ตอนที่แล้วบทที่ 24 ศาลาว่าการลงมือ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 26 นักพรตโซ่วโถวกับจางถูหู

บทที่ 25 เรื่องของตระกูลหลิน


บทที่ 25 เรื่องของตระกูลหลิน

"เข้าใจแล้ว  ไปทำงานของเจ้าเถอะ"

 

หลังจากฟังคำพูดของอีกฝ่าย เสินอี้ก็พยักหน้าเบาๆ

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ถนนหลิวเย่เมื่อวานนี้ ตอนที่เขาถูกปิดกั้น เขาก็คาดการณ์ถึงฉากนี้ไว้แล้ว

วิธีการจัดการของหลิวเตียนลี่เรียกได้ว่าเป็นระเบียบเรียบร้อย สมแล้วที่เป็นคนเก่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี

หากเสินอี้ทำไม่ได้ เขาก็จะกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งเมือง ทำได้แค่ก้มหน้ารับเงื่อนไขของพวกเขาเท่านั้น แต่ถ้าเขาลุยจัดการปีศาจพวกนั้น...  เขาก็กลายเป็นไอ้โง่ไม่ใช่เหรอ?

บนโลกนี้มีใครบ้างที่อยากต่อสู้กับปีศาจโดยไม่มีเหตุผล เปรียบเสมือนการยื่นหัวไปให้โดนยิง แถมยังไม่ได้เงินด้วย แล้วยังต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอีก คนที่ทำก็โง่เต็มทีใช่ไหม?

แต่สิ่งเดียวที่หลิวเตียนลี่ไม่รู้ก็คือ…

เสินอี้ได้รับประโยชน์จากการสังหารปีศาจจริง ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังได้สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง… นั่นคืออายุขัยที่ยืนยาวอย่างแท้จริง

ดังนั้น ในใจของเสินอี้จึงไม่มีคลื่นลมใดๆ

ถ้าจะมีความคิดสักนิด มันก็คงเป็นเพียงความยินดีเล็กน้อย

"ใต้เท้า…”

เฉินจี้รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดเลย เรื่องนี้มันคือเรื่องใหญ่ที่อาจถึงตายได้เลยนะ!

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยอมแพ้ ก้มลงแตะฝักดาบที่เอว

โลกนี้มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังด่าอีกฝ่ายเรื่องทำตัวชั่วช้าอยู่เลย มาวันนี้ เขากลับกลายคนพูดโน้มน้าวด้วยความเป็นห่วง!

เมื่อนึกถึงภาพของเสินอี้ยืนอยู่หน้าหมู่บ้านคนเดียว เขาน่าจะไม่ใช่คนที่พูดเล่นๆ

เฉินจี้หัวเราะเยาะตัวเอง มือที่จับดาบแน่นขึ้น...  แม่งเอ้ย! เรื่องเตรียมงานแต่งน้องสาว ข้าต้องรีบจัดการซะแล้ว

"ท่านต้องมีเงินสินสอนเท่าไหร่ ท่านถึงจะแต่งงาน?"

"หือ? อะไรนะ?" เสินอี้หันกลับมาด้วยความสงสัย

"เปล่า ข้าแค่ถามเล่นๆ" เฉินจี้หายใจเข้าลึกๆ รีบเขี่ยความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวออกไป เรื่องงานก็ส่วนเรื่องงาน อีกฝ่ายถือว่าเป็นหัวหน้าที่ดีคนหนึ่ง แต่ชีวิตส่วนตัวนั้น ช่างยุ่งเหยิง เขาไม่สามารถผลักน้องสาวเข้าสู่กองไฟได้

โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินชัด…

"จริงๆ แล้วข้าชอบคนมีอายุมากกว่าข้าสักหน่อย"

เสินอี้ส่ายหน้า คิดถึงหน้าอกที่อวบอิ่มของพี่สะใภ้แซ่ซ่งอยู่ครู่หนึ่ง

เขาเดินเนิบๆ เข้าไปในห้อง โดยใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่เฉินจี้ยังไม่ทันตั้งตัว

"เดี๋ยวสิ!  เรื่องนี้จบแค่นี้งั้นเหรอ?"

จางต้าหูกระโดดโลดเต้นด้วยความร้อนรน เขาตะโกนใส่ชายร่างใหญ่สองคนที่นั่งอยู่หน้าประตูห้องว่า "พวกเจ้าเป็นใบ้หรือไง! พูดบ้างสิ!"

ก่อนหน้านี้พี่น้องตระกูลหนิวรู้สึกไม่พอใจกับใต้เท้าเสิ่น แต่ตอนนี้ทั้งสองกลับเงียบเหมือนเป่าสาก

"ภรรยาข้าเกือบไม่ให้ข้าเข้าห้องนอนเมื่อวาน"

หนิวต้าเกาหัวตัวเองอย่างเขินอาย ข่าวลือที่เขาติดตามใต้เท้าเสินแพร่กระจายออกไปแล้ว เรื่องนี้เกือบทำให้ครอบครัวของเขามีปัญหา เหมือนกับว่าเขาไปฉุดคร้าบุตรสาวของใครบางคนมาจริงๆ

"แต่เช้าวันนี้ ขณะที่ข้ายังนอนไม่ตื่น ทันใดนั้นนางก็...  อิอิ...  อิอิ...”

เนี่ยต้าพูดไปพูดมา จู่ๆ ก็หัวเราะคิกคัก เอามือถูเป้ากางเกงอย่างแรง

“…” จางต้าหู

“…” เฉินจี้

เสินอี้มองไปอย่างอ่อนใจ เขาพูดเรียบๆ ว่า "เปิดประตูรับผู้ร้องทุกข์เรื่องปีศาจ"

 

โดยปกติแล้ว ชาวบ้านทั่วไปจะไม่ค่อยมาที่ศาลาว่าการ โดยเฉพาะแผนกมือปราบของใต้เท้าเสินผู้โด่งดังในเรื่องความชั่วร้าย

แต่เสินอี้ไม่รีบร้อน…

เขาเคยเห็นความสิ้นหวังของครอบครัวหลิวมาแล้ว ตราบใดที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับปีศาจ พวกเขาจะไม่ปล่อยโอกาสรอดชีวิตใดๆ ให้ผ่านไป โลกนี้ไม่ได้ให้ทางเลือกอื่นแก่พวกเขามากนัก

ประตูแผนกเปิดออก และมีประกาศติดไว้หน้าประตู

ลานห้องหลังนี้กลายเป็น "แผนกมือปราบปีศาจ" เพียงแห่งเดียวในเมืองไป๋อวิ๋น เขาจัดการให้เฉินจี้และจางต้าหูไปสืบข่าว ผลัดเปลี่ยนกับพี่น้องตระกูลหนิวทุกๆ สองชั่วยาม

เสินอี้หลับตาทำทีว่าหลับ เขากำลังพักผ่อนและฟื้นฟูพลัง

สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ…  เพียงครึ่งวันเท่านั้น ก็มีคนมาเคาะประตูแล้ว

ชายที่มาเยือนเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมเพรียว ผิวสีแทน ลักษณะคงทำงานหยาบหร้านมาทั้งชีวิต

เขาโผล่ศีรษะเข้ามาอย่างระแวดระวัง

 

สีหน้าของพี่น้องตระกูลหนิวในลานเปลี่ยนไปทันที ทั้งสองยืนตรงพร้อมเพรียง แม้แต่หนิวต้าที่เพิ่งหัวเราะคิกคัก ตอนนี้กลับดูวิตกกังวล

การฆ่าปีศาจ พูดไปก็แค่ขยับปากสามคำ แต่ปัญหาคือพวกเขาทำงานในเมืองไป๋อวิ๋นมาหลายปี แต่พวกเขาไม่เคยทำเรื่องแบบนี้จริงๆ

"ใต้เท้าเสิน ข้ามีข่าวเรื่องปีศาจ”

ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมเพรียวกลืนน้ำลายด้วยความตึงเครียด สายตาส่ายไปมา เขาเดินเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง โดยมีพี่น้องตระกูลหนิวนำทาง

"ปีศาจอะไร รีบพูดมา" หนิวเอ้อจ้องด้วยสีหน้าตึงเครียด

"ไม่ไม่... ไม่ใช่ปีศาจ  แต่เป็นวิญญาณชั่วร้าย" ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมเพรียวรีบโบกมือ

เมื่อได้ยินดังนั้น เสินอี้ก็ค่อยๆ นั่งตัวตรง

หลังจากมาที่นี่หลายวัน รวมถึงความทรงจำของร่างก่อนด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับข่าวเกี่ยวกับวิญญาณชั่วร้าย

 

"ใจเย็นๆ พูดมาช้าๆ"

เมื่อมองดูสายตาที่สงบของเสินอี้ ชายวัยกลางคนรู้สึกใจเย็นลงมาก เมื่อวานนี้เขาได้ฟังพ่อค้าขายน้ำมันพูดจาโอ้อวด เขายังคิดว่าอีกฝ่ายเมาสุรา ใต้เท้าเสินผู้ชั่วช้าจะกลายเป็นคนใจดีได้อย่างไร? แต่วันนี้เมื่อได้พบตัวจริง เขาก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว

"ข้าไม่ได้เห็นวิญญาณชั่วร้าย  แต่ภรรยาข้าที่เห็น"

เขาพยายามเรียบเรียงคำพูด "ประมาณหนึ่งเดือนที่แล้ว ทุกครั้งที่ฟ้ามืด ข้าจะอาบน้ำในลานบ้าน ภรรยาข้าจะจุดเทียนในห้อง แล้วส่องกระจกหวีผม”

"นางหวีผมไป ยิ้มไป เหมือนกับโดนผีเข้าสิง"

"แค่นั้นยังไม่พอ"

สีหน้าของชายวัยกลางคนยิ่งดูน่ากลัวขึ้น "กลางดึกคืนหนึ่ง ข้าตื่นขึ้นมาเพราะปวดฉี่ ข้าเอื้อมมือไปกอดนาง แต่พอกอดไปแล้วข้าไม่เจอนาง ข้าเลยลุกขึ้นไปหา ท่านลองเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น? นางใส่ชุดลายดอกไม้ยืนอยู่ที่ประตู เส้นผมเปียกโชก ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ รวบรวมความกล้าแตะไหล่นาง  พอนางเห็นว่าเป็นข้า นางกลับกรีดร้องเสียงแหลมเหมือนเจอผี"

"นางบอกว่า นางไม่รู้ว่าตัวเองลุกขึ้นมาได้อย่างไร?  นางจำอะไรไม่ได้เลย”

 

"และตั้งแต่วันนั้น จิตใจข้าก็ไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะนอนหลับเร็วแค่ไหน ข้าก็จะนอนยาวจนถึงเช้า นี่มันต้องเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่สิงร่างภรรยาข้า คอยดูดพลังหยางของข้า ใต้เท้าเสิน!  ภรรยาข้าต้มยาสมุนไพรให้กิน แต่ก็ไม่มีผล ยิ่งกินก็ยิ่งรู้สึกอ่อนเพลีย"

เมื่อฟังชายวัยกลางคนบรรยายอย่างออกรสชาติ สีหน้าของเสินอี้ก็ค่อยๆ แปลกประหลาดขึ้น

"และนางก็ไม่ร่วมเตียงกับข้า หัวเราะคิกคักทั้งวัน ยิ่งดูยิ่งน่ากลัว"

"ที่น่ากลัวที่สุดคือ เมื่อวานนี้ธุรกิจของข้าไม่ดี เลยเก็บร้านกลับบ้านเร็ว ข้าได้ยินเสียงนางกรีดร้องลั่นบ้าน เสียงแหบพร่า ร้องขอความเมตตา เสียงแบบ ‘อ๊า อ๊า..ซี๊ด‘ แบบนี้ ไม่งั้นก็.. ท่านเคยได้ยินเสียงหมูถูกเชือดไหม มันเป็นเสียงแบบนั้นเลย...”

ชายวัยกลางคนกำลังจะแสดงท่าทางประกอบ

เสินอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่พี่น้องตระกูลหนิว พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า "พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าเวรยามตอนกลางคืน จัดการวิญญาณร้ายนี้ให้เขาซะ"

"ขอรับ"

พี่น้องตระกูลหนิวมองชายวัยกลางคนด้วยความเห็นอกเห็นใจ แล้วพาเขาออกไป

 

เสินอี้พิงพนักเก้าอี้หวายอีกครั้ง พลางคลึงนิ้วเบาๆ ที่หว่างคิ้ว

ดูเหมือนว่าการจะหาของดีราคาถูกในเมืองคงไม่ใช่เรื่องง่าย

เดิมทีเมื่อมีปีศาจเข้าเมืองไป๋อวิ๋น ร่างก่อนของเขาจะไปจัดการด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้อาจเพราะปีศาจสุนัขตายหมดแล้ว ข่าวคงแพร่กระจายไปในหมู่ปีศาจ การจะหาเหยื่อก็จะยากขึ้น

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มีร่างหนึ่งรีบบุกเข้ามา

เฉินจี้ยืนหอบหายใจ สีหน้าตึงเครียด แม้จะพยายามกดเสียงให้ต่ำลง แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังความตื่นตะลึงในใจ

"ใต้เท้าเสิน หลิวฉีตายแล้ว"

เมื่อได้ยินดังนั้น เสินอี้ก็เงยหน้ามอง

ถ้าจำไม่ผิด ชื่อนี้เคยถูกพูดถึงครั้งหนึ่ง

หลิวฉี "ฝ่ามือผ่าศิลา"

 

เขาเป็นปรมาจารย์ยุทธที่ตระกูลหลินเชิญมาจากชิงโจว

ใช่แล้ว มันคือตระกูลหลินของหลินไป๋เว่ยนั่นเอง!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด