ตอนที่แล้วบทที่ 076 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 078 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(4)

บทที่ 077 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(3)


บทที่ 077 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(3)

* * *

‘พวกมันมาอีกแล้ว’

ฮานนั้นเป็นทหารผ่านศึก เขาพูดกับตัวเองในใจตอนที่ได้เห็นฝูงออร์คจากที่ไกลๆ นี่ก็ผ่านมา 15 ปี แล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้มาอยู่ในหน่วยภูเขา

เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้เล็กๆนับไม่ถ้วน หรือว่าง่ายๆ เขาเป็นทหารที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สำหรับเขาแล้วการที่ออร์คพวกนั้นเข้ามาใกล้นั้นไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากการเพิ่มเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์การรบของเขา

ดินแดนทางเหนือของแผ่นดินนั้นเป็นสถานที่ทีมีปราสาทจอมมารอยู่หนาแน่น

ในการที่จะบุกเข้าไปในศูนย์กลางของทวีปที่เป็นที่ตั้งส่วนใหญ่ของประเทศมนุษย์ คุณต้องผ่านเข้าไปทางนั้น ภูเขาดำ

ค่ายด่านหน้าจำนวนมากและป้อมปราการอีกนับไม่ถ้วนสร้างขึ้นบนภูเขาดำเพื่อป้องกันการบุก จากตำแหน่งที่อยู่นั้น ฮานอยู่ในค่ายที่ใกล้กับแนวหน้า

ที่แนวหน้านั้นเป็นสถานที่ที่โดดเดี่ยว ไม่มีใครมาห้ามด้วยซ้ำหากคุณจะทิ้งตำแหน่งประจำที่ไป เขานั้นมีสหายศึก แต่หากเขาหนีไปพร้อมๆกับสหายพวกนั้น ทุกอย่างก็จบกัน

แต่ถึงอย่างนั้น ฮานและพรรคพวกต่างปกป้องแนวหน้ามา 15 ปีแล้ว พวกเขาทำด้วยความเต็มใจในขณะที่ภาคภูมิใจกับอาชีพทหาร

มันไม่ได้เป็นเพราะทหารเป็นอาชีพที่มีเกียรติสำหรับผู้ชายหรอก ฮานนั้นดูถูกเจ้าพวกที่ไปอ้างว่า การเป็นทหารนั้นเป็นอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก

เขาไม่ใช่พวกรักชาติด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่แต่พวกชนชั้นสูงในจักรวรรดิฮับบวร์กที่ยึดมั่นในอำนาจเหนือประเทศที่ตนเกิดมาหรอก ฮานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นใต้การปกครอง เขาเป็นชาวบ้านทั่วไป สิ่งที่เขารักคือบ้านเกิด ไม่ใช่ชาติ ฮานนั้นยึดมั่นในหน้าที่ของตนยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่า ความรักชาติ

สุนัขเฝ้าระวังของมนุษย์ชาติ

ทหารรักษาการณ์ด้านหลังของภูเขาดำเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วที่แนวหน้าทันทีเมื่อพบกับบุกเข้ามาของกองกำลังจอมมาร และสามารถระบุเส้นทางของพวกนั้นได้อย่างแม่นยำ หากแนวป้อมถูกทำลายแล้ว จอมมารก็จะเข้ามายังทวีปได้อย่างเสรี ซึ่งมันเป็นภาพน่ากลัวเกินจะจินตนาการ

ไม่ใช่เพียงแต่ฮานคนเดียวเท่านั้น แต่ทหารยามทุกคนในแนวหน้าของภูเขาดำต่างเชื่อว่า การที่ทั้งทวีปจะเป็นทะเลเพลิงหรือไม่นั้นขึ้นกับพวกเขา

พวกเขาอุทิศตนให้กับการเดินเวรยาม และไม่พลาดที่จะเฝ้าระวังศัตรูที่เข้ามา ทั้งแนวรบเส้นที่สอง เส้นที่สาม และเส้นที่สี่ ……พวกเขาเชื่อใจในสหายศึก

เหล่ามาร์คกราฟ*นั้นมักจะส่งเสบียงมาช้า ทหารยามเองจึงออกล่าสัตว์ ทหารยามหลายคนนั้นเป็นทั้งช่างตีเหล็ก คนอบขนมปัง ยิ่งไปกว่านั้น มีคนที่เป็น นักเวทย์ระดับสองวงด้วย แม้จะมีจำนวนน้อยแต่ก็เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งไม่ต้องพึ่งการสนับสนุนจากภายนอก

มีชาติมากมายที่ขึ้นสู่สูงสุดและตกต่ำในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา แต่ภูเขาดำแห่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ยังคงเฝ้าดูแลภูเขาและรายงานให้เร็วที่สุดเมื่อมีมอนสเตอร์บุกเข้ามา

……. จะเป็นตอนนี้หรือ 2,000 ที่แล้ว หน้าที่ของผู้เฝ้ายามก็ยังคงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับที่มนุษย์กับมอนสเตอร์เป็นศัตรูกันตลอดกาล หน้าที่ของผู้เฝ้ายามก็คงเป็นเช่นนั้นตลอดไป จิตวิญญาณที่ส่งต่อสืบทอดไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดของฮาน

‘ฉันควรจะไปพบกับคนอื่นที่ป้อมยามก่อน’

นับเป็นโชคดีพื้นที่ที่เขาลาดตระเวณไม่ไกลจากค่ายนัก ฮานเร่งปีนเขากลับขึ้นไปที่ค่าย สหายของเขาที่รออยู่ที่โครงสร้างหินด้านนอก

ค่ายนี้สร้างขึ้นเมื่อ 200ปีที่แล้ว พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับอากาศสดชื่นและกำลังเล่นหมากรุกกัน

“ฝูงมอนสเตอร์เข้ามาใกล้แล้ว”

“แม่งเอ๊ย อีกแล้วเหรอวะ?”

สหายของเขาบ่นขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นปากก็บ่นไปแต่ก็ขยับตัวอย่างรวดเร็ว เขาได้วางเกราะลงก่อนที่ฮานจะรายงานจบ

“กลุ่มผสม ออร์ค(Orc) ก็อบลิน และโกเลมระดับต่ำ มีออเกอร์(Orge) 5 ตัว  จำนวนก็เกือบ 500ตัว”

“นี่มันบุกเต็มกำลังเลยนี่หว่า? เกือบ2ปีได้แล้วนะ นับตั้งแต่ที่เจอมอนสเตอร์บุกมาถึง 500 ตัวเนี่ย?”

เฟรเดอริก หัวหน้าของค่ายนี้ แสดงความเห็นกับรายงาน ออร์ค,ก็อบลินและโกเลมระดับต่ำนั้นเป็นศัตรูที่เล็กน้อย ถ้ามีทหารยามจากป้อมค่ายสัก 50 ค่ายอยู่ใกล้ การจัดการพวกมันก็เป็นเรื่องง่ายมาก

หัวหน้าเฟรเดอริกเพียงคนเดียวก็ฆ่าออร์คไป 32 ตัว และก็อบลินนับร้อยตัวตลอดชีวิตของเขา จึงไม่มีอะไรให้ต้องกลัว

สหายของพวกเขาพูดคุยกันระหว่างที่สวมอุปกรณ์

“พวกนายคิดว่า มีจอมมารกี่กลุ่มถึงรวมกันได้ 500?”

“อาจจะสองหรือสาม ฮาน มีป้ายธงอยู่เท่าไหร่?”

“3 ฉันยืนยันว่า มี 3”

เฟรเดอริกลูบหนวด

“จอมมาร 3 ตัวรึ หืม? อาจมีจอมมารระดับสูงที่เป็นหัวหน้ากอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นการรวมกำลังกันของจอมมารระดับเดียวกัน สามตน สถานการณ์ทั้งสองอย่างนั่นมันแตกต่างกันมากทีเดียว”

ฮานผงกหัว

“มันไกลมาก ฉันยืนยันไม่ได้ถึงสัญลักษณ์บนธง แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็มาพร้อมกันออเกอร์ 5 ตัว มีโอกาสสูงมากที่พวกมันจะอยู่ใต้การบัญชาของจอมมารตนหนึ่ง”

สหายศึกต่างกลืนน้ำลาย

ออเกอร์นั้นอันตราย พวกมันเป็นเจ้าของภูเขาตัวจริง

ตามปรกติแล้ว ภูเขาลูกหนึ่งก็จะมีออเกอร์ตัวเดียว ที่คอยคุมพื้นที่ หากเทียบกับมนุษย์แล้ว ออเกอร์ก็เหมือนท่านลอร์ดแห่งดินแดนเล็กๆแห่งหนึ่ง ส่วนออร์คกับก็อบลินก็เหมือนสามัญชน

ทหารคนหนึ่งซ่อนความไม่สบายใจไว้แล้วพูดออกมา

“เราควรทำยังไงครับ หัวหน้า? มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะจัดเองไหว”

“แบ่งเป็นสามกลุ่ม ฟาเบียน,นายไปกับโอลิเวอร์แล้วรายงานค่ายอื่นที่อยู่ใกล้เรื่อง การมาของออร์ค นายมีหน้าที่เดียวคือ รายงานกับพวกใกล้ๆนี้โดยตรง”

“รับทราบครับ”

เหล่าทหารต่างพร้อมใจกันถอดเกราะ ไม่มีเหตุผลที่จะสวมเชนเมล์และถือโล่หากเขาเพียงจะไปแจ้งข่าวให้ค่ายอื่นรู้ เขาควรทำตัวให้เบาที่สุดเพื่อให้คล่องตัว

“แล้วหลังจากนั้นพวกเราจะทำยังไงกันต่อ?”

“หนีไปที่ป้อมปราการภูเขา พวกเราจะเผชิญหน้ามันพวกมันที่นั่น บรูโน่ นายกับนิโคลัสไปเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้วไปยังป้อมเดี๋ยวนี้”

“รับทราบครับ หัวหน้า”

เฟรเดอริคสวมหมวก มันเป็นหมวกที่เคลือบถ่านเพื่อไม่ให้สะท้อนแสง

“ข้าจะไปพร้อมกับคนที่เหลือ เพื่อตามหลังพวกออร์ค ฮาน นำทางไป”

“รับทราบ”

“หนุ่มๆ นี่ก็นับเป็นครั้งแรกในช่วง 2 ปี ที่เจอมอนสเตอร์บุกเข้ามาถึง 500ตัว

จึงอยู่ที่ป้อมปราการของมนุษยชาติไม่มีทางพังทลายลงเพราะไอ้พวก 500 ตัวนั่น แต่เราก็ต้องลดความเสียหายให้น้อยที่สุด นี่ถ้าค่ายของเราเป็นค่ายแรกที่พบเห็นการบุกนี้ ภารกิจของเราน่าจะหนักหนากว่านี้มาก ดังนั้นทำด้วยความรวดเร็ว”

กลุ่มทหารยามพยักหน้า แม้จะทำตัวสบายๆแต่ดวงตาของพวกเขานั้นคมกริบ เฟรเดอริคดูจะพอใจกับทหารผู้ช่ำช่องในหน่วยของตน และเริ่มท่องบทสวด มันเป็นบทสวดที่ส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษของเขา ผู้เฝ้ายามจากรุ่นสู่รุ่น ส่งต่อกันมาถึง 2,000ปี

“⎯⎯จนกว่าจะถึงวันที่ความชั่วร้ายทั้งหมดจะถูกกำจัด”

ทั้งหน่วยของเขาตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน

“พวกเราหมาล่าเนื้อของมนุษยชาติ!”

* * *

ที่ศูนย์บัญชาการของผู้พันเซปาร์ การประชุมวันนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงจากเมื่อวานที่คุยกันอย่างสบายใจ พวกเราเริ่มพูดคุยกันเรื่องปฏิบัติการตั้งแต่แรก จอมมารหน้าใหม่ที่ดูจะตื่นเต้นเมื่อวานคงได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศ จึงตั้งใจฟังเงียบๆถึงเนื้อหาของปฏิบัติการณ์

“บทบาทของพวกเราในฐานะแนวนั้น คือ การยึดกำแพงนอกสุดของพวกมนุษย์ตรงนี้”

เซปาร์ชี้ไปที่แผนที่ด้วยไม้คทา

“เป้าหมายของพวกเรา คือ ป้อมปราการเขียว หากพวกเราไม่ใส่ใจป้อมปราการเขียวแล้วยังบุกต่อไป พวกเราจะถูกแบ่งแยกจากทัพหลัก พวกมนุษย์จะสามารถเชื่อมต่อกับป้อมปราการอื่นแล้วบีบให้เราต้องกระจายกำลังจากทัพหลัก  พวกเราต้องยึดป้อมปราการเขียวให้ได้ด้วยทุกอย่างที่มี เพื่อให้สามารถบุกต่อได้อย่างปลอดภัย”

ภูเขาดำ

มันเป็นทิวเขาทางธรรมชาติที่ทำตัวเหมือนเป็นเส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับจอมมาร มันมีสามเส้นทางที่กว้างพอจะให้กองกำลังขนาดใหญ่ผ่านไปได้ แต่ละเส้นทางนั้นนำไปสู่ ราชอาณาจักรทิวทัน ราชอาณาจักรโพลิช-ลิทัวเนีย และจักรวรรดิฮับบวร์ก

แผนการหลักของการเดินทัพไปสู่ศูนย์กลางของทวีปมีดังต่อไปนี้:

(1) ลำดับ 9 ไพมอน เธอจะนำกองทัพภาค 1 แห่งกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายภูเขา โดยกองทัพภาค 1 จะเดินทัพผ่านเส้นทางแรกมุ่งสู่ราชอาณาจักรทิวทัน

(2) ลำดับ 5 มาร์บาส เขาจะนำกองทัพภาค 2 แห่งกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายเป็นกลาง โดยกองทัพภาค 2 จะเดินทัพผ่านเส้นทางที่สองมุ่งสู่ราชอาณาจักรโพลิช-ลิทัวเนีย

(3) ลำดับ 8 บาร์บาทอส เธอจะนำกองทัพภาค 6 แห่งกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทรา ฝ่ายที่ราบ โดยกองทัพภาค 6 จะเดินทัพผ่านเส้นทางแรกมุ่งสู่จักรวรรดิฮับบวร์ก

นั่นคือ ปฏิบัติการณ์แรกของแผนใหญ่ เป้าหมายของปฏิบัติการณ์นี้คือ ทำให้ทั้งภูเขาดำนั้นตกอยู่ในการควบคุมของทัพพันธมิตร เหตุผลที่เราต้องบุกเข้าไปพร้อมกันทั้ง 3 เส้นทางในคราวเดียวก็เพื่อแบ่งแยกกองกำลังทหารของอีกฝ่ายให้มากที่สุด

หลังจากทั้งกองทัพพันธมิตรเสี้ยวจันทราระดมกำลังกัน ครั้งแรก,ครั้งที่สองและครั้งที่สาม จอมมารก็มุ่งเป้าที่จะไปโจมตีภูเขาดำด้วยทัพเดียว ผลที่ได้คือ ล้มเหลวทุกครั้ง

พื้นที่ภูเขาดำนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก มันจึงต้องใช้เวลากว่าที่กองทัพพันธมิตรจะข้ามเส้นทางฝ่ากองกำลังมนุษย์ไปยังจุดๆเดียว แถมทัพพันธมิตรยังต้องย่ำผ่านพื้นที่ภูเขาที่เดินทัพลำบากอีกด้วย

ในขณะที่ฝ่ายกองทัพมนุษย์นั้นผ่านทุ่งหญ้าและทางเรียบ ดังนั้นพวกมาร์คเกรฟของมนุษย์ก็แค่อุดป้องเส้นทางเดียว กองกำลังแต่ละประเทศก็สามารถที่จะรวมกำลังกันแล้วเผชิญหน้ากับพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้แล้ว…….

ผลจากการนำของกองพันธมิตรผ่านประสบการณ์พ่ายแพ้มามากมายหลายครั้ง พวกเขาจึงพยายามแยกกองกำลังของมนุษย์ด้วยวิธีการการแบ่งแยกกองกำลังฝ่ายตน

สิ่งที่ต่างกันชัดๆคือ ฝ่ายมนุษย์ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อรวมตัวกัน ในขณะที่ฝายจอมมารพอรวมตัวกันก็กลับมีแต่ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้นมากขึ้น

……. นั่นคือ สาเหตุว่าทำไมกองทัพแต่ละภาคถึงได้รวมกลุ่มกันตามฝักฝ่ายตน เพื่อให้อย่างน้อยที่สุดก็ลดปัญหาความแตกแยกภายใน โดยให้พวกเดียวกันมาอยู่ด้วยกัน แต่ถึงอย่างนั้น ความขัดแย้งภายในก็ไม่เคยหมดไป นับตั้งแต่จัดตั้งพันธมิตรครั้งที่ 4 จนถึงครั้งที่ 7

เอาล่ะตอนนี้มา ตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับ กองทัพภาค 6 ของเรากันดีกว่า

พวกเราต้องผ่านทางเส้นที่ 3 ของภูเขาดำ ซึ่งเป็นแนวป้องกันที่แน่นหนาที่สุด เพราะเราต้องผ่านป้อมปราการไม่ต่ำกว่า 4 แห่งเพื่อจะเข้าไปใกล้ชายแดนของจักรวรรดิฮับบวร์ก

ประตูที่ 1 ป้อมปราการเขียว

ประตูที่ 2 ป้อมปราการน้ำเงิน

ประตูที่ 3 ป้อมปราการทอง

และสุดท้ายประตูที่ 4 ป้อมปราการแดง

ความจริงแล้ว พวกป้อมปราการนั่นเป็นเครื่องกีดขวางที่สูงเสียจนน่ารังเกียจ

และยิ่งใกล้ป้อมปราการชั้นในมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้นถึงจะหาทางไปถึงป้อมปราการทองได้ แต่ป้องปราการแดงนั้นแทบไม่มีทางเจาะเข้าได้เลย

ปัญหา คือ เรื่องของเวลาที่ใช้มากเกินไปในการเจาะสามป้อมปราการ พวกมาร์คเกรฟจอมแสบแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กจะเตรียมกองกำลังทหารจนเสร็จแล้วรอพวกเราที่ป้อมปราการแดงเมื่อเราจัดการสามป้อมแรกเสร็จแล้ว

…….และที่แย่ลงไปอีกคือ กองกำลังทหารของเราที่อ่อนล้าหลังจากทะลวงป้อมปราการมานานแล้ว ในขณะที่เหล่ามนุษย์นั้นอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด แถมยังมารวมทัพกัน ก็เห็นชัดๆอยู่แล้วนี่ว่าใครจะชนะ

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต้องรักษากำลังทหารไว้ให้มากที่สุดจนกว่าจะถึงป้อมปราการแดง

บทบาทของพวกเราในฐานะแนวหน้า คือ การยึดประตูแรกให้ได้ ป้อมปราการเขียว และหากเป็นไปได้ก็ไปให้ถึงป้อมปราการน้ำเงิน แค่นั้นแหละ ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของกองกำลังหลัก

เซปาร์พูดขึ้น

“ป้อมปราการเขียวนั้นมีกำลังพลประมาณ 500 นายรออยู่ เทียบกับพวกมันแล้ว พวกเรามีกำลังพล 2,000 นาย ถ้าศัตรูใช้ประโยชน์จากป้อมปราการ พวกเรามีออเกอร์ 10 ตัว”

“ดังนั้นพวกเราชนะแน่นอน!”

ลำดับ 58 เอมิอิอ้างขึ้น มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นใครที่มั่นใจในการชนะทั้งที่การต่อสู้ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ ผมเห็นด้วยเรื่องที่ป้อมปราการเขียวจะถูกทำลายได้โดยง่าย ไม่มีทางหรอกที่ป้อมปราการเขียวมันจะทนได้หากออเกอร์ทั้ง 10 บุกเข้าไปพร้อมๆกัน

เซปาร์ดูจะเห็นด้วยจึงพยักหน้า

“นั่นถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้น จดจำไว้ด้วยว่า การได้รับชัยชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือ ชัยชนะอันท่วมท้นที่พวกเราจะได้รับ พวกเราต้องรักษากำลังรบให้มากที่สุดเพื่อสู้ต่อไปจนถึงป้อมปราการแดง ข้าไม่อนุญาตให้มีการสิ้นเปลืองกำลังทหารโดยไม่ระวัง”

จอมมารทุกตนตอนนี้ต่างตอบรับกันอย่างแข็งขัน บรรยากาศเหมือนพวกเราชนะไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“โปรดมอบพวกออเกอร์ให้ข้า!”

“ไม่ มอบพวกมันให้ฉันเถอะ! นายพลเซปาร์ ฉันจะทำลายประตูพวกนั้นโดยไม่ให้เสียออเกอร์เลยแม้แต่ตัวเดียวเอง!”

โอ้ แหมที่รัก พวกเราเริ่มทะเลาะกันว่า ใครจะได้รับความสำเร็จนั่นไป…….

พูดกันตามตรง พวกเขาออกจะคึกคักมากเกินไปหน่อย นายพลเซปาร์ก็เพิ่งเตือนไปแล้วว่า ให้ใช้กองทหารถนอมๆกันหน่อย พวกนายควรจะคิดบ้างว่าจะทำยังไงให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่เซปาร์พอใจนะ

“หืมม มีใครมีความเห็นดีๆบ้างไหม?”

เห็นไหมล่ะ? เซปาร์ถึงได้ถามอย่างนั้น พวกนายต้องเป็นลูกน้องที่อ่านออกนะว่าหัวหน้ากำลังคิดอะไรอยู่

เอมิอิพูดอย่างมั่นใจ

“พวกเราจะบุกไปทางข้างหน้า พวกเรามี ออเกอร์10ตัว! พวกมนุษย์พวกนั้นก็แทบจะเยี่ยวราดแล้ววิ่งหนีไปแล้ว”

จอมมารหน้าใหม่อีก 2 ตนนั้นก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น เฮ่อ ดันไปตอบอย่างที่ไม่ควรตอบซะอย่างนั้น

ถ้าหากพวกนั้นเป็นแค่ทหารมนุษย์ธรรมดา ที่เอมิอิพูดมามันก็ถูกหรอก พวกทหารธรรมดานั่นน่ะ แค่เห็นผมออเกอร์เข้าก็วิ่งหางจุกตูดแบบไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ  แต่พวกทหารที่เฝ้าอยู่ที่ภูเขาดำไม่ใช่ทหารธรรมดานี่สิ

ทหารภูเขานั้นเต็มไปด้วยกลุ่มทหารที่ฝึกมาดีแล้วและทหารอาสาสมัคร

ทหารที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา จะอยู่แนวหน้าเพื่อปกป้องมนุษยชาติ นี่ถ้าพวกเขาตาขาววิ่งหนีไปเพียงเพราะเห็นออเกอร์ พวกเขาคงไม่ถูกจัดมาให้เฝ้าอยู่ที่ภูเขาดำตั้งแต่แรกแล้วล่ะ

“……มีความคิดอื่นอีกไหม?”

เซปาร์ถามพลางจะถอนใจไปด้วย ผมเริ่มจินตนาการเห็นภาพบางอย่าง แต่ก็ดูเหมือนเขากำลังจ้องมาที่ผม

ผมจึงพูดขึ้นอย่างนอบน้อม

“ท่านครับ ข้ามีไอเดียว่า เราควรแบ่งกองกำลังเราออกเป็นสอง”

“แบ่งออกเป็นสอง?”

เซปาร์ทำหน้างง ในชั่วขณะที่เขาทำหน้าแบบนั้น เอมิอิก็ยั่วโมโหผม

“ฮ่า! ดูเหมือนแกจะไม่เข้าใจกลยุทธอะไรเลยนี่หว่า การรวมกำลังกันแล้วจู่โจมเปรี้ยงจุดเดียว มันเป็นกลยุทธพื้นฐาน ดันทาเลี่ยน นี่แน่ใจนะว่าไม่ได้ดูถูกกองกำลังอีกฝ่ายมากเกินไปน่ะ?”

“แน่นอนว่าไม่”

ผมแอบหัวเราะในใจ คนที่ดูถูกกองกำลังศัตรูไม่ใช่ผมหรอก แกต่างหาก

เอมิอิดูน่าเอ็นดูไปเลย ระหว่างที่ดูใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูนั่น ตอนนี้ก็หุบปากไปก่อน ผมเป็นคนเดียวที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ในกองกำลังฝ่ายมนุษย์

มีอะไรให้ต้องซ่อนอีกเหรอ? ใน<Dungeon Attack>

ผมเคยเผชิญหน้ากับกองกำลังจอมมารในทุกๆป้อมปราการ

ดังนั้นผมจึงล่วงรู้จุดอ่อนของกองทัพมนุษย์ราวกับเป็นหลังมือตัวเอง แม้ป้อมปราการทั้ง 4 ดูเหมือนจะไม่มีเจาะเข้าได้จากภายนอก แต่ความจริงมันมีจุดอ่อนสำคัญอยู่ พวกเราก็แค่เจาะไปที่จุดนั้น

นี่คือ กลยุทธที่ประสบความสำเร็จใน <Dungeon Attack>

—--

*มาร์คกราฟ เป็นบรรดาศักดิ์ขุนนางสืบตระกูลที่ปรากฏในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ปกครองดินแดนที่เรียกว่าแคว้นชายแดน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด