ตอนที่แล้วบทที่ 075- สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 077 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(3)

บทที่ 076 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(2)


บทที่ 076 - สุนัขเฝ้าระวังของมนุษยชาติ(2)

การประชุมมาถึงจุดสิ้นสุด สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงการพูดคุยกันถึงความต้อยต่ำของพวกมนุษย์

มันน่ารังเกียจมาก การดูถูกคู่ต่อสู้เป็นหนทางไปสู่ความพ่ายแพ้ มันคงดีกว่าถ้าจะดูถูกเจ้าพวกนั้น พวกจอมมารหน้าใหม่นั้นขยันสร้างหนทางในการพ่ายแพ้ พวกเขาน่ะมีข้ออ้างสำหรับการกระทำตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น มันก็นับเป็นเรื่องปกติที่จะกระตุ้นขวัญกำลังใจก่อนออกรบ

“ข้าขอจบการประชุม”

ท่าทางเหนื่อยของเซปาร์นั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน ถูกต้องแล้วล่ะ ผมไม่ใช่คนเดียวที่ได้ไพ่ไม่ดี

ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจหากคุณจะแพ้ในการต่อสู้หากลูกน้องของคุณยังมีสภาพแบบนั้น นี่ถ้าหากพวกหน้าใหม่นั่นเป็นแนวหน้าของศัตรู แผนที่ทำอยู่นั้นก็คงสำเร็จลุล่วงด้วยดี ตามแบบสุดยอดทหารเลยไม่ใช่หรือไง?

กับการที่พวกเขาสามารถลดทอนกำลังใจของพวกเราได้ตั้งแต่เริ่มเนี่ย

ผมกลั้นไว้ไม่ถอนใจออกมา ก่อนที่จะขอตัวลา แต่เซปาร์รั้งผมไว้

“ดันทาเลี่ยน ข้าอยากให้ท่านอยู่ก่อน”

“ห้ะ? รับทราบ”

ผมกลับนั่งลงไปก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ทั้งตัว ผมแอบสงสัยว่ามีอะไร จอมมารคนอื่นออกไปจากเต๊นท์อย่างสบายๆ

เซปาร์,ผู้ช่วยของเขา,ผมและลอร่า เราทั้งสี่คนยังคงเหลืออยู่ในค่าย เซปาร์มองผมด้วยสายตาจริงจัง

“ผู้นำของกองทัพภาค 6 บอกข้าว่า ท่านนั้นไว้ใจได้ เธอบอกข้าว่า เธออาจไม่ไว้ใจนักในเรื่องความชำนาญของกลยุทธ แต่ความสามารถของท่านนั้นเป็นสิ่งที่เธอเชื่อมั่น”

ผมยิ้มอย่างขมขื่น บาร์บาทอส น่ะรึ? บางครั้งเธอก็ทำตัวเหมือนน้องสาวทอมบอย บางครั้งก็ทำสันดานแย่ และบางครั้งก็ทำตัวเป็นพี่สาวผู้ไว้ใจได้

บุคลิกพวกนั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้รวดเร็วจนคุณไม่อาจลดการ์ดลงได้เมื่ออยู่กับเธอ เธอเป็นจอมมารเจ้าปัญหาเลยล่ะ

“ข้าก็แค่นักวางแผน”

“ข้าอยู่ด้วยตอนที่ท่านน่ะจัดการเลดี้ไพมอนในราตรีวัลเพอกีส ข้าบอกได้เลยว่า การเฝ้าดูลำดับ 71 นั้นกดดันไพมอนเสียจนแต้มช่างเป็นฉากเหตุการณ์ที่น่าประทับใจ”

นั่นใช่คำชมหรือเปล่านะ? สีหน้าของชายแก่คนนี้น่ะไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่ใช่คนประเภทไร้อารมณ์เหมือนลาพิส ความนิ่งเฉยบนใบหน้าของเขานั้นเกิดจากความทรนงและความมีวุฒิภาวะที่ก่อตัวมาหลายปี คนประเภทนี้มักมีปัญหาเรื่องการแสดงอารมณ์ออกมา เอาเข้าจริงแล้วถ้ารับคำชมไว้ก็คงไม่เป็นไร

ไม่ใช่ว่า

ตอนนี้ผมควรจะถ่อมตัวสักหน่อยเหรอ……?

จากที่ผมพูดได้เต็มปาก เขาไม่ได้แค่มองว่า บาร์บาทอสนั้นเป็นเพียงหัวหน้าฝ่ายที่เขาสังกัดหากแต่ยังเป็นบุคคลที่ตัวเขาเคารพนับถือด้วย

มีโอกาสสูงมากที่คำชมของเซปาร์นั้นจะเป็นแค่คำเยินยอ ที่หวังผลบางอย่างอยู่

“ขอบคุณมากครับ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็มิได้รับชัยชนะด้วยกำลังของตัวข้าแต่เพียงลำพัง หากมิใช่การช่วยเหลือสนับสนุนของผู้บัญชาการบาร์บาทอสแล้ว ข้าก็ไม่อาจได้รับความเมตตาจากท่านไพมอนได้”

“อืมม”

เซปาร์พยักหน้า เขาทำเสียงคล้ายพอใจ ดูเหมือนจะโอเคแล้วที่ผมจะไปสู่ก้าวต่อไป

“ข้าได้เรียนรู้จากการพิจารณาคดีแล้วว่า ท่านผู้บัญชาการของเรานั้นต่างจากที่ลือกันไปทั่ว ความจริงท่านนั้นเป็นผู้ที่งามสง่าอย่างแท้จริง ข้าเดาว่าที่ท่านใช้ถ้อยคำหยาบโลนโดยตั้งใจนั้นก็เพื่อให้ฝ่ายอื่นคลายความระวังลง…….เธอนั้นทั้งกล้าหาญและเฉลียวฉลาด

แม้แต่ตอนนี้ เธอก็ยังมีเหตุมีผลในการจู่โจมโลกมนุษย์ในฐานะผู้นำของฝ่ายที่ราบ ไม่มีใครที่คู่ควรต่อการขนานนามว่าเป็น ราชา มากเท่าเธออีกแล้ว”

“ข้าเห็นด้วย”

ผมได้ยินเสียงซาวด์เอฟเฟ็คนั่นหลังจากไม่ได้ยินมาตั้งนาน

「ค่าความชอบของจอมมารเซปาร์เพิ่มขึ้น 5!」

ในอกผมเต็มไปด้วยความรู้สึกว่า ได้ทำบางอย่างสำเร็จแล้ว

ผมจับได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรและใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันเป็นชัยชนะเล็กๆแต่ก็ทำให้ผมพอใจ

ผมคิดมาก่อนแล้วล่ะ ว่าพรสวรรค์ที่แท้ของผมนั้นคือ การเพิ่มค่าความชอบ ผมไม่เคยล้มเหลวจากการพยายามเก็บเกี่ยวค่าความชอบเลย

เซปาร์พูดขึ้น

“ข้าเชื่อในผู้บัญชาการของพวกเราและเชื่อในสิ่งที่ผู้บัญชาการเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็อดทดสอบเจ้าในวิธีของตัวเองไม่ได้นับตั้งแต่ได้เจ้ามาอยู่ใต้สายบัญชาการ ดันทาเลี่ยน

ข้าคือผู้หนุนหลังการดูถูกเจ้าเอง”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ผมยังคงสงบอยู่ เซปาร์เลิกคิ้วขึ้นทันที

“ท่านดูเหมือนไม่ประหลาดใจเลย?”

“หากจะให้ข้าแสดงความเห็น ท่านเซปาร์นั้นตระหนักถึงภารกิจแนวหน้า ความแตกแยกระหว่างพันธมิตรคงเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้น หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานับตั้งแต่พวกเราเริ่มเดินทัพ ท่านเองก็ยังไม่เข้ามามีส่วนในสงครามประสาทระหว่างเหล่าจอมมารเลยแม้แต่น้อย

ข้าเชื่อว่า ท่านคงมีจุดมุ่งหมายอื่นนอกจากการสร้างสายบัญชาการที่เข้มแข็ง”

“ฮื่ม ท่านพูดถูก”

「ค่าความชอบของจอมมารเซปาร์เพิ่มขึ้น 2!」

เซปาร์มองผมด้วยแววตาลึกซึ้ง

“ยิ่งกว่า นักวางกลยุทธ ท่านออกไปในทางนักยุทธศาสตร์ ไม่สิ นักวางแผนมากกว่า ผู้บัญชาการน่ะมอบหมายให้ท่านเป็นแนวหน้า ในการต่อสู้ครั้งนี้กลยุทธทั้งหลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ท่านเข้าใจความหมายไหม?”

“…….”

ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ผมเอาแต่คิดว่า เธอน่าจะอยากให้ผมแสดงผลงานด้วยตัวเอง

มันคงเป็นเรื่องดีถ้าผมจะไม่ยุ่งกับปฏิบัติการณ์ทางการทหารเลย 2 เดือนแล้วไปใช้ชีวิตหลั่นล้าเต็มที่ แต่มันเป็นจุดที่แย่สำหรับลำดับ 71 ที่จะคิดแผนการได้อย่างอิสระ ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการสร้างความดีความชอบผ่านการรบในครั้งนี้

…….หรือว่านั่นเป็นเหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริง?

เซปาร์พูดเรียบๆขณะที่ผมกำลังใช้ความคิด

“ข้าอยากจะพูดเกี่ยวกับลำดับ 58 อามิอิ”

ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเขาถึงยกเรื่อง อามิอิขึ้นมา แต่ผมก็ตั้งใจฟังเงียบๆ เขาแทบเฉลยข้อสงสัยของผมในทันที

“หมอนั่นน่ะแต่เดิมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น แต่ก็เสนอตัวมาเข้าร่วมกับฝ่ายที่ราบทันทีที่ก่อตั้งกองทัพพันธมิตรขึ้นมา

เพราะเขาพึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายเราจึงไม่มีตำแหน่งใดๆ แต่ถึงอย่างนั้นผู้บัญชาการบาร์บาทอสก็ยังแสดงน้ำใจด้วยการให้โอกาสในการสร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นแนวหน้า เพื่อให้มีตำแหน่งในฝ่าย”

“อ้อ เพราะอย่างนี้นี่เองเขาถึงได้พูดจาใหญ่โตนัก”

ผมที่เคยสงสัยว่า ทำไมหน้าใหม่สามคนถึงได้ตำแหน่งที่สำคัญชี้เป็นชี้ตายอย่างแนวหน้า แต่ความจริงมันมีเบื้องหลังอย่างนี้นี่เอง

เป็นที่แน่นอนว่า บาร์บาทอสกับผมนั้นมีตำแหน่งต่างกัน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ภาพรวมสถานการณ์ของกองกำลังฝ่ายเสี้ยวจันทรา แต่ถึงอย่างนั้นบาร์บาทอสเองก็เป็นห่วงสมาชิกฝ่ายในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายที่ราบด้วย

ผมเข้าใจแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น สามคนก็ถือว่ายังมากเกินไป นี่คือ แนวหน้าที่จะกำหนดผลการต่อสู้ครั้งแรกของกองกำลังพันธมิตรเลยนะ นี่เธอกำลังจะบอกว่า โอเคกับการมีสมาชิกห่วยๆพวกนี้อย่างนั้นหรือ บาร์บาทอส?

เซปาร์ดูสีหน้าผมก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มทำให้เกิดรอยย่นเป็นแอ่งบนหน้า มันเป็นยิ้มหวานของชายวัยผู้ใหญ่ หากผมเป็นผู้หญิงที่ชอบหนุ่มสไตล์ป๋าหน่อย อาจจะหัวใจเต้นระรัวแล้วก็ได้

“ข้าเข้าใจว่า ตอนนี้ท่านน่าจะรู้ถึงเจตนาของผู้บัญชาการแล้ว”

“อะไรนะครับ?”

“เธอน่ะให้โอกาสนายในการสร้างผู้ใต้บังคับบัญชา”

ผู้ใต้บังคับบัญชา? นี่เขาพูดถึงอะไรกันน่ะ?

พอผมมองเขาอย่างงงๆ เซปาร์จึงพูดต่อ

“นี่คือสิ่งที่ผู้บัญชาการนั้นแนะนำให้ท่าน

‘นี่เจ้าตั้งใจจะช่วยจากในมุมมืดไปอีกนานแค่ไหนกัน? สร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมาก่อนการต่อสู้จริงจะเริ่มขึ้น’ ……ความจริงแล้ว ท่านผู้บัญชาการน่ะไว้ใจท่านมากนะ ดันทาเลี่ยน”

“……!”

ตาของผมเบิกกว้าง มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!? นั่นคือ สิ่งที่เธอต้องการสินะ!?

บาร์บาทอสไม่ได้ส่งผมมาแนวหน้าเพียงเพื่อให้ผมสร้างผลงานด้วยตัวเองขึ้นมา เธอต้องการให้ผมนั้นนำสมาชิก 3 คนของฝ่ายที่ราบที่มีตำแหน่งอ่อนด้อยที่สุดในฝ่ายมาอยู่ใต้การนำของผม

จะเกิดอะไรขึ้นหากสามคนนั่นไม่ได้ถูกส่งตัวไปยังแนวหน้าแต่ถูกจับแยกไปตามหน่วยต่างๆแทนล่ะ?

พวกเขาก็คงมองหาจอมมารระดับสูงๆที่สามารถปกป้องและยอมรับพวกเขาไว้ บาร์บาทอสนั้นไม่ได้ปกครองฝ่ายที่ราบเหมือนจักรพรรดินี

มีจอมมารมากมายที่อยู่ใต้บาร์บาทอสแล้วยังมีกองกำลังย่อยของตนเอง ดังนั้นเจ้าพวกหน้าใหม่3คนนั่นก็จะถูกจับรวมเป็นหน่วยของฝ่ายย่อยในทันที

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตั้งใจที่จะมัดรวมเจ้าสามหน่อนั่นมาเป็นแนวหน้า ถึงจะรวมผู้พันเซปาร์เป็นแนวหน้าด้วย ก็เป็น 6 จอมมาร 3ใน6นั้นตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน…… ยิ่งไปกว่านั้นพวกนั้นยังตัวติดกันตลอดด้วย

ผู้พันเซปาร์ไม่คิดจะสร้างฝ่ายย่อยของตัวเองและยังคงพึงพอใจกับการเป็นข้ารับใช้ของบาร์บาทอส

ในขณะที่จอมมารตนอื่นก็ไม่ได้มีตำแหน่งสูงขนาดนั้น อย่างน้อยที่สุด แนวหน้าเองก็ไม่มีใครที่จะพยายามเข้าหาแล้วเอาสามคนนั้นมาเป็นลูกน้อง

ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าร่วมกลุ่มและได้รับการปกป้องไม่ใช่เป้าหมายของจอมมารสามคนนั้นทำได้อีกแล้ว แม้จะอยากทำก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างความโดดเด่นด้วยตัวเองให้มากที่สุด และเสริมตำแหน่งของตนให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น แต่พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?

ก็ในเมื่อ จอมมารทั้ง 3 นั้นต่างไม่ได้มีตำแหน่งใดๆในฝ่ายที่ราบที่มีองค์ประกอบของอำนาจที่มั่นคงอยู่แล้ว

โอกาสที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ คือ การสร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมา ไม่สิ บาร์บาทอสได้สร้างโอกาสนี้ขึ้นมา!

เธอทำไปโดยอำพรางเจตนาว่า ‘ให้โอกาสพวกหน้าใหม่ได้โชว์ผลงาน’

‘หรือเธอกำลังจะบอกให้ผมเอาสามคนนั้นเข้าร่วมกลุ่มด้วย? นี่เธอกำลังจะบอกให้ผมสร้างกลุ่มเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างเธอได้ โดยไม่ต้องแอบซ่อนอยู่ในเงาต่อไป……!?’

ผมตัวสั่น

บาร์บาทอสได้ตอบสนองเกินความคาดหมายของผมไปไกลมาก ในมุมหนึ่งของใจผมแอบดูถูกเธอ ผมยังคงมีภาพจำว่าเธอเป็นเด็กสาวที่ถูกอุบายของผมล่อลวง ด้วยการดื่มไวน์…… ผมนี่มันโง่อะไรอย่างนี้!

‘บ้าเอ้ย ผมประมาทไปเพราะคิดว่าตัวเองนั้นจบภาพใหญ่ของสงครามไปแล้ว’

ผมยอมรับความสะเพร่าของตัวเองอย่างจริงใจ ผมเชื่อว่า มันคงสายไปหากจะมาสร้างกลุ่มหลังสงครามจบ แต่ถึงอย่างนั้น ในสายตาของบาร์บาทอส ผมนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมมากหากไม่รีบสร้างกลุ่มให้เร็วที่สุด

ในขณะที่อีกฝ่ายตระหนักได้ถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้

พวกจอมมารหน้าใหม่อย่างน้อยๆก็รวมกลุ่มขึ้นเพื่อสร้างจุดยืนของตัวเอง

หากพวกเขาเป็นไอ้โง่แล้ว ผมจะนับเป็นตัวอะไรล่ะ?

ไอ้โง่ที่ยิ่งกว่าไอ้โง่น่ะสิ โง่เง่าที่สุด ผมดูหมิ่นพวกเขาว่าโง่เขลาและไม่เคยสังเกตเลยว่า ทำไมพวกโง่ทั้งหลายถึงได้มาอยู่ในแนวหน้าแต่แรก

“ดวงตาของท่านเปลี่ยนไป”

เซปาร์ให้ความเห็น ผมโค้งให้ แต่คราวนี้มาจากใจจริง

“ขอบคุณมากครับ หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าก็ยังคงเป็นคนโง่จนจบสงคราม ข้าจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างเหมาะสม แน่นอน”

“อย่าใส่ใจเลย ผู้บัญชาการแนะให้ข้าแสดงให้ท่านเห็นถึง การใช้กลยุทธ ใช้โอกาสนี้เฝ้าดูว่า การต่อสู้กับเหล่ามนุษย์นั้นทำอย่างไร”

นี่แม้แต่เซปาร์ก็เป็นติวเตอร์ลับที่ส่งมาช่วยผมเหรอเนี่ย……?

ความเฉียบคมในการรับรู้ของผมมันแย่มากเมื่อเทียบกับบาร์บาทอส ผมคิดว่า การเป็นแนวหน้านั้นเป็นเพียงปฐมบทโหมโรง แต่บาร์บาทอสกลับมองมันเป็นจุดเริ่มต้นสงครามแล้ว

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็จำได้ถึงคำพูดของเซปาร์ที่เน้นย้ำระหว่างการประชุม

‘พวกท่านเข้าใจหรือไม่ ? ความผิดพลาดใดที่เกิดขึ้นจากเรา ไม่ใช่เป็นความผิดพลาดของเราเพียงกลุ่มเดียว หากแต่เป็นของทั้งกองทัพภาคที่ 6 ไม่ใช่สิ เป็นของทั้งพันธมิตรเสี้ยวจันทรา

ที่นี่ ณ ที่แห่งนี้ พวกเราเป็นตัวแทนของกองทัพพันธมิตร! เหล่าแนวหน้าของกองทัพภาค 6 จะต้องทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว

ข้าไม่ให้อภัยกับการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใด’

ทีแรกผมคิดว่า มันเป็นคำเตือนสำหรับจอมมารหน้าใหม่ แต่มันตรงข้ามกันเลย ไม่ใช่ใครอื่นหรอก ผมนี่แหละที่ควรจะจดจำสลักมันให้ลึกถึงกระดูก

ความรู้สึกอับอายขายหน้าแพร่ไปทั่วทั้งร่างกาย นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ยตอนนั้น? ผมทำตัวยิ่งใหญ่ด้วยการพูดว่า ‘ข้าไม่เหมือนเจ้าพวกนั้น’ ทั้งที่ผมยังเลเวล 21เองเนี่ยนะ? นี่มันขยะชัดๆ

เป็นอย่างที่เซปาร์บอกนั่นแหละ แนวหน้านั้นเป็นตัวแทนแสดงถึงกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราทั้งผอง ไม่อนุญาตให้มีการดูถูกพรรคพวกตัวเอง ไม่เพียงแต่สร้างชื่อขึ้นมาในฐานะแนวหน้า แต่ผมจะต้องเอาชนะจอมมารทั้งสามนั่นให้ได้ด้วย ผมจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

หลังจากนั้นผมก็มีกำลังใจที่จะแสดงความเคารพตามวินัยทหารต่อเซปาร์

“ข้าจะขอศึกษาการถ่ายทอดคำสั่งทางการทหารจากท่าน มิให้ล้มเหลว”

“อืม ตอนนี้ท่านไปได้แล้วล่ะ”

ผมคิดระหว่างที่ออกจากเต๊นท์

ใช่แล้วล่ะ นี่เป็นของขวัญเซอไพรส์ผม ผมคงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ได้ หากไม่สามารถรับของขวัญได้อย่างเหมาะสม มีอะไรที่สมควรพูดยามที่ได้รับของขวัญจากสาวล่ะ?

ได้เลย ผมจะเติบโตขึ้นตามที่เธอหวังแน่ บาร์บาทอส แล้วจะทำให้เธอตกใจภายหลังเอง

……. มันไม่เพียงแต่จะเป็นของขวัญเซอไพรส์ให้กับเธอ แต่จะยังเป็นหนทางการตอบแทนที่ดีที่สุดด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด