ตอนที่แล้วตอนที่ 42 รถหรูสามคัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 44 คำขอของ หยางหยิง

ตอนที่ 43 ตระกูลเฉิน ที่แสนจะน่าภาคภูมิใจ


“โอ้..พระเจ้า มากกว่า 1.4 ล้านหยวน?”

แม้ว่าเธอเองจะพอเดาได้ว่ารถคันนี้แพงมาก แต่เมื่อ หยางหยิง ได้ยินราคาที่ลูกชายบอกมา เธอก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

“แม่ครับ ทำไมแม่ถึงต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

“ตอนนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วนะคะ น้องชายหนูคนนี้ตอนนี้เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายอาวุโสของบริษัทแล้ว และได้ยินว่าอีก 2 เดือนเขาจะได้เลื่อนตําแหน่งแล้ว และถึงตอนนั้นก็ขึ้นเป็นผู้อํานวยการฝ่ายของบริษัทแล้ว รายได้เดือนละหลายแสนก็เป็นไปได้”

“และนี่ก็แค่ Range Rover นับเป็นอะไรได้?”

ขณะนี้มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมา

หญิงสาวคนนี้มีหน้าตาสวยอีกทั้งยังดูมีเสน่ห์อย่างมาก อายุประมาณ 30 กว่าปีได้

เธอก็คือ เฉิน เสี่ยวเยว่ ลูกสาวของ หยางหยิง

วันนี้พ่อแม่ของเธอมาที่เมืองม่อ เธอ และน้องชายอย่าง เฉินเหว่ย ก็ย่อมต้องมารับพวกเขาด้วยกัน

“โอ้..จริงหรือ อย่างนั้นก็ดีมากแล้ว”

เมื่อได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ หยางหยิง ก็มีสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข และหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่

ลูกสาวของเธอได้แต่งงานกับคนรวย และลูกชายจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตําแหน่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว

สองความสุขมาพร้อมกันเช่นนี้ ชีวิตก็ต้องเต็มไปด้วยความสมบูรณ์

สำหรับเธอแล้วอะไรจะมีอะไรสุขไปกว่านี้ได้อีก?

จากนั้นเธอก็หันไปมอง ซู กว่างเซิง และอู๋เจวียน แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้มไปว่า : “เฮ้ออ! เจวียนจู(คำเรียกอย่างสนิท) เธอว่าโลกนี้มันแปลกประหลาดดีไหม?”

“คนบางคนก็เกิดมาเพื่อมั่งคั่ง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตามพวกเขาก็จะร่ำรวย”

“แต่คนบางคนเกิดมาแล้ว ไม่มีแม้แต่ความมั่งคั่งในชีวิต แม้คุณจะทำงานอย่างหนักมาตลอดชีวิตก็ไม่ทีท่าว่าจะร่ำรวยได้เลย เธอว่าจริงไหม?”

หยางหยิง พูดอย่างเนิบๆ ดูเหมือนเธอจะหมายถึงบางสิ่งอย่าง และน้ำเสียงของเธอก็ยิ่งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่ไม่อาจยั้งถึงได้

“อ่า..ใช่ เฉินเหว่ย มีความสามารถแล้ว”

“ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินของพวกคุณ ต่อไปจะเจริญรุ่งเรืองเหมือนปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามผ่านประตูมังกรแล้ว” (1)

แม้ว่าจะมีบางอย่างในคำพูดของอีกฝ่าย อู๋เจวียน ก็แค่ยิ้มรับ และพูดออกไป

อย่างไรซะ.. เราทุกคนก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว

หลังจากวันนี้ ต่างคนต่างไปตามเส้นทางถนนหยางกวน(2) และไม่มีผู้ใดข้องแวะกับผู้ใดอีก ซึ่งเวลานี้ก็ปล่อยไป แล้วแต่พวกเขาจะพูดอะไร…

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว..

ในขณะทุกคนคุยกันไป รถก็ขับมาถึงเขตย่านเมืองเก่าแล้ว

ที่จริงแล้วสถานที่อย่างเมืองเก่าแบบนี้ในเมืองม่อมีอยู่ไม่มาก

คนส่วนใหญ่ที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ต่างก็ประกอบอาชีพรับจ้างที่มาจากต่างถิ่น

ตามคำแนะนำของ อู๋เจวียน พวกเขาได้เลี้ยวผ่านสี่แยกก็มาถึงชุมชนในย่านเมืองเก่าแห่งหนึ่ง

จากนั้น เฉินเหว่ย ก็ขับรถเข้าไป

ชุมชนนี้ทรุดโทรมมาก แค่มองผนังด้านนอกที่ก่อด้วยคอนกรีตของอาคารนั้นก็สามารถบอกอายุของมันได้แล้ว

“เจวียนจู ก่อนหน้านี้ที่เธออาศัยอยู่ในเมืองม่อมาสองปีกว่าๆ นั้น แต่เดิมเธออาศัยอยู่ในชุมชนแบบนี้เหรอ?”

ไม่นานหลังจากเข้าสู่ชุมชน ใบหน้าของ หยางหยิง ก็เผยให้เห็นถึงสีหน้าตกใจปนประหลาดใจ

“อ่า..ใช่ ที่นี่ก็ดูโทรมเกินไป”

เฉิน เสี่ยวเยว่ ก็มีสีหน้าเดียวกัน และเธอมองออกไปด้วยความไม่อยากเชื่อเช่นกัน

ชุมชนแบบนี้ต่อให้ทุบตีเธอแค่ตาย เธอก็ไม่ยอมมาอยู่ที่นี่ด้วยแน่

แต่เมื่อนึกถึงสภาพความเป็นอยู่ของตระกูลซูเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทําไม ในใจของเธอถึงได้มีความภาคภูมิใจ และมีความสุขขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก..

ที่เรียกว่า การไม่อยากเห็นคนอื่นสุขสบาย ได้ดิบได้ดี บางทีอาจหมายถึงทัศนคติแบบนี้ของเธอก็ได้มั้ง?

“ฮ่าฮ่าๆ พวกเรามันเป็นคนง่ายๆ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอะไรขนาดนั้นหรอก”

ซู กว่างเซิง ที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดทาง กลับยิ้มหัวเราะ และพูดด้วยท่าทางที่ไม่ใส่อะไร

ระหว่างการพูดคุยกัน

รถได้เข้าจอดอยู่ใต้อาคารที่ตระกูลซูอาศัยอยู่ จากนั้นทุกคนก็ลงจากรถ

ซู กว่างเซิง และอู๋เจวียน ก็พาครอบครัวเฉิน เดินขึ้นไปชั้นบน

ไม่กี่นาทีต่อมา ในที่สุดทุกคนก็มาถึงบ้านของ ซูเหวิน

มันเป็นบ้านหลังเล็ก ไม่เกิน 70 ตารางเมตร

มี 2 ห้องนอน และมีห้องรับแขกเล็กๆ ห้องน้ำ และห้องครัว

แต่ละพื้นที่มีขนาดเล็กมาก แต่ก็ค่อนข้างสะอาดมาก

“เจวียนจู นี่คือบ้านที่เธอเช่าในเมืองม่อ?”

ทันทีพอ หยางหยิง เข้ามาก็มองไปมารอบๆ และอดไม่ได้ที่จะพูดติดขำๆ

“อืม..ใช่ บ้านของเราค่อนข้างคับแคบ ละเลยทุกคนแล้ว อย่ารังเกียจเลยนะ”

อู๋เจวียน โบกมือเพื่อเชิญทุกคนให้นั่งลงก่อน

“ไม่รังเกียจหรอกน่า.. แต่ก็ว่าเถอะนะชีวิตความเป็นอยู่ของพวกคุณแบบนี้ก็ดูน่าสังเวชเกินไปจริงๆ”

ปากบอกว่าไม่รังเกียจ แต่ หยางหยิง ก็ยังเม้มริมผีปาก และทําท่าออกจะรังเกียจสถานที่นี่

จากนั้นเธอก็กล่าวเสริมว่า : “โชคดีที่ลูกเขยของฉันรู้จักรักพ่อตาแม่ยายตัวเอง ดูสิเขาซื้อบ้านให้กับเรา ไม่งั้นเราคงจะไม่ย้ายมาที่เมืองม่อ ไม่งั้นเกรงว่าเราจะต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านแบบนี้”

หลังจากพูดจบไปอย่างนั้น สีหน้าของเธอก็ดูมีความสุขมาก..

แต่ใครล่ะ ..จะไม่ได้ยินถึงความภาคภูมิใจในคําพูดนี้ของเธอ?

“เราจะไปเปรียบเทียบกับพวกคุณได้อย่างไร ตระกูลซู ของเราอาศัยอยู่ที่นี่มาก็หลายปีแล้วจะว่าไปเราเองคุ้นเคยกับมันแล้วด้วยนะ”

“รอจนกว่า เสี่ยวเหวิน เรียนจบมหาวิทยาลัย เราก็สบายใจได้แล้ว”

พ่อของ ซูเหวิน พูดจากใจจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวเฉินยังไม่ลืมที่จะกล่าวโจมตีไปว่า : “ลุงกว่าง  ป้าอู๋ ไม่ใช่ว่าผม เฉินเหว่ย จงใจพูดจาดูถูกนะ!”

“แม้ว่า เสี่ยวเหวิน จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในอีกสองปีข้างหน้า แต่ก็ใช่ว่าจะหางานที่ดีทำได้”

“รูปแบบการจ้างงานในปัจจุบันก็เป็นแบบนี้ นักศึกษาจบใหม่มีมากเกินไป การแข่งขันแน่นอนว่าต้องมากตาม และต่อให้มีความสามารถแค่ไหน หากคนอื่นไม่เห็น หรือมีความขัดแย้งเล็กๆ น้อย ก็ลืมเรื่องหางานทำได้เลย”

“แล้วจะทําอย่างไรได้บ้างล่ะ?”

ซู กว่างเซิง ตกตะลึง เขาไม่คิดว่านักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยใหม่ๆ จะหางานทำได้ยากขนาดนี้

เฉินเหว่ย ขมวดคิ้ว และพูดต่อว่า : “เว้นเสียแต่จะเรียนจบปริญญาโท แต่ด้วยวิธีนี้ ก็ต้องใช้เงิน และเวลามากขึ้น”

พูดจบเขาก็ส่ายศีรษะ

“หนูคิดว่า.. ถ้า เสี่ยวเหวิน จบมหาวิทยาลัยออกมาแล้ว ให้ อาเหว่ย จัดหางานให้กับเขา และปล่อยให้เขาร่วมงานกับ อาเหว่ย ดีกว่า”

“ขอแค่เขาซื่อสัตย์ ขยันหมั่นเพียร การใช้ชีวิตในเมืองม่อก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร”

เฉิน เสี่ยวเยว่ พี่สาวของ เฉินเหว่ย พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ อีกทั้งการแสดงออกบนใบหน้าของเธอเอง ..ดูจะสูงส่งไม่น้อย

มันเหมือนราวกับคนระดับบิ๊กมาเจอขอทานเข้า แล้วเกิดมีความสงสารจึงยื่นข้าวให้แก่อีกฝ่าย…

“ใช่ นั่นเป็นความคิดที่ดี”

“กว่างเซิง เจวียนจู ตอนนี้ อาเหว่ย เป็นผู้จัดการฝ่ายอาวุโสของบริษัทแล้ว และอีกไม่กี่เดือนอาจจะได้เลื่อนตําแหน่งขึ้นอีก”

“ให้ลูกชายของพวกคุณออกมาติดตามเขาเถอะ ต่อไปอาจจะมีโอกาสโดดเด่นขึ้นก็ได้ในอนาคต”

ดวงตาของ หยางหยิง สว่างขึ้น และเธอก็พูดออกไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำ

แต่ในความเห็นของเธอ ถ้าลูกชายของ อู๋เจวียน เรียนจบ และติดตาม อาเหว่ย ตระกูลเฉิน ของเธอก็จะยืนอยู่เหนือ ตระกูลซู ..ตลอดไป

เพราะแม้แต่งานของ ซูเหวิน สามีภรรยาคู่นี้ก็อาจจะต้องมาเอาใจเธอในทุกวัน

และหากข่าวนี้แพร่กระจายไปถึงบ้านเกิดของเธอ ไม่ใช่ว่า ตระกูลเฉิน ของพวกเราจะมีหน้ามีตาหรอกหรือยังไง?

“ฮ่าฮ่าๆ! ป้าหยาง ผมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำจิตน้ำใจของคุณแล้ว”

“เพียงแต่ว่า ผม.. ซูเหวิน ไม่มีแผนที่จะเข้าทำงานในบริษัทของคนอื่น และทํางานแทนคนอื่น ดังนั้นคําแนะนําของคุณ ผมจึงทำได้แค่ ขอบคุณเท่านั้นครับ…”

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันรอให้ หยางหยิง วาดภาพเพ้อฝันในจินตนาการเสร็จ

เพราะทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทําลายบรรยากาศที่แปลกประหลาดนี้

ทุกคนจึงมองย้อนกลับไป เห็นแต่เพียง ซูเหวิน ที่เดินเปิดประตูเข้ามาจากข้างนอก อีกทั้งไม่มีใครรู้ว่าเขามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่..

“เสี่ยวเหวิน ลูกกลับมาแล้ว”

พอเห็นว่าเป็นลูกชายของตัวเองกลับมาแล้ว ซู กว่างเซิง และอู๋เจวียน ก็ยิ้มต้อนรับทันที

“นั่นคือ เสี่ยวเหวิน!”

“มันนานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นเขา สูงขนาดนี้ อีกทั้งยังหล่อขนาดนี้แล้ว”

หยางหยิง พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทันที

เพียงแต่คําพูดของ ซูเหวิน ก่อนหน้านี้เท่านั้น ที่มันดูหยิ่งเกินไปหน่อย ซึ่งทําให้เธอรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เธอจึงเปิดปากออกไปอีกครั้งว่า : “เสี่ยวเหวิน เรียนอยู่มหาวิทยาลัยในเมืองม่อนี้มาก็สอง หรือสามปีได้แล้วมั้ง มีแฟนหรือยังล่ะ?”

“ยังเลยครับ”

ซูเหวิน ตอบตามความจริง ด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

หยางหยิง ถอนหายใจแล้วพูดว่า : “เธอเรียนมหาวิทยาลัยมาสองปีกว่าได้แล้วมั้ง ทําไมยังหาแฟนไม่ได้อีก? ไม่กลัวที่จะเสียใจเหรอไง?”

“แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็โทษเธอไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ความผิดเธอหรอกนะ”

“สมัยนี้ความรักต้องใช้เงินเยอะมาก ชีวิตครอบครัวของพวกคุณเองลําบากขนาดนี้ จะมีเงินไปทุ่มเทในเรื่องความรักได้ยังไงล่ะ จริงมั้ย?”

(1)[ปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามผ่านประตูมังกร (鲤鱼跳龙门)] - การใช้ความพยายาม เเละความกล้าหาญฝ่าฟันอุปสรรค นอกจากนี้ยังเป็นคำอุปมาสำหรับสิ่งต่างๆ เช่น การได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง และสิ่งอื่นๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

(2)[ถนนหยางกวน (阳关道)] - หมายถึง หนทางที่สะดวกสบาย มีที่มาจาก สถานที่ในเส้นทางสายไหมของจีนที่มุ่งสู่ตะวันตก อยู่บริเวณเขตตุนหวง มณฑลกานซู ในปัจจุบัน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด