ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 เก็บตัวเกินกว่าจะพูดคุยกับพ่อแม่

ตอนที่ 1 ค่ำคืนอันแสนธรรมดาและอบอุ่น


"สุขสันต์วันเกิด!"

แสงสลัวของโคมไฟในห้องนั่งเล่นอาบผ้าปูโต๊ะสีเหลืองอ่อนมอบบรรยากาศที่อบอุ่นและน่าหลงไหลขึ้นมา ภาพที่อบอุ่นนี้ต้อนรับพ่อและแม่ ขณะพวกเขาเดินถือเค้กเข้ามา

พวกเขาไม่เคยนำอารมณ์ด้านลบจากการทำงานกลับมาบ้าน ใบหน้ายังคงไว้ด้วยรอยยิ้มสดใส ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานหนักตลอดวัน แต่ไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าจากงานที่ยากลำบากบนใบ้หน้าของทั้งคู่

โดยที่ไม่ได้ทักทาย เกาหมิงรีบเปิดผ้าม่านในห้องครัวและนำอาหารที่เพิ่งทำเสร็จไม่นานมาวางบนโต๊ะอาหาร และนั่งลงเงียบๆอยู่มุมนึงของโต๊ะ

"เจ้าเด็กนี่..." เมื่อพ่อสังเกตพฤติกรรมของลูกชาย ก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาถอดเสื้อโค้ดที่เปียกฝนและรองเท้าบูทที่เปื้อนโคลนออก แทนด้วยรองเท้าที่ใส่ในบ้านที่จัดวางเรียงข้างภรรยา

พ่อที่มีลักษณะเฉียบคมในชุดสูท เป็นคนสูงใหญ่ ดูสุภาพและดูดี ขณะที่แม่มีใบหน้าที่อ่อนโยนและอบอุ่น สวมเสื้อกล้ามสีขาวคู่กับกางเกงยีนส์ เธอชมอาหารของเกาหมิงก่อนที่จะนำเสื้อผ้าที่เปื้อนลงตะกร้าผ้าในห้องน้ำ

เสียงน้ำที่แผ่ซ่านกระทบอ่างล้างมือ ขณะที่แม่ล้างมือเสร็จ ก็ทิ้งรอยคราบสีแดงเล็กๆไว้ขอบอ่างล้างมืออย่างไม่ตั้งใจ

"ไม่ว่างานพวกเราจะยุ่งแค่ไหน เราจะกลับมาฉลองงานวันเกิดของลูกเสมอ" พวกเขายืนยันกับเกาหมิง

แต่เหมือนเกาหมิงจะไม่ได้สนใจเสียงของพวกเขา ยังคงก้มหน้าอย่างระมัดระวังจดจ่อกับเสียงข่าวทางทีวี

"ข่าวด่วน'ฆาตกรในคืนฝนตก'ก่อเหตุฆาตกรรมที่น่าสยดสยองครั้งที่สาม!"

"ตำรวจได้ระบุตัวผู้ต้องสงสัย! ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ และหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในช่วงค่ำคืน!"

ฝนที่ตกหนักกระทบหน้าต่างเป็นจังหวะ ตรงข้ามกับไอร้อนของอาหารอุ่นๆบนโต๊ะอาหารภายในห้อง

"ทำไมถึงชอบดูข่าวแบบนี้?" พ่อจับรีโมทด้วยความกังวล "พวกสื่อชอบใช้เทคนิคเล่นข่าวเกินจริงเพื่อเรียกร้องเรทติ้งประจำ"

เกาหมิงไม่ตอบสนอง แต่เขากลับเลื่อนสายตามองรอบห้องอันอบอุ่นนี้อย่างละเอียด

ผนังทุกด้านของห้องเสริมด้วยวัสดุกันเสียง เคลือบด้วยสีที่ดูดซับเสียงได้เป็นพิเศษอีกชั้น เห็นได้ถึงความตั้งใจ ที่จะไม่ให้คนภายนอกรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในห้อง

ตู้เย็นทันสมัยสุดล้ำพร้อมระบบหมุนเวียนลมภายในทำความเย็น เพื่อให้เนื้อสัตว์ที่เก็บไว้คงความสดและปราศจากกลิ่นที่เล็ดลอดออกมา

ภายในห้องครัวเต็มไปด้วยถุงซิปมากมาย ซึ่งแต่ละถุงมีขนาดพอเหมาะสําหรับใส่เนื้อสัตว์จํานวนมาก ซึ่งออกแบบมาเพื่อการขนย้ายที่ง่ายดาย ด้านล่างเคาน์เตอร์วางสารประกอบทางเคมีที่สามารถเร่งการสลายตัวของอินทรียวัตถุหากผสมน้ำ 'ดูเหมือนจะวางแผนซ่อนเนื้อส่วนใหญ่ในตู้เย็น ส่วนเนื้อบางส่วนเตรียมขนย้ายสินะ?'

ถัดจากประตูห้องน้ำคือชั้นของแผ่นพลาสติกจำนวนมาก พอที่จะคลุมห้องน้ำทั้งห้อง บ่งบอกว่า'เนื้อ'ที่กล่าวถึงน่าจะถูกแปรรูปภายในห้องนี้อย่างแน่นอน'เนื้อ'ที่ว่าอาจห่างไกลจากประเภทที่พบได้ในครัวทั่วไป

จินตนาการของเกาหมิงเริ่มสร้างภาพที่สมจริงและน่าสยดสยองเมื่อสายตากวาดผ่านไปบนพื้นสะอาดเหล่านั้น

ถึงห้องจะมีลักษณะการตกแต่งที่ดูอบอุ่น แต่มือก็ยังสั่นด้วยความไม่สมัครใจของตัวเขาเอง

"มาเถอะ มากินเค้กกัน แม่กับพ่อต้องฝ่าฝนไปซื้อมาให้เลยนะ" แม่กระตุ้นเตือนหลังจากแม่ล้างมือเสร็จ แล้วเปิดซฮงบรรจุเค้กออกมาอย่างระมัดระวังและนำเทียน 18เล่ม ออกมาตกแต่งบนหน้าเค้ก

"เทียน18เล่ม..." เกาหมิงรำพึง จำนวนเทียนไม่ถูกต้อง เพราะเขาอายุ26ในปีนี้

"เอาละ ได้เวลาขอพรแล้ว" พ่อพูดขณะที่เริ่มจุดเทียนบนเค้ก ส่วนแม่เดินไปปิดไฟ

ห้องจมดิ่งสู่ความมืด แต่มีแสงอ่อนๆจากเทียนคอยให้แสงสว่างอยู่ ด้วยแสงเทียนริบหรี่ที่ทอดเงาอันน่าสะพรึงกลัวบนผนัง เงาเหล่านี้เต้นระบําบนใบหน้า'พ่อแม่'ของเขา รอยยิ้มพวกเขาเหมือนกันอย่างน่าขนลุก สะท้อนถึงความโค้งของริมฝีปากอย่างผิดธรรมชาติ

เมื่อพ่อแม่ของเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ เงาของพวกเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวอยู่ในความมืด แสงเทียนที่ส่องแสงจางๆไม่สามารถเปิดเผยความน่ากลัวของเงาได้เต็มที่นัก

"ผมหวังว่าพ่อและแม่จะอยู่กับผมตลอดไป" เกาหมิงประกาศออกมาทำลายความเงียบของตัวเองที่ค้างคามานานตั้งแต่พวกเขากลับมา ความรักที่เขามีต่อพ่อแม่นั้นลึกซึ้ง ตรงกับความรักที่พวกเขามีให้ ไม่ว่าชีวิตของพวกเขาจะเรียกร้องอะไรพวกเขาไม่เคยพลาดในการกลับมาทุกเย็นเพื่ออยู่กับเขา

ไฟเหนือศีรษะสว่างขึ้นอีกครั้ง แผ่นหลังเกาหมิงเต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเยียบ เกาหมิงนําเทียนแต่ละเล่มออกอย่างเป็นระเบียบทําความสะอาดด้วยความระมัดระวังก่อนเก็บไว้ในกล่องโลหะที่เก็บของสะสมอื่นๆ

"ความปรารถนาจะเป็นจริงได้ ต้องเก็บมันไว้ในใจ" พ่อของเขาแนะนําด้วยท่าทางหิวโหยขณะที่เขาเริ่มกินอาหารเพื่อดับความกระหาย

แม่จ้องมองเกาหมิงอย่างอ่อนโยนและยื่นตะเกียบส่งให้เขา ซึ่งเป็นการแสดงความรักที่แม่มีต่อลูก

อย่างไรก็ตาม เกาหมิงเลือกที่จะไม่สัมผัสอาหารใดๆที่เขาเตรียมไว้ แต่เลือกทานแต่เค้กเท่านั้น จังหวะการเต้นของหัวใจของเขาทำหน้าที่เป็นเครื่องเคาะจังหวะที่เงียบงันในขณะที่เขาถูนิ้วไปมา

โทรทัศน์ขัดจังหวะฉากที่ดูอบอุ่นนี้ด้วยการแจ้งเตือน "ประกาศข่าวด่วน!'ฆาตกรในคืนฝนตก'กำลังหลบซ่อนตัวในพื้นที่ที่พักอาศัย! ผู้อยู่อาศัยในเขตเมืองเก่า โปรดทราบอีกครั้งควรอยู่แต่ภายในบ้านและอย่าเปิดประตูให้กับคนแปลกหน้า!"

การออกอากาศยังคงดำเนินต่อไป โดยให้รายละเอียดของผู้ต้องสงสัย " 'ฆาตกรในคืนฝนตก'มีอายุประมาณยี่สิบถึงสามสิบปี โดยมีความสูงตั้งแต่หนึ่งเมตรเจ็ดสิบห้าถึงหนึ่งเมตรแปดสิบห้า…"

ประมาณสิบห้านาทีต่อมา หลังจากเฝ้าดูพ่อแม่ของเขาอย่างระมัดระวัง เกาหมิงก็ตักครีมออกจากเค้กด้วยช้อน ลิ้มรสรสชาติที่ละลายในปาก ความรู้สึกที่เข้มข้นและน่าอัศจรรย์ราวกับเทพนิยายที่ถูกกลืนหายไป

ทันใดนั้น "ตุ๊บ!" แม่ที่กำลังลุกขึ้นไปตักซุป ทรุดตัวลงกับพื้น แขนของเธอกระตุกเป็นระยะ เปลือกตาของเธอดิ้นรนจากอาการหมดสติที่กำลังจะเกิดขึ้น

สามีของเธอพยายามเข้ามาช่วยเหลือเมื่อเห็นเธอล้มลง แต่กลับพบว่าแขนขาตัวเองหนักราวตะกั่ว เท้าของเขาปฏิเสธที่จะเชื่อฟังความตั้งใจที่จะขยับ

"รอบนี้ปริมาณยาอาจจะมากเกินไปสักหน่อย เห้อ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ความกดดันไม่เคยลดลงเลย" เกาหมิงกล่าวอย่างสงบ อาการสั่นก่อนหน้านี้ลดลงเมื่อมองเห็นพ่อแม่ของเขานอนคว่ำอยู่บนพื้น การแสดงออกของเกาหมิงมีแต่ร่องรอยของความแปลกประหลาด

"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ เป็นเราที่บ้าหรือโลกมันบ้า?" เกาหมิงครุ่นคิดในขณะที่ดึงเครื่องพันธนาการทางจิตเวชออกมาจากตู้เสื้อผ้าและมัดทั้งคู่อย่างเชี่ยวชาญ

โดรนรายงานข่าวเกี่ยวกับฆาตกรในคืนฝนตกดังเป็นระยะ พายุโหมกระหน่ำด้านนอก ดูเหมือนทุกอย่างจะห่างไกลจากเกาหมิง แต่ฉากเหล่านี้กลับปรากฏอยู่ภายในขอบเขตของบ้านเท่านั้น

เกาหมิงลงแรงหนักและลากพ่อแม่ที่ไม่ตอบสนองเดินไปทางประตูห้องนอน

ความรักที่มีต่อพ่อแม่นั้นไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าความต้องการในชีวิตของพวกเขาคืออะไรก็จะกลับมาพบเขาทุกคืนเสมอ แต่…

ด้วยการเคลื่อนไหวที่ใช้แรงพอสมควร เขาเหวี่ยงแขนเปิดประตูห้องนอน เสียงโซ่ตรวนดังลั่น ภายในนั้นได้พบกับทะเลแห่งการจ้องมอง บ้างก็หน้าตาแปลกๆ บ้างก็เป็นคนคุ้นเคย แต่พวกเขาทั้งหมดมีรอยยิ้มแปลกประหลาดที่เจาะไชเข้าไปในตัวเกาหมิงด้วยความเร่าร้อนรุนแรง

ห้องนี้เป็นฉากที่แปลกประหลาดของ'พ่อแม่'รูปร่างที่บิดเบี่ยวเกี่ยวพันกันในลักษณะที่ไม่สามารถบรรยายได้!

คืนแล้วคืนเล่า ไม่ว่าจะจับพวกเขามัดอีกกี่ครั้งก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็จะกลับมาเวลาเดิมเสมอ

"พวกมันเป็นมนุษย์? ปีศาจ? หรือแค่สัตว์ประหลาดในหน้ากากมนุษย์?"

ปากของเกาหมิงอ้าออกในขณะที่เขาสังเกตเห็นร่างที่ถูกมัดอยู่ในห้องนอน เลือดเริ่มไหลออกจากดวงตาของพวกมันและบิดตัวราวกับหายใจไม่ออก ดูเหมือนปลาที่ขึ้นจากน้ำ การเคลื่อนไหวของพวกมันเริ่มบ้าคลั่ง ท่ามกลางอาการชัก มีเสียงแหบแห้งร้องออกมา "อยู่ที่นี่! อยู่ที่นี่!!!"

เกาหมิงจุดบุหรี่และยืนพิงกรอบประตู สายตาจ้องมองภาพอันน่าสยดสยอง และไตร่ตรองบางอย่างเงียบๆ

เขาถูกกักขังอยู่ในห้องนี้เป็นเวลาสามวัน จุดกำเนิดของฉากอันน่าสยดสยองนี้ย้อนกลับไปในช่วงเวลาเดียวกัน

ในคืนเทศกาลวันสารทจีน ที่เขาออกจากตำแหน่งในฐานะที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาที่เรือนจำความปลอดภัยสูงสุดเหิงซาน โดยเลือกที่จะออกมาทุ่มเทในการพัฒนาเกมอย่างเต็มเวลา

เวลา 23:00 น. เกาหมิงนั่งรถบัสเที่ยวสุดท้ายจากเมืองฮั่นเจียงไปยังเมืองฮั่นไห่ บนรถบัสจิตใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับการออกแบบเกมเล็กๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันในครอบครัว เพื่อช่วยเหลือตัวเขาเอง เกาหมิงจึงได้ใส่โฆษณาร้านเค้กของเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่เขาอยู่อาศัยลงไปในเกมอีกด้วย

สาระสำคัญของเกมสนับสนุนให้ผู้ปกครองกลับบ้านทุกคืนเพื่อมีส่วนร่วมกับลูกๆ โดยเน้นว่าไม่ว่าชีวิตจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหน พ่อแม่ก็ไม่ควรมองข้ามความต้องการทางอารมณ์ของลูกหลาน การแสดงตนไม่ใช่แค่หน้าที่แต่เป็นการแสดงความรัก

เมื่อค่ำคืนยาวนานขึ้น รถบัสก็เริ่มว่างเปล่า จนกระทั่งเวลา 01.00 น. อยู่ๆรถบัสหยุดลงในอุโมงค์อย่างไม่ทราบสาเหตุ เกาหมิงถอดหูฟังออกและลุกขึ้นเพื่อตรวจสอบ แต่กลับพบว่าคนขับหายตัวไป และเขาคือผู้โดยสารเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่

เขาลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง และลอบเดินตามเสียงด้านหน้าไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเขากลับจำอะไรไม่ได้เลย เกาหมิงจำไม่ได้ว่าเขากลับบ้านได้อย่างไร มีเพียงความรู้สึกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หลังจากได้เห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างจนไม่อาจบรรยายได้

หลังจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เกาหมิงจึงพักผ่อนอยู่ในบ้านของเขา แต่เมื่อเวลา 03.00 น. มีเสียงเคาะอย่างต่อเนื่องปลุกให้เขาตื่นขึ้น การเปิดประตูเผยให้เห็นพ่อแม่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนพร้อมเค้กในมือ

เกาหมิงต้อนรับ'พ่อแม่'เชิญพวกเข้ามาในบ้านและหยิบรองเท้าสวมใส่ในบ้านให้พวกเขาเปลี่ยน แต่ในจังหวะนั้นเองเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงแม่ที่โทรเข้ามา

เสียงแม่ที่พูดผ่านสายกล่าวถึงฝนที่กำลังจะตกหนักในเมืองฮั่นไห่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ด้วยความห่วงใย เธอขอร้องให้เกาหมิงดูแลและรักษาตัวเองให้ปลอดภัย

ความเย็นเยียบพุ่งไปถึงกระดูกสันหลังของเกาหมิง ในขณะที่ค่อยๆหันหน้าไปทางพ่อแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ ศีรษะทั้งคู่ห้อยลงมาอย่างไร้ชีวิตชีวา

เค้กวันเกิด การปรากฏตัวของพวกเขา พ่อและแม่...

ฉากที่แปลกตาจากเกมเล็กๆ ที่เขาออกแบบมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง'เล็กน้อย'ก็ตาม

เกาหมิงพยายามจะหนี แต่ด้านนอกประตูรักษาความปลอดภัยอพาร์ตเมนต์กลับมีความมืดมิดที่ไม่อาจเข้าถึงได้ แผ่ซ่านความน่าสยดสยองราวกับประตูสู่มิติอื่น

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เกาหมิงถูกบังคับให้ต้องคำนึงถึงกฎของเกมที่เขาสร้างขึ้นมา

แม้ว่าเกมจะเปลี่ยนไปอย่างน่าพิศวง แต่มันจะน่ากลัวแค่ไหนในเมื่อเป็นแค่เกมที่มีจุดประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นเพียงการที่พ่อแม่ของเขากลายร่างเป็นปีศาจเมื่อไฟดับลง? เป็นเพียงการที่พ่อแม่ของเขามาเยี่ยมทุกคืนเท่านั้น? หรือเป็นเพียงการเอาชีวิตรอดในบ้านที่กลายเป็นพื้นที่เก็บศพจนกระทั่งเขาอายุได้สิบแปดปีและปล่อยให้ 'พ่อแม่' ทำหน้าที่กระชับความสัมพันธ์เท่านั้นหรือ?

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าขนลุกในช่วงสามวันที่ผ่านมา เปลือกตาของเกาหมิงก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ และตั้งใจที่จะเลิกกินเค้กไปตลอดชีวิต

เขาดับบุหรี่และต้อน 'พ่อแม่' คนล่าสุดเข้าไปในห้องนอน ใบหน้าทั้งคู่บิดเบี้ยวราวกับว่าพวกเขารังเกียจต่อการจากไปของเกาหมิง

'ทุกครั้งที่พ่อและแม่กลับมา จำนวนเทียนบนเค้กจะเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าการมีเทียนครบ 18 เล่มคือการผ่านด่าน ดังนั้นการปรากฏของเทียนเล่มที่สิบแปดถือเป็นการจบเกม'

"ผมรู้สึกขอบคุณความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่นะ แต่ถ้าเป็นพ่อและแม่ของผมจริงๆ พวกคุณคงไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่เท่าไหร่ แต่บางทีพวกคุณอาจจะอยากให้ผมพาพวกคุณออกไปจากที่นี้แทนก็ได้มั้ง"

การกักขัง'พ่อแม่'ในห้องนอนแต่ละครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรงเช่นนี้ ซึ่งอาจบ่งบอกว่าเกาหมิงใกล้จะจบเกมที่น่ากลัวนี้แล้ว

หลังจากที่ปิดประตูห้องนอนด้านหลังแล้ว ความอบอุ่นก็เริ่มคืบคลานกลับเข้ามาภายในห้อง ข่าวที่ออกอากาศจากโทรทัศน์ฟังดูชัดเจนยิ่งขึ้น และสายฝนที่ตกลงมาทางหน้าต่างก็ให้ความรู้สึกที่จับต้องได้มากขึ้น

"สามวันผ่านไปแล้ว ในที่สุดก็หนีออกจากห้องต้องสาปนี่ได้สักที"

เกาหมิงก้าวไปที่ประตูหน้าห้องนั่งเล่นและมองผ่านตาแมว โถงทางเดินซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกปกคลุมไปด้วยความมืด ตอนนี้มีแสงสว่างริบหรี่ที่ริบหรี่อย่างอ่อนๆ บ่งบอกว่าเกาหมิงกำลังทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลัง

'เหตุการณ์ในอุโมงค์ยังไม่ชัดเจน กุญแจสำคัญที่ทำให้เกมของเรากลายเป็นความจริงต้องอยู่ที่นั่น!'

ความจำเป็นในการไขปริศนากดดันเกาหมิง เนื่องจากเขามักถูกดึงดูดเข้าสู่ปริศนาที่น่างงงวยอยู่เสมอ ในความคิดของเกาหมิง น่าจะมีวิญญาณเสียชีวิตที่นี่มากกว่าที่จะอยู่ในสุาน

หากเกมที่บิดเบี้ยวนี้กลายเป็นความจริง เมืองทั้งเมืองจะต้องตกอยู่ในอันตราย

ขณะที่แสงจากโถงทางเดินเริ่มกระจายเงา เกาหมิงค่อยๆเปิดประตู ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องมาจากด้านนอก

หัวใจเต้นแรงขึ้น ดวงตาจับจ้องไปที่ช่องมอง และแขนของเขาเริ่มเกร็งด้วยความคาดหวัง

'เกมควรจะจบลงได้แล้ว!'

ลมหายใจเริ่มสงบลง สายตาเกาหมิงยังคงจับจ้องอยู่ที่มุมบันได

ไม่นานต่อมา ชายในวัยยี่สิบ สูงประมาณ 180 ซม. สวมเสื้อกันฝนก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู ท่าทางดูเคร่งขรึมในขณะที่ตรวจดูประตูตามทางเดินอย่างเป็นระบบ

สายตาเกาหมิงเฉียบคมขึ้น ความสูงและรูปร่างหน้าตาชายคนนี้มีความคล้ายคลึงอย่างเห็นได้ชัดกับคำอธิบายไว้ในประกาศจับของตำรวจ ซึ่งช่วยบรรเทาความกลัวบางอย่างของเกาหมิงได้ทันที

'เห้อ เกือบไปแล้ว น่าจะแค่ฆาตกรในคืนฝนตก นึกว่าพ่อแม่จะกลับมาอีกครั้งแล้ว'

เขาละสายตาไปทางห้องนอน ควรจะได้รับรางวัลสำหรับการจบเกม แต่เกาหมิงยังวิตกเกินกว่าจะคว้ามันไว้ เขารีบพันขาด้วยผ้าพันแผลเพื่อสร้างภาพของการบาดเจ็บ ก่อนที่จะหยิบถุงขยะและเปิดประตูอย่างระมัดระวัง อากาศบริสุทธิ์และชื้นทะลักเข้ามาภายในห้อง เกาหมิงเริ่มสูดลมหายใจลึกๆ

ชายในเสื้อกันฝนเริ่มที่จะเดินต่อ แต่แล้วได้ยินเสียงประตูเปิดออก น้ำฝนไหลออกมาจากขอบหมวกขณะที่พยายามปกปิดความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านในสายตา โดยหันความสนใจโดยรวมไปที่กรอบประตู

"ข้างนอกฝนตกหนัก คุณดูเปียกโชกนะ เข้ามาทำความอบอุ่นข้างในห้องผมไหม" เกาหมิงเสนอโดยไม่รอฟังคำตอบจากคนแปลกหน้า และเดินไปที่โต๊ะที่อาหารอย่างเชื้อเชิญ

เมื่อมองดูเกาหมิงซึ่งดูไร้ทางป้องกันโดยสิ้นเชิง ชายในเสื้อกันฝนก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เขาสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บที่ขาซ้ายของเกาหมิงอย่างชัดเจนรวมถึงเค้กที่เหลืออยู่ สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและน่าประทับใจของห้อง ยิ่งเพิ่มแรงกระตุ้นความชั่วร้ายขึ้นมา รอยยิ้มและแววตาอันชั่วร้ายเริ่มปรากฏบนใบหน้า

นี่อาจเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของค่ำคืนธรรมดาและแสนสบายที่คุณเคยมี

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด