ตอนที่แล้วตอนที่ 11 ต่อรองราคา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 13 ตรวจร่างกายแบบละเอียด

ตอนที่ 12 อวี่โฮ่วไฉ่หง


ตอนที่ 12 อวี่โฮ่วไฉ่หง

ชายมีหนวดได้ฟังดังนั้นก็แสยะยิ้ม ทันทีที่เขาเปิดกรงไม้ เขายื่นสัญญากรรมสิทธิ์ทาสมาตรงหน้าลั่วหลาน ลั่วหลานรับสัญญากรรมสิทธิ์ทาสมา แล้วโยนตั๋วเงินยี่สิบตำลึงใส่มือเขา จากนั้นถามต่อว่า

“ผู้ชายอยู่ที่ไหน?”

“เชิญทางเลยขอรับแม่นาง”

ชายมีหนวดเดินนำไปอีกครั้ง ลั่วหลานเหลือบมองหญิงสาวทั้งสอง แล้วพูดเบา ๆ :

“ตามข้ามา”

แม้ว่าทั้งสองสาวจะค่อนข้างมอมแมม แต่พวกนางยังดูมีเค้างดงามอยู่ อย่างน้อยลั่วหลานก็ชอบสาวสวยที่พูดน้อย

ชายมีหนวดพานางไปยังกรงเหล็กกรงหนึ่ง ที่มีชายหนุ่มสองคนถูกขังไว้ เขาชี้ไปที่ชายทั้งสองแล้วพูดว่า:

“พวกเขาก็มีสัญญาตายเช่นกัน ผู้ชายมีราคาแพงกว่าผู้หญิง แต่เพราะท่านซื้อมากกว่าหนึ่งคนจากข้า ข้าจะเรียกเก็บเงินท่านยี่สิบห้าตำลึง”

ลั่วหลานมองชายทั้งสอง สายตาของพวกเขาเหม่อลอย ผอมจนแก้มตอบ ดูเหมือนว่าพวกเขาคงไม่ได้กินอาหารมานานแล้ว

นางยื่นเงินยี่สิบห้าตำลึงให้ชายมีหนวดโดยไม่ลังเลใจ รับสัญญาตายของชายทั้งสองมาจากเขา แล้วพาทั้งสี่คนออกจากตลาดค้าทาส

บนถนนกว้าง นางยืนนิ่งมองคนทั้งสี่คน แต่ละคนถูกขังมานานจึงดูซีดเซียวและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แม้ว่าลั่วหลานที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการอดอาหารมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังรู้สึกเวทนาเมื่อเห็นพวกเขา

แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งย่อมมีอำนาจเสมอ ส่วนผู้อ่อนแอทำได้เพียงยอมรับการเหยียบย่ำจากผู้แข็งแกร่ง นี่คือความจริงที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้

นางมองคนทั้งสี่ แล้วพูดว่า:

“ข้าไม่สนใจว่าเมื่อก่อนพวกเจ้ามีนามว่าอันใด นับจากนี้ไปพวกเจ้าคือคนของข้า ข้าจะให้นามใหม่แก่พวกเจ้า”

ทั้งสี่คนมองนางโดยไม่ส่งเสียง

นางมองหญิงสาวทั้งสอง แล้วพูดว่า:

“พวกเจ้าสองคนจะมีนามว่าอาไฉ่กับอาหง”

นางมองชายทั้งสองอีกครั้ง แล้วพูดว่า:

“ส่วนพวกเจ้าสองคนจะมีนามว่าอาอวี่กับอาโฮ่ว”

หลังจากตั้งชื่อให้คนเหล่านี้แล้ว นางก็มองพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

“จากนี้ไปพวกเจ้าคือสี่ผู้พิทักษ์ที่อยู่เคียงข้างข้า ไม่ต้องฟังใครอื่นนอกจากข้า กลับบ้านกับข้าตอนนี้เลย”

ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยง ท่านอ๋องผู้ไร้ค่าคงฉี่ไปสองสามครั้งแล้ว นางรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้เปลี่ยนผ้าอ้อมที่สะอาดให้เขา ระหว่างทาง นางซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเองเพิ่มอีกสองชุด พร้อมซื้อให้กับทั้งสี่คนด้วย ทุกคนได้เสื้อผ้ากันคนละสองชุดและผ้าฝ้ายอีกจำนวนหนึ่ง แล้วรีบไปยังตำหนัก

ทันทีที่พวกนางเข้าไปในตำหนัก ก็เห็นหรูอี้ยืนประสานมืออยู่ตรงหน้าพ่อบ้านสวี เหมือนจะกำลังอธิบายอันใดบางอย่าง

ในเวลานี้มีคนเห็นนางเดินเข้ามา จึงพูดเบา ๆ ว่า:

“นางกลับมาแล้ว...”

หรูอี้รีบหันมามองอย่างรวดเร็ว เมื่อนางเห็นลั่วหลาน เห็นได้ชัดว่ามีความยินดีในสายตานาง

ปรากฏว่านางตามหาลั่วหลานตามทางมานานแล้ว และนางคิดว่าคงหนีไปแล้ว นางกำลังรายงานเรื่องนี้ให้พ่อบ้านสวีฟัง ซึ่งเขาก็กำลังตำหนินาง และบอกให้นางรอรับโทษจากฉางกุ้ยเฟยได้เลย

พ่อบ้านสวีเห็นลั่วหลานมาแล้ว จึงรีบเดินเข้ามาหา “พระชายาหายไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ? ปล่อยให้พวกบ่าวตามหากันแทบแย่ บ่าวเกรงว่าท่านจะเดือดร้อนเมื่อออกไปคนเดียวเช่นนั้น”

ลั่วหลานเหลือบมองพวกเขาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “พ่อบ้านสวีไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่หนีไปหรอก ครั้งต่อไปที่ข้าออกไปข้างนอก เจ้าไม่จำเป็นต้องตามหาข้าไปทั่ว พวกเจ้าสามารถเมินเฉยต่อท่านอ๋องได้ ข้าเองก็ไม่ต่างจากเขาหรอก”

หลังจากพูดจบ นางพูดกับพ่อบ้านสวีต่อ:

“นี่คือสาวใช้กับคนรับใช้คนใหม่ของข้า บอกให้ครัวทำอาหารให้พวกเขาทั้งสี่คน ตั้งแต่นี้ไปพวกเขาทั้งสี่จะรับใช้ข้ากับท่านอ๋องเท่านั้น ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้สั่งสอนหรือรังแกพวกเขาได้”

หลังจากตักเตือนคนเหล่านี้แล้ว นางก็รีบเดินเข้าไปในห้องโดยไม่รอคำตอบ นางเป็นห่วงท่านอ๋องมาก จึงไม่อยากมัวชักช้าอีกต่อไป

ในเวลานี้เหลิ่งอวี้กำลังนอนอยู่บนเตียง รู้สึกราวถูกมีดทิ่มแทงหัวใจ เขารู้ว่าตัวเองกลับมานอนรอความตายอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าวันคืนแสนทรมานนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด เขาเรียกคนให้เข้ามาในห้องทั้งเช้า แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาเลย

เขายังคิดว่าหากมีใครเข้ามา เขาเต็มใจใช้สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อแลกกับมีดเล่มเดียว แต่ไม่มีใครเต็มใจเข้าใกล้เขา แม้ว่าเขาจะตะโกนเรียกจนเสียงแหบแห้งแล้วก็ตาม

ตอนนี้เขาไม่ได้จิบน้ำแม้เพียงสักอึกด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่าการมีชีวิตเลวร้ายยิ่งกว่าตาย เหมาะจะใช้กับเขาตอนนี้มาก

ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก เสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังเข้ามาราวกับแสงแดดอันอบอุ่น

“ข้ากลับมาช้า ขอโทษด้วยเพคะ!”

เขาแปลกใจมาก สตรีผู้นั้นกลับมาแล้วหรือ?

เมื่อเขาเห็นนางปรากฏตัวต่อหน้าเขาจริง ๆ เขาก็พูดไม่ออก นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เขาคิดว่านางจากไปแล้ว คงไม่ต้องการเขาอีกต่อไป ส่วนเขาก็กลายเป็นอัมพาตนอนรอความตายอีกครั้ง

เขาไม่เคยคิดฝันว่านางจะกลับมา ทั้งยังขอโทษเขาทันทีที่เปิดประตูเข้ามา

สตรีผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่?

ลั่วหลานไม่มีเวลาคิดมาก นางวางของในมือลง เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ เช็ดต้นขา แล้วเริ่มพึมพำ:

“วันนี้ข้าออกไปข้างนอกนานมาก ก็เลยล่าช้ามากเกินไป ครั้งต่อไปข้าจะไม่ยอมให้ท่านต้องนอนเปียกชื้นเช่นนี้อีก รู้สึกไม่สบายตัวใช่หรือไม่?”

เหลิ่งอวี้มองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าไม่ไปแล้วหรือ? เหตุใดถึงกลับมา?”

“ข้าจะไปไหนล่ะเพคะ?”

นางหยิบผ้าปูสะอาดมาวางไว้ใต้ร่างของเขา แล้วพูดต่อ:

“ข้าเป็นพระชายาแห่งตำหนักอ๋องอวี้ของท่าน มีสถานะที่สูงส่ง ข้าจะโง่พอที่จะออกจากที่นี่ แล้วกลายเป็นเพียงสาวบ้านนอกได้หรือเพคะ?”

“ฮึ่ม!”

เขาพูดเย้ยอีกครั้ง “สูงส่งหรือ? ต้องมารับใช้คนไร้ค่าเช่นข้า สูงส่งตรงไหนกัน? ต่ำต้อยหาใดเปรียบ”

ลั่วหลานไม่สนใจคำพูดของเขา แต่มองเขาด้วยรอยยิ้ม

“ท่านรู้หรือไม่ จี้หยกของท่านถูกนำไปจำนำ ได้เงินมาตั้งสองร้อยตำลึงเลยนะเพคะ สองร้อยสองร้อยตำลึง คงต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่อย่ากังวล ข้าเลือกเก็บไว้นานที่สุดแล้ว เมื่อข้ามีเงิน อนาคตข้าจะไถ่คืนมาให้ท่านแน่นอน”

คำพูดของนางทำให้เหลิ่งอวี้ตกใจ เขามองนางแล้วถามว่า “เจ้าไปโรงรับจำนำมาหรือ?”

“ใช่แล้วเพคะ เจ้าของโรงรับจำนำใจดีมาก เดิมทีเขาให้แค่หนึ่งร้อยตำลึง แต่ข้าขอต่อรองเป็นสองร้อยตำลึง ฮ่าฮ่า ข้าเก่งมากใช่หรือไม่”

เขาไม่ตอบนาง สายตายากจะคาดเดาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

ผ่านไปสักพัก เขาอดไม่ได้ที่จะพูดอีกครั้ง

“ข้าคิดว่า... เจ้าจะไม่กลับมาแล้ว”

ในที่สุดเขาก็พูดสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจตลอดเช้า

ลั่วหลานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหรี่ตามองเขาแล้วคลี่ยิ้ม นัยน์ตาใสราวคริสตัลเป็นประกายแวววับ

“ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่ออกไปไหน จนกว่าท่านจะยืนขึ้นมาโจมตีข้าได้ ข้าจะไม่ออกไปตอนนี้หรอก ใช่แล้ว ข้าซื้อคนรับใช้ใหม่มาสี่คน หากมีอันใดเกิดขึ้นในอนาคต ข้าจะได้มีคนดี ๆ สักสามสี่คนอยู่รอบตัวข้าบ้าง ข้าไม่ชอบสาวใช้และคนรับใช้ในตำหนักของท่านเลยสักคน”

ขณะที่นางกำลังพูดคุยกับเขา นางก็ยกแขนของเขาขึ้นมานวดให้

“ต้องนวดแขนของท่านให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด หลังจากแผลที่ขาหายดีในอีกไม่กี่วัน ข้าจะนวดขาให้ท่านด้วย ถึงตอนนั้นขาของท่านก็จะกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง”

....................................................................................