ตอนที่แล้วยุคของผู้ปลุกพลัง มอนสเตอร์รุกราน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปทดสอบพลัง รัฐบาล

มุ่งหน้าเข้าเมือง ข้อสงสัย


ฟึ่บ  ฟึ่บ  ฟึ่บ  ครืดดดด

เสียงบางสิ่งถูกลากด้วยความรวดเร็วดังกังวานไปทั่วทั้งป่า ชายหนุ่มในชุดคลุมของนักเวทบนหลังอุ้มหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้ ที่เอวมีเชือกผูกเอาไว้กับบางสิ่งที่เขาลากมา

สิ่งที่เขาลากมาก็คือถุงที่ทำมาจากหนังมอนสเตอร์หมูป่าขนเหล็ก ภายในมีพวกเขี้ยว เล็ก ขน หนังที่ถูกถลกออกแล้วม้วนเอาไว้ และเนื้อของมันบางส่วน ทำให้ถุงหนังนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึงห้าเมตร เนื่องจากมิติเก็บของของหญิงสาวมีพื้นที่แค่หนึ่งตารางเมตร แถมยังใส่ของไว้จนเกือบจะเต็มแล้ว ทำให้เก็บได้แค่แก่นเวทย์กับขนเหล็กบางส่วนเท่านั้น

คนทั้งสองจึงได้พูดคุยกันว่าจะเอาชิ้นส่วนร่างกายที่สำคัญกลับไป โดยดูจากเรี่ยวแรงของชายหน่มว่าจะลากไปได้แค่ไหน ซึ่งปริมาณในตอนนี้ก็นับว่าสบายมากสำหรับเขา แต่ถ้านำไปด้วยมากจนเกินไปมันก็จะเสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นไปอีก

“นายไม่หนักเหรอ ?” หญิงสาวที่เกาะอยู่บนหลังชายหนุ่มถามออกมา เธอรู้สึกอายเล็กน้อยที่ต้องมาเกาะอยู่แบบนี้ ตอนแรกเธอก็ปฏิเสธหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มยืนกรานว่าการทำแบบนี้จะเดินทางได้เร็วกว่า เธอจึงได้แต่ยอมทำตาม

“ไม่ อีกนานแค่ไหนเราจะถึงเมือง ?” ชายหนุ่มกล่าวตอบพลางวิ่งไปไม่หยุด เขาวิ่งมาเป็นเวลากวาหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีแม้แต่การหอบหายใจด้วยซ้ำ

ฟิ้ว! ฉึก! ฉีก! ฉีก!

เสียงบางสิ่งแหวกอากาศทะลุเข้าใส่ร่างที่มีเลือดเนื้อดังขึ้น เป็นชายหนุ่มที่ขว้างขนหมูป่าขนเหล็กเข้าใส่มอนสเตอร์ที่โผล่เข้ามาขวางทาง ตลอดเส้นทางก็มีมอนสเตอร์โผล่มาขวางทางอยู่เสมอ เพราะกลิ่นของซากหมูป่าขนเหล็ก

แต่ชายหนุ่มก็ใช้ขนเหล็กของหมูป่ากำจัดพวกมันให้พ้นทางได้ไม่ยาก เขาจะเล็งจุดอ่อนเช่นลูกตา ปาก คอหอย ท้อง เป็นเป้าหมาย แม้พวกมันจะไม่ตายก็จะเสียโอกาสในการตามเล่นงานพวกเขาต่อ

“ถ้าด้วยความเร็วของพวกเราตอนนี้ อีกประมาณ สามชั่วโมงก็น่าจะเห็นกำแพงเมืองแล้วล่ะ” หญิงสาวตอบกลับมา ในตอนแรกที่เห็นเขาขว้างขนเหล็กใส่มอนสเตอร์เพื่อเปิดเส้นทางเธอก็ตกใจอยู่บ้าง เพราะถึงแม้เธอจะเห็นเขาสู้กับมอนสเตอร์ได้อย่างไม่ยากนัก ก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะทำได้ถึงขนาดนี้

แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนมันเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว

“อากาศของป่าแห่งนี้บริสุทธิ์นัก ภายในเมืองก็เป็นเช่นนี้รึเปล่า ?” ชายหนุ่มกล่าวถามออกมาขณะวิ่งไปด้วย เขารู้สึกว่าอากาศของที่นี่ดีกว่าโลกเดิมของเขามากนัก เพราะโลกของเขาแทบไม่มีป่าไม้หลงเหลืออยู่เลย

“ก็ปกตินะ เพราะตั้งแต่ที่โลกใบนี้มีพลังเวทย์เข้ามาเกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหรือเชื้อเพลิงสิ้นเปลืองต่าง ๆ ก็ทยอยถูกเปลี่ยนเป็นใช้แก่นเวทย์เข้ามาแทนที่ มันทั้งประหยัด ทำให้สภาพอากาศดีขึ้นด้วยน่ะ” หญิงสาวอธิบายให้เขาฟัง ซึ่งชายหนุ่มก็พอเข้าใจอยู่บ้าง น่าเสียดายที่โลกของเขาไม่มีพลังเวทย์แบบนี้

“มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีสินะ” ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะกล่าวออกมา

“เสียดายพวกมอนสเตอร์พวกนั้นเหมือนกันนะ” หญิงสาวกล่าวออกมา นางหมายถึงพวกมอนสเตอร์ที่ชายหนุ่มกำจัดระหว่างทาง

“มันจะเสียเวลาเปล่า ๆ แค่ของที่เรานำมาก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่รึ ?” ชายหนุ่มกล่าวตอบ เพราะตอนแรกเขาไม่ต้องการเอาของพวกนี้ไปด้วยซ้ำ แต่หญิงสาวบอกว่ามันสามารถขายได้ ซึ่งเครดิตก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขาในตอนนี้อย่างมาก

ครึ่งหลัง

จากการพูดคุยกับหญิงสาวทำให้เขาได้รู้ว่าโลกใบนี้ใช้สื่อกลางการแลกเปลี่ยนเป็นเครดิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่เงินตราตามปกติ โดยเงินเครดิตจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบการ์ดที่เข้ารหัสเฉพาะบุคคลไว้ ถึงจะทำหายไปก็สามารถไปทำการ์ดใหม่ได้ที่ธนาคารกลางแห่งประเทศ

ตัวเขาที่มาเพียงตัวเปล่าพร้อมกับบางสิ่งแปลก ๆ ที่ติดมาด้วย แน่นอนว่าไม่มีสักเครดิตแน่นอน การจะหาอาหารดื่มกิน หรือที่พักอาศัยก็หมดสิทธิ์ ดังนั้นที่หญิงสาวบอกว่าซากมอนสเตอร์เหล่านี้ขายได้เขาจึงขนมันมาด้วยให้มากที่สุด แต่ก็ไม่มากขนาดถ่วงการเดินทางของเขา

“เจ้าบอกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ คือระดับ SS ใช่ไหม” ชายหนุ่มกล่าวถามอีกครั้ง

“ใช่แล้ว แต่มันก็เป็นแค่ตำแหน่งในนามเท่านั้นแหละ เพราะเคยมีคนที่ไปถึงระดับนั้นได้แค่คนเดียว และเขาก็ได้หายสาบสูญไปหลังจากที่ไต่หอคอยชั้นสูงสุด” หญิงสาวกล่าวออกมา เธอจำได้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนผู้ปลุกพลังคนนั้นคือคนเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าสู่หอคอยชั้นที่ 100 ได้ แต่หลังจากเธอคนนั้นได้เข้าไปยังชั้นนั้น ก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

“นับว่าเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติเลยล่ะ” หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยความเศร้าหมอง ความหวังเพียงหนึ่งเดียวหายสาบสูญไปแบบนี้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังได้ไม่ยาก

“แต่ก็โชคยังดีที่เรายังมี ผู้ปลุกพลังระดับ S อยู่หลายคน เลยทำให้โลกใบนี้สู้ต่อไปได้” หลังจากกล่าวจบเธอก็กอดคอของชายหนุ่มแน่นขึ้นเล็กน้อย

มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจริง ๆ ที่ต้องกลายมาเป็นนักผจญภัยเสี่ยงตายแบบนี้ แต่เธอก็จะสู้ต่อไป เพื่อครอบครัวและโลกใบนี้

“เจ้าบอกว่า ที่แห่งนี้อยู่ติดกับเมืองใช่หรือไม่ ?” ชายหนุ่มที่สงสัยอะไรบางอย่างจึงได้กล่าวถามออกมา

“ก็ใช่นะ ทำไมเหรอ” เซรีนตอบกลับด้วยความไม่เข้าใจว่าเขาจะถามทำไม

“ข้าแค่สงสัย ภายในพื้นที่ของประเทศทำไมถึงมีป่าที่มีขนาดใหญ่และมอนสเตอร์ชุกชุมแบบนี้ มันสมควรถูกเปลี่ยนเป็นเมืองหรือถูกควบคุมไม่ใช่รึ ?” ชายหนุ่มกล่าวถามออกมา

เพราะโลกของเขานั้น การก่อสร้างเมืองจะไม่ให้มีพื้นที่ว่างเอาไว้เด็ดขาด เพราะมันอาจเป็นแหล่งส่องสุมพวกมอนสเตอร์ได้ ดังนั้นการได้เห็นป่าขนาดใหญ่ภายในประเทศนี้นับว่าแปลกประหลาดในความคิดของชายหนุ่มไม่น้อย

“แต่ละประเทศก็ย่อมมีพื้นที่ซึ่งเป็นหุบเขา ป่าไม้ ท้องทะเล แม่น้ำ แตกต่างกันไป แต่ป่าแห่งนี้มันเป็นกรณีพิเศษ” หญิงสาวกล่าวจบก็นิ่งคิดเล็กน้อย

“เพราะเมื่อก่อนมันเคยเป็นเมืองมาก่อนยังไงล่ะ !” สิ่งที่เธอกล่าวออกมาทำให้ชายหนุ่มสับสนนิดหน่อย

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ ? ถูกปล่อยทิ้งร้างรึ ? หรือถูกรุกราน ?” ชายหนุ่มกล่าวถามต่อ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้อมูลตรงส่วนนี้ไม่มีใครบอกกันเลย รู้แค่ว่าตรงที่แห่งนี้มันเคยเป็นเมืองมาก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว” หญิงสาวตอบกลับไปเท่าที่เธอรู้

“อืม ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องน่าสงสัยอีกหลายสิ่ง” ชายหนุ่มกล่าวตอบสั้น ๆ ก่อนจะเงียบไป

“นายจะพักหน่อยไหม อีกหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึงกำแพงเมืองแล้ว” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คตำแหน่งปัจจุบันแล้วกล่าวถามออกมา

ความเร็วของชายหนุ่มนับว่ารวดเร็วไม่น้อย ขนาดแบกหญิงสาวไว้หนึ่งคน รวมถึงลากของกองใหญ่มาด้วย ยังใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเดินทางหลายร้อยกิโลเมตรได้ ทำให้หญิงสาวได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความอิจฉาในความแข็งแกร่งของเขา

แต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก เพราะเธอก็จะต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ให้เป็นแบบชายตรงหน้าเธอให้ได้ !

“นั่นรึ ? เมืองที่เจ้าว่า” เมื่อเห็นว่าตรงหน้าไกล ๆ มีกำแพงสูงสิบเมตรทอดยาวรายล้อมป่าแห่งนี้เอาไว้ชายหนุ่มจึงถามออกมา

เส้นทางที่เขามุ่งหน้าไปยังประตูเมืองดูเหมือนจะได้รับการบุกเบิกจากมนุษย์เอาไว้ เพราะมันเป็นทางโล่งกว้างอย่างดี เหมือนถูกคนถางกลบจบเรียบ

“ใช่แล้วล่ะ นายตรงไปที่ประตูตรงนั้นได้เลย” หญิงสาวชี้ไปยังประตูกำแพงที่เหมือนจะถูกสร้างมาจากพลังบางอย่าง มันให้ความรู้สึกเหมือนม่านแสงสีฟ้าที่ไว้ป้องกันสิ่งแปลกปลอม

‘ม่านแสงรึ ?’ ชายหนุ่มครุ่นคิดในใจ มันเหมือนกับกำแพงไฟฟ้าที่โลกเก่าของเขาเหมือนกัน แต่จากที่เขาเห็นเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด