลั่วหลานอดไม่ได้ที่จะตะโกนไล่หลังพวกเขา:

“ลาก่อนเพคะไท่จื่อ ข้าไม่มีอันใดจะต้อนรับท่านในตำหนักอ๋องอวี้ จำต้องละเลยไท่จื่อ…”

เมื่อพวกเขาเดินออกไปไกลแล้ว นางก็ตะโกนไล่หลังพวกเขาอย่างเย็นชา “พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อดูว่าเหลิ่งอวี้ตายแล้วหรือยังสินะ! พวกขยะ”

เมื่ออาไฉ่กับอาหงเห็นแขกเดินจากไป จึงเข้ามาใกล้นาง แล้วปิดปากหัวเราะ:

“พระชายา ท่านดุไท่จื่อจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว ใบหน้าของเขาแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วเพคะ”

“ใช่แล้ว! แต่เขาจะไม่สร้างปัญหาให้เราในอนาคตหรือเพคะ!”

ลั่วหลานถอนหายใจด้วยใบหน้าเย็นชา “ในเมื่อความตายยังไม่กลัว เหตุใดต้องกลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาหรือไม่?”

ตอนนั้นเขาทำให้ขาของเหลิ่งอวี้พิการ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการโจมตีเขา ตอนนี้เขายังมีหน้ามาที่นี่ แสร้งทำเป็นแสดงความเมตตา น่าขยะแขยงเกินกว่าจะมอง

ไท่จื่อที่เพิ่งเดินออกจากตำหนักอ๋องอวี้โกรธจัดจนหายใจแรง เขายืนอยู่หน้ารถม้า แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ องค์ชายห้ารีบเข้ามาปลอบเขา

“พี่ใหญ่ อย่าทำถือสาหาความผู้หญิงคนเดียวเลยขอรับ”

ไท่จื่อขมวดคิ้ว แล้วกัดฟันพูดว่า: “สตรีผู้นี้ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ รนหาที่ตาย กล้าพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นได้อย่างไร? นางไม่รู้ว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด ซ้ำยังไม่รู้ว่าตัวนางเองอ่อนแอเพียงใด”

องค์ชายห้าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนก

“พี่ใหญ่ ท่านจะทำอันใดขอรับ? พี่ชายสี่ทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว อย่าทำร้ายเขาอีกเลยขอรับ”

ไท่จื่อเลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแววน่าสะพรึงกลัว

ลั่วหลานกลับมาที่ห้องด้วยรอยยิ้ม นางรู้สึกโล่งใจ เมื่อนึกถึงการปรากฏตัวของไท่จื่อหน้าหมานั่น

แผลบนใบหน้าของเหลิ่งอวี้เกือบจะหายดีแล้ว แต่ยังมีแผลเป็นหลงเหลืออยู่บ้าง ลั่วหลานใช้ครีมลบรอยแผลเป็นสูตรพิเศษที่นางคิดค้นขึ้นเองไปเมื่อสามวันก่อน วันนี้ครบกำหนดใช้ยาแล้ว และนางจะแกะผ้าพันแผลบนใบหน้าของเขาออก

ก่อนอื่นนางช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้นนั่ง แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า

“ท่านรู้หรือไม่? ไท่จื่อหน้าหมานั่นโดนด่าจนวิ่งหนีไปแล้วเพคะ”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ดวงตาของเหลิ่งอวี้ก็ฉายแววเย็นชา แล้วพูดว่า:

“เขาไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่?”

“ไม่เพคะ” ลั่วหลานช่วยปรับหมอนที่รองอยู่ด้านหลังให้เขา แล้วพูดก่อนจะเตรียมแกะผ้าพันแผลออกให้เขา:

“ข้าเห็นใบหน้าชั่วร้ายของเขาแล้วรู้สึกรังเกียจ หากคนเช่นเขาได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต อาณาจักรต้าหนิงจะต้องพินาศไม่ช้าก็เร็ว”

เมื่อมาถึงจุดนี้ นางได้แต่แลบลิ้นออกมา แล้วรีบเปลี่ยนคำพูด “ข้าหมายถึง...”

“ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอก”

เขากระตุกมุมปากอย่างเฉยเมย “สิ่งที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรต้าหนิง ไม่เกี่ยวอันใดกับข้าแล้ว”

ลั่วหลานรู้สึกหดหู่ เขาต้องสิ้นหวังเพียงใดถึงพูดเช่นนี้ออกมาได้

นางค่อย ๆ ช่วยแกะผ้าพันแผลออกให้เขา ขณะพึมพำไปด้วย:

“ท่านไม่ต้องกังวล ต่อจากนี้ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครกล้ามาสร้างปัญหาที่ตำหนักอ๋องอวี้ และจะไม่มีใครกล้ารังแกท่านอีก”

คำพูดของนางทำให้เขาตะลึง นัยน์ตางามข้างหนึ่งที่เหลือมองนาง ให้ผู้หญิงปกป้องหรือ? พูดแล้วก็ค่อนข้างน่าอาย แต่เหตุใดเขาถึงชอบได้ยินประโยคนี้มากล่ะ? นี่แสดงว่านางจะไม่ทิ้งเขาไป ตราบใดที่นางไม่จากไป เขารู้สึกว่าตนมีความหวังทุกวัน

“ท่านไม่เชื่อหรือเพคะ?”

เมื่อเห็นเขาจ้องมองตน นางจึงเม้มปากแล้วพูดต่อว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นสตรี แต่ยามวิกฤติ ก็สามารถค้ำฟ้าได้ครึ่งหนึ่งนะเพคะ”

“เจ้าคือท้องฟ้าทั้งหมดของข้า”

คำพูดที่เขาโพล่งออกมา ทำให้ลั่วหลานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้ม

“ได้เพคะ จากนี้ไปข้าจะเป็นท้องฟ้าของท่าน คอยปกป้องดูแลท่าน จนกว่าร่างกายของท่านจะฟื้นตัว เป็นท้องฟ้าเหนือศีรษะที่ไม่มีวันพังทลายลงมา ท่านว่าอย่างไรเพคะ?”

แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะฟังดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่เหลิ่งอวี้กลับรู้สึกหวานชื่นในใจ

เมื่อเหลือผ้าพันแผลชั้นสุดท้าย จู่ ๆ ลั่วหลานก็หยุดมือทันที เหลิ่งอวี้ถามเสียงเบาด้วยความกังวล:

“มัน… มันจะไม่น่าเกลียดมากใช่หรือไม่?”

ลั่วหลานหลับตาลง แสร้งพนมมืออธิษฐานอย่างซุกซน

“ข้าแต่สวรรค์ โปรดให้ข้าได้เห็นใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ อย่ามีใบหน้าน่ารังเกียจเหมือนไท่จื่อหน้าหมานั่นเลย เพี้ยง!”

ได้ยินนางเรียกว่าไท่จื่อหน้าหมาอีกครั้ง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าสมควรมาก เพราะชายคนนั้นหยาบคายพอ ๆ กับสุนัขจริง ๆ

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของหญิงสาวตรงหน้า เหลิ่งอวี้ก็กังวลว่าหากนางได้เห็นใบหน้าเขาแล้ว นางอาจผิดหวัง เขาอดไม่ได้ที่จะอธิษฐานในใจ หวังว่าใบหน้าของเขาจะกลับคืนสู่สภาพเดิม อย่างน้อยจะได้ไม่ทำให้นางกลัว

........................................................................................