ตอนที่แล้วบทที่ 070 – สองแผนร้าย(11) (จบองก์ที่ 1) 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 072 - การเตะถ่วงในสภาสูง(2)

บทที่ 071 - การเตะถ่วงในสภาสูง(1)


บทที่ 071 - การเตะถ่วงในสภาสูง(1)

ในช่วงเวลาที่จอมมารลำดับ 49 โครเค่ลถูกฆ่าตายในการต่อสู้ ชาติทั้ง 12 ชาติของโลกมนุษย์ยังคงใช้เวลาที่มีอย่างกระตือรือร้นเหมือนเช่นเคย

การประชุมกันภายใต้ฮอลสูงทรงโดม

สถานที่แทบจะเรียกได้ว่ายุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก ใบหน้าของชนชั้นสูงทั้งหลายต่างเต็มไปด้วยความยำเกรง แม้พวกเขาจะมิได้ชักดาบออกมา แต่การพูดจาใส่กันอย่างรุนแรงกับผู้ที่พวกเขาคิดว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามโดยไม่คิดรักษาภาพพจน์แม้จะเป็นผู้ติดสอยห้อยตามของจักรวรรดิก็ตาม

การประชุมในวันนี้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่อง การทหาร

ฝ่ายเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเสนอ ยุบทหารรับจ้างต่างชาติที่จ้างโดยฝ่ายวังหลวง โดยให้ยุบทิ้งในทันทีหากอยากให้มติใดๆผ่านการประชุม

ส่วนทางฝ่ายเจ้าชายแห่งจักรวรรดิก็ตอบกลับไปว่า

“มันเป็นปัญหาที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนเป็นอย่างมาก”

หากแปลเป็นภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆก็คือ พวกนั้นกำลังบอกอีกฝั่งว่า

“ช่างหัวมึงสิ”

เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ฝ่ายเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเองก็ตอบกลับไปว่า

“ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก”

แปลความง่ายๆได้ว่า “ไสหัวไปตายซะไป”

เป็นธรรมดาที่เรื่องระบบทางการทหารนั้นจะเป็นประเด็นร้อน ไม่นานเท่าไหร่เหล่าขุนนางต่างก็ตะโกนใส่กันราวกับพลุไฟอันยอดเยี่ยม

“ภรรยาเจ้าไม่มีหน้าอกเลยด้วยซ้ำ!”

“ท่านพูดอะไรของท่าน ? ภรรยาข้ามีหน้าอกคู่งาม หน้าอกที่ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่กว่าของเมียท่านเสียอีก ในเรื่องนั้นเมียของท่านน่ะมีใฝน่าเกลียดอยู่ที่ก้นด้วย”

“ห้ะ อะไรนะ?”

ชนชั้นสูงที่มีหนวดยาวย่นหน้าผาก

“แล้วเจ้าไปรู้เรื่องนั้นได้ยังไงกัน?”

ขุนนางอ้วนจึงตอบในทันที

“เพราะข้าเห็นมันสองตาของข้านี่ไง ไม่ใช่แค่เห็นนะ แต่ข้ายังเคยใช้มือจับลูบเองด้วย แม้แต่ลิ้นเลียข้าก็เคย มันเป็นประสบการณ์ที่เป็นดั่งงานสมรสอันศักดิ์สิทธิ์ ความอยากรู้อยากเห็นของข้านั้นได้รับการต้อนรับตั้งแต่ที่เห็นภรรยาของท่าน มันนำข้าไปสู่สรวงสวรรค์”

ุขุนนางอ้วนผงกหัวให้กับตนเอง ใบหน้าขุนนางหนวดกลับซีดเซียว  ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมนังนั่นถึงหยุดจู้จี้ขี้บ่น เป็นเพราะนางนอกใจข้านี่เอง ห้ะ……?

“ภรรยาท่านมันก็ไม่ได้ต่างกันนัก หน้าอกภรรยาท่านอาจจะใหญ่ก็จริงแต่หน้าตาดูไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังสงสัยเลยว่าจะมีแม่หมูตัวไหนหนักเท่านางอีก นางพยายามจะจูบข้าระหว่างที่เรากำลังทำกัน จนเกือบจะทำข้าตายด้วยซ้ำ”

ฝ่ายที่สาม ขุนนางหัวโล้นแทรกขึ้นมาระหว่างบทพูดนั่น เขาเป็นพวกเดียวกับขุนนางหนวด เพราะขุนนางหนวดดูจะตกตะลึงกับความจริงที่ว่าภรรยาของเขานั้นนอกใจ ถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ ขุนนางหัวโล้นจึงก้าวออกมาเพื่อปกป้องเขา

“นะ-นี่เจ้าดูหมิ่นภรรยาข้าเรอะ?”

ขุนนางอ้วนจมูกบาน ส่วนขุนนางหัวโล้นกลับยักไหล่ราวกับไม่แคร์

“อย่างนั้นหรือ? ท่านก็ดูหมิ่นภรรยาผู้อื่นด้วยเหมือนกันนี่?”

“ข้าขอประกาศท้าดวล!”

“ก็เอาซี่”

ขุนนางหัวโล้นพยักหน้ารับ

“แต่ท่านต้องไปดวลกับผู้นั้นก่อน เป็นตามลำดับถึงจะถูกต้อง”

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเฝ้ามองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยที่นั่งสูง ไม่สิ เธอไม่ได้กำลังมองด้วยซ้ำ เธอปิดหน้าของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง

อลิซาเบธ อทานาเซีย เอเทรีย ฟอน ฮับบวร์ก(Elizabeth Atanaxia Evatriae von Habsburg)

เธอผู้ได้รับยศฐานบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ล ซึ่งหมายถึง อัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้ตำแหน่งมาตอนอายุ 16 ปี และเป็นดั่งความหวังของจักรวรรดิ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิพระองค์นั้นมีผมสีเงินสลวย แต่ถึงอย่างนั้น ความสิ้นหวังกลับครอบงำสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้าในตอนนี้…….

ขุนนางทั้งหลายต่างเป็นผู้นำระดับสูงสุดของรัฐบาลจักรวรรดิฮับวร์ก พวกเขาเป็นผู้ได้รับการศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาตั้งแต่ยังเล็ก

หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขานั้นเป็นผู้ที่ ‘ยอดเยี่ยม’ที่สุดในจักรวรรดิแล้ว นี่ยังไม่นับว่าเป็นฝันร้ายอีกหรือ?

สภาสูงสุดของจักรวรรดิกำลังเข้าสู่จุดวิกฤติ

“ไม่……ให้ข้าต่อสู้พร้อมกันสองคนที่มันขี้ขลาดชัดๆ”

“การถูกเรียกว่า ขี้ขลาดไม่ใช่ปัญหาเลย โดยส่วนตัวเวลาข้าถูกเรียกว่าขี้ขลาดนี่ เอาจริงๆนะทุกครั้งที่ได้ยินคำนั้น รอบหัวนมข้ามันก็เสียวซ่านขึ้นมาทันที”

“โอ้ว พระเจ้า เลวร้ายอะไรอย่างนี้……. ใครมันจะคาดคิดว่า ไอ้เจ้าโล้นผู้นี้มันจะเป็นไอ้โรคจิตมาโซคิสม์”

ชายหัวโล้นตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวโกรธ

“อย่ามาดูหมิ่น มาโซคิสม์นะโว้ย⎯!”

ขุนนางคนอื่นที่ห้อมล้อมอยู่ต่างสะดุ้งตกใจ พวกเขาหันหน้าไปหาขุนนางหัวโล้น ขุนนางหัวโล้นนั้นเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นผู้ที่เจ้าเล่ห์และเต็มไปด้วยความถือดี แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นเขาโกรธมาก่อน

ขุนนางอ้วนจึงเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก

“ทะ-ท่านจะมาพูดแย่ๆแบบนั้นได้ยังไงกัน ในเมื่อเราก็มีตำแหน่งเสมอกัน?”

“คนที่พูดจาแย่ๆนั่นมันท่านต่างหาก”

หัวของขุนนางหัวโล้นกลายเป็นสีแดงก่ำ

“จะล้อเลียนภรรยาข้า หรือภรรยาเจ้าก็ได้ แต่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าล้อเลียนมาโซคิสม์!”

“ดะ-เดี๋ยวก่อนนะ…… นี่ท่านบ้าไปแล้วหรือไรกัน จะมาโซคิสม์หรืออะไรก็ตาม…… ไอ้สิ่งนั้นมันคือ ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมไม่ใช่รึไง!?”

ชนชั้นสูงรอบๆต่างผงกหัวเห็นด้วย แม้แต่ฝ่ายเดียวกันก็ตาม มาโซคิสม์นั้นเป็นพวกวิตถารอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ความเห็นที่เป็นหนึ่งเดียวกันในเรื่องนั้นทำให้ขุนนางอ้วนเริ่มอ้างขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉง

“ไม่เพียงแต่หรรษาไปกับการถูกผู้อื่นทุบตี แต่ยังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศด้วย? แล้วพฤติกรรมเช่นนั้นจะไม่นับเป็นความเสื่อมทรามได้อย่างไรกัน? มันเลวทรามยิ่งกว่าบุรุษที่เล่นชู้กับภรรยาผู้อื่นอย่างสุภาพบุรุษเสียอีก

ไม่สิ อย่างน้อยๆการกระทำที่เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่นนั้นยังจัดเป็นความโรแมนติกอย่างหนึ่ง! แต่มาโซคิสม์นั้นเป็นความต่ำช้าเพียงด้านเดียว!”

เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างพยักหน้าอีกครั้ง ฝักฝ่ายไม่สำคัญแล้วในตอนนี้ เหตุผลมันง่ายมาก เมื่อพวกเขายินดีแบ่งปันภรรยาตนให้แก่กัน พวกเขาก็กลายเป็นพวกเดียวกันไปโดยปริยาย พวกเขานั้นเป็นขุนนางชายและการล่าภรรยาของผู้อื่นนั้นก็ถูกทำให้เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมคู่ควรกับขุนนางชายอีกด้วย

“ฮึ่ม”

ชายหัวโล้นพ่นลมออกจมูกโดยไม่รักษาท่าที

“โรแมนติกเรอะ? ช่างน่าหัวร่อ เจ้าจะไปรู้จักความโรแมนติกได้อย่างไรกัน คนอย่างเจ้าจะไปรู้จักความโรแมนติกได้อย่างไร! ที่เจ้าทำก็แค่เชื่อว่าตัวเองมีชีวิตด้วยแรงปรารถนาตื้นๆ ในขณะที่ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ”

ชนชั้นสูงต่างลุกฮือขึ้น พวกเขาดูไม่พอใจมาก เมื่อความเชื่อทางสังคมของพวกเขาถูกปฏิเสธ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นมาปฏิเสธความโรแมนติกทางเพศของตนอย่างเด็ดขาด

“ลากไอ้ระยำนั่นออกไป!”

“นี่แกกล้าดียังไงมา หมิ่นศักดิ์ศรีของสภาสูงสุดแห่งจักรวรรดิฮับบวร์ก!”

“พวกเราจะฟ้องร้องเขาในข้อหาให้ร้ายจักรวรรดิเรา!”

เสียงตะโกนดังตรงนั้นที ตรงนี้ที

พวกเขาเชิดหัวและเผยให้เห็นคอที่แดงก่ำ ในสิ่งก่อสร้างทรงโดม มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น นั่นคือ เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ อลิซาเบธ ที่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ

คนที่ใส่ร้ายสภาพสูงสุดแห่งจักรวรรดิฮับบวร์กไม่ใช่แค่ชนชั้นสูงหัวโล้นคนนั้นหากแต่เป็นพวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละ ไอ้พวกโง่บ้ากามทั้งหลาย…….

แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหญิงจักรวรรดิก็เป็นข้อยกเว้นในหมู่ข้อยกเว้นทั้งหลาย

เสียงตะโกนกู่ร้องอยากที่จะถลกหนังหัวของชายหัวโล้น ชายหัวโล้นนั้นรู้สึกเหมือนตนเป็นดั่งโสกราตีสในช่วงยุคสมัยที่นักปราชญ์เปิดเผยความจริงสู่สภาเอเธน

มันเป็นความรู้สึกที่เขาปรารถนาที่จะคุ้มครองความเชื่อส่วนตัวของตนด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความสงสัยแม้แต่น้อย

ขุนนางหัวโล้นพูดด้วยน้ำเสียงอันแจ่มชัด

“มาโซคิสม์รึ ข้าขอยืนยันให้ท่านรู้ว่า มันเป็นจุดยอดสุดแห่งความโรแมนติกทางเพศ เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้ว การเล่นชู้นอกสมรสต่างหากที่ต่ำอย่างกับดินโคลน พูดง่ายๆว่า มันเป็นการเสื่อมทรามเฉกเช่นการกระทำเยี่ยงสุนัข เจ้าอ้วนโง่เง่าเอ๊ย! มันจะเป็นไปได้ยังไงที่การนอกใจคู่สมรสจะเป็นการละเมิดกฏหมายได้เล่า? มันไม่มีรักอยู่ในนั้นอยู่เลยแม้แต่น้อย”

ชายหัวโล้นชูกำปั้นขึ้นบนอากาศ

“ถูกต้องแล้ว การเล่นชู้นั้นเพียงแต่เติมเต็มความละโมบด้วยเข้าใจผิดว่าเป็นความรัก แล้วมาโซคิสม์ล่ะ? ในการที่จะเพลิดเพลินไปกับการเป็นมาโซคิสม์ได้ มันจำเป็นที่จะต้องมีคู่ขาที่ทำเลวๆกับท่าน คู่ขาสุดซาดิสม์ที่ยินดีที่จะหวด จะฟาด จะมัด เหยียบย่ำกายท่าน คู่ขาที่หาได้ยากและทรงคุณค่า…….และต่อจากนั้นคือ สิ่งที่เป็นรากฐานใหญ่ของมาโซคิสม์ นั่นคือ การมัดพันธนาการ ลองจินตนาการว่ามือของข้าถูกมัดดูสิ!”

เขานั้นตะโกนขึ้นอย่างเร่าร้อน ชายผู้นั้นเปี่ยมไปด้วยพลังไฟแห่งความหลงไหล

“ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้ตนเองเป็นอิสระ……หัวใจข้าเต้นระรัว!  ถูกต้องแล้ว การที่หวั่นกลัวนั่นหมายถึง ความหมายของการถูกผูกมัดไว้

แล้วยิ่งมีใครสักคนหนึ่งมาจัดเจ้าเข้า……ความกลัวนั่นก็ยิ่งเข้มข้น!

การให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น การเชื่อใจใครสักคนอย่างไร้เงื่อนไข ไม่สิ การเชื่อใจอีกฝ่ายในเรื่องแบบนั้น! นั่นแหละคือ สิ่งที่มาโซคิสม์เป็น!”

ชนชั้นสูงคนอื่นมองกันและกันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ข้อโต้แย้งที่ว่านั่นมีเหตุผลไม่มากพออย่างที่คาดคิดกันอย่างนั้นหรือ? พวกเขาเริ่มรับฟังชายหัวโล้นมากขึ้น แล้วทางนั้นก็ยังพูดอย่างลื่นไหลต่อไป

“ทุกคนนั้นต่างปรารถนาที่จะถูกทรมานด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนต่างปรารถนาที่ชะให้มีใครมาพิชิตตนเองและยังหวังที่จะให้ใครสักคนมาทำร้าย มาบดขยี้ บี้เราจนยับเยิน……ข้าพูดผิดตรงไหนล่ะ เจ้าพวกหน้าซื่อใจทรามทั้งหลาย!?”

เขาพูดถูก เหล่าชนชั้นสูงของฮับบวร์กนั้นซื่อตรงต่อความปรารถนาตนเองยิ่งกว่าใครๆนั้นพยักหน้า เขาพูดถูกเลยทีเดียว

ข้าอะนะ ก็มีบางทีที่อยากให้ใครสักคนมาตั้มข้าจากด้านหลังเยี่ยงเดียรัจฉานเหมือนกัน แบบกดน้ำหนักลงมาบนร่างข้า

……เสียงท่านเอิร์ลพึมพัมออกมากับตัวเองเบาๆราวกับกำลังมองภาพฝัน เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่า ท่านดยุคข้างๆเขานั้นมองด้วยสายตาตกตะลึง

“แล้วทำไมพวกเราถึงยินดีที่ได้แสดงความเคารพกฏหมายเล่า?

ทำไมพวกเราถึงต้องรับฟังเสียงไชโยโห่ร้องของมโนธรรมที่เราทำตามจารีตประเพณีเล่า?

ทำไมเราถึงต้องไปรู้สึกเช่นนั้นด้วย หากไม่ใช่ความรู้สึกของความเป็นมาโซคิสม์ และซาดิสม์ลึกๆล่ะ?

ข้าขอประกาศอย่างชัดเจน ณ ตอนนี้เลย เช่นเดียวกับพวกเคารพจารีตที่มีความเป็นมาโซคิสม์อยู่หน่อยๆ มันมีความเคารพจารีตอยู่ในความเป็นมาโซคิสม์เช่นกัน!

จงฟังคำขอของคู่ขาที่กระตุ้นให้กระแทกพวกเขาจากข้างหลัง

หากสิ่งนี้มิใช่ความรักและการเคารพนับถือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นอะไรไปได้อีก!”

ขุนนางอ้วนทรุดตัวลงที่ที่นั่งของตน

“ปะ-เป็นไปไม่ได้……. นี่ท่านกำลังจะบอกว่า ข้าเข้าใจผิดมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ? มาโซคิสม์นั้นมิใช่เรื่องต่ำช้าหากแต่เป็นความรักอย่างนั้นหรือ……?”

มุมปากของชายหัวล้านยกขึ้น

“ถูกต้องแล้ว มาโซคิสม์นั้นเป็นยอดแห่งความโรแมนติกในรสนิยมทางเพศ! ท่านมันก็แค่ไอ้โรคจิตที่เรียกการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยรักว่าเป็นคนโรคจิต ท่านช่างน่าสงสารยิ่ง ช่างน่าสงสารจริงๆที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งว่ารักคืออะไร”

ทั้งห้องประชุมเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ

ชนชั้นสูงอื่นนั้นประทับใจกับคำพูดของชายหัวโล้น เขารู้สึกพึงพอใจมากก็เพราะได้ฟังการโต้วาทีที่ยอดเยี่ยมนี่เป็นครั้งแรก หลังจากผ่านมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อรสนิยมทางเพศอย่างนี้ มีบางคนในหมู่พวกเขาที่ให้คะแนนว่า นั่นเป็นสุนทรพจน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมาในสภาสูง

แต่เพียงผู้เดียว มีเพียงเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่กุมหัวที่ปวดอยู่

“ขะ-ข้าไม่ยอมรับสิ่งนี้”

ชนชั้นสูงตัวอ้วนโพล่งขึ้นด้วยความโรคจิตท่ามกลางเจ้าโรคจิตทั้งหลาย เขาบ่นออกมา

“มาโซคิสม์ไม่ใช่ยอดสุดแห่งความโรแมนติกทางเพศ”

“หืมมม ดูเหมือนคนที่แพ้ไปแล้วจะยังดิ้นรนขัดขืนจนวาระสุดท้ายสินะ”

“ไม่! ข้าเข้าใจแนวคิดของความโรแมนติกทางเพศดี ข้านับถือจากใจจริงในจุดนั้น…….แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าไม่อาจยอมรับได้ว่า มาโซคิสม์เป็นจุดสูงสุดอยู่ดี”

ขุนนางหัวโล้งขมวดคิ้ว

“ท่านไม่ยอมรับอย่างนั้นรึ ? ฮ่าา หรือท่านจะบอกว่า ไอ้การนอกใจคู่รักตนเป็นการกระทำสูงส่งงั้นหรือ? นั่นใช่จุดสูงสุดที่ท่านมีหรือแล้วหรือไงกัน”

“ผิดแล้ว!”

ขุนนางอ้วนตะโกนด้วยความโกรธ

“จุดสูงสุดของความโรแมนติกทางเพศ คือ อินเซส การร่วมรักในสายเลือดเดียวกัน!! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อินเซสที่อบอุ่นระหว่างพี่ชายน้องสาว⎯⎯!”

…….

ทั้งห้องประชุมราวกับโดนแช่แข็ง

ปากของขุนนางต่างอ้าค้างด้วยความตะลึงงัน แม้แต่องค์รักษ์ที่ควรจะไร้อารมณ์อยู่เสมอก็กลับผงะด้วย

<ซิมโฟนี่แห่งความตกตะลึง> โดยมีความเงียบเป็นเสียงคอรัส ได้ขับร้องโดยทุกผู้ทุกนามที่อยู่ในห้องประชุมแห่งนั้น ขณะที่ยังเปิดปากค้าง แม้แต่ผู้พิทักษ์เหล่ามาโซคิสม์อย่างชนชั้นสูงหัวโล้น ก็ยังอึ้งกับข้อสรุปที่สั่นคลอนโลกนั่น

“หยุดได้แล้ว เจ้าพวกสติแตก…….”

ตอนนี้เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินั้นรู้สึกเหมือนหัวกระโหลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่พูดคำนั้นออกมา เสียงของเธอนั้นเจือไปด้วยความโมโหและเศร้าใจที่ไม่อาจมีใครอาจเชื่อได้ว่า มันจะมาจากปากของคนอายุ 16ปี ผมสีเงินระยิบระยับกลับหมองลงทันตา

ถ้อยคำของเจ้าหญิงนั้นอาจจะไม่ดังพอ จึงไม่มีใครได้ยินเธอ และต่อให้ได้ยินคำพูดของเธอทุกคนต่างเมินเฉยด้วยเจตนา รวมถึงเจ้าขุนนางอ้วนที่ยกประเด็น รักร่วมสายเลือดตอนนี้ด้วย

ขุนนางอ้วนยังคงพูดต่อ

“หากความงามของเซ็กส์คือ การผิดศีลธรรม การกระทำที่เป็นที่ลับๆต่อสังคม!

โดยการกระทำผิดจริยธรรมนั้น เป็นสิ่งที่รับไม่ได้! สิ่งเหล่านั้นเป็นดั่งกำแพงที่ไม่อาจทะลวงไปได้ ความโรแมนติกทางเพศนั้นมีค่าเพราะท่านได้ก้าวข้ามกำแพงสูงลิ่วนั้นด้วยพลังแห่งรัก

ลองคิดถึงเรื่องราวความรักระหว่างชนชั้นสูงกับพวกไพร่ดูสิ ทำไมถึงดูเป็นรักที่สูงส่ง?

……คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะตระกูลของพวกเขานั้นไม่อนุญาต แต่เพราะพวกเขายังคงไล่ตามความรักนั่นไป แม้จะถูกครอบครัวต่อต้าน ความรักของพวกนั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ล้ำค่ามากกว่ากำแพงที่รู้จักกันในชื่อของ ครอบครัวที่ผูกมัด ดังนั้นความรักของพวกเขาจึงสูงส่ง”

ชนชั้นสูงคนอื่นต่างผงกหัวเห็นด้วยเบาๆ จากมุมมองที่ปรากฏตรงหน้า ขุนนางอ้วนนั้นเริ่มเชื่อมั่นมากขึ้นจากท่าทางที่ตอบรับกลับมาอย่างนั้น เขาจึงพูดอย่างกล้าหาญ

“มันถูกต้องแล้ว กำแพงยิ่งสูง คุณค่าของความรักก็ยิ่งมาก กำแพงที่อันตรายก็จะยิ่งพิสูจน์ความรักที่มีได้

หากใครที่คุณรักนั้นจนกว่าคุณ แล้วคุณยังรักเขา นั่นแหละ ความรักอันสูงส่ง ช้าก่อน ช้าก่อน แล้วถ้าอย่างนั้น กำแพงสูงยิ่งกว่า รักร่วมเพศ? และการอินเซสล่ะ? มีกำแพงอะไรที่สูงกว่าอินเซสอย่างนั้นหรือ? เพิ่มนี่เข้าไปอีกสิ

ผสานการรักร่วมเพศกับอินเซส เข้าไปด้วยกัน ไม่คิดหรือว่าจะได้กำแพงที่ใหญ่ยักษ์มากยิ่งขึ้น?

ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมีความรักอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า พี่ชาย น้องชายอีกเล่า? ไม่มี ไม่มีทางมีเด็ดขาด!”

ขุนนางอ้วนพูดขึ้นมาขณะที่แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคร่ำครวญหา

“ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายน้องชายที่รักกันและกันจะเหนียวแน่นขนาดไหน……?

ลองจินตนาการดูถึงความดุเดือดของความรักนั่นสิ ความปวดรวดร้าวใจที่กดทับความรู้สึกของตัวมัน

พวกเขาจะเจ็บปวดรวดร้าวและทนทรมานไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมข้าต้องเป็นเช่นนี้ด้วย?  ไยข้าต้องหลงรักพี่ชาย น้องชายของข้า? ข้าไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย ข้าต้องไม่ แต่ถึงกระนั้น…….”

เสียงของขุนนางอ้วนฟังดูจริงจังเสียจนผู้คนเผลอจินตนาการตาม หัวใจของพวกเขานั้นหนักอึ้ง ที่พวกเขารักกันขนาดไหนนะ?

“พวกเขาจะต้องปฏิบัติกันด้วยความเย็นชาต่อกัน เขาจะต้องวิ่งไปที่วิหารแล้วสารภาพกับพระผู้เป็นเจ้าถึงความรักของพวกเขา

โอ้ พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดท่านจึงมอบความรักเช่นนี้ให้กับข้า? ด้วยความรักเช่นนี้แล้ว สู้ให้เกลียดชังกันไปเลยยังดีเสียกว่า

ได้โปรดเอาความรักเช่นนี้ออกไปจากข้าเถิด อ้า หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงแผดเผา…….แต่ถึงกระนั้น แต่ถึงเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจหยุดความรักนั้นได้……!”

น้ำตาไหลอาบดวงตาของขุนนางอ้วน ชนชั้นสูงคนอื่นต่างเห็นอกเห็นใจด้วยน้ำเสียงแสนทนทุกข์ของเขา  อ้า ใช่แล้ว นี่ล่ะ ความรักอันยิ่งใหญ่

“มันเป็นเหมือนดั่งน้ำท่วมที่ไหลหลากไม่อาจห้ามได้! เป็นเช่นดังพายุในฤดูร้อนที่รุนแรง! ท่านไม่สามารถที่จะระงับห้ามความรักระหว่างพี่ชาย-น้องชายได้? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองต่อไป?

พวกเขากำลังพิสูจน์ความรักว่า มันไม่มีจริยธรรม ไม่มีกฏหมาย ไม่มีอารมณ์ใดที่สูงล้ำยิ่งไปกว่าความรัก!

ความรักนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้พวกเราเห็นชัดว่า ความยิ่งใหญ่คืออะไร!

ในยุคที่แสนน่าเบื่อนี้ ยุคสมัยที่เราเข่นฆ่าสหายเก่าของเราเหมือนเช่นแมลงวันเพราะความเห็นความเชื่อทางการเมือง แล้วความรักระหว่างพี่ชายน้องชายจะไม่ถูกมองข้ามได้อย่างไรกัน……?”

ขุนนางอ้วนนั้นเงยหน้ามาพร้อมดวงตาที่ชื้นฉ่ำจนเกือบจะร้องไห้

ความเงียบงันเข้าครอบงำที่ประชุม มันมิใช่ความเงียบอันหน่วงหนัก

เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างสะเทือนใจกับคำพูดของขุนนางอ้วน ใช่แล้ว เขาพูดถูก บางคนกระซิบต่อกัน

นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นเอง ความรักเป็นสิ่งที่คุณไม่อาจบิดเบือนมันได้ไม่ว่าสังคมและคนอื่นๆจะต่อต้านอย่างไร นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพวกเขายิ่งใหญ่มาก

ใช่แล้ว ชนชั้นสูงคนอื่นๆต่างเห็นพ้องต้องกัน  จากการสรุปของขุนนางอ้วน แล้วพวกเขาก็เริ่มหันมาพูดคุยกันเอง ข้าจะรักพี่ชายน้องชายข้านับจากนี้ ข้าจะเอ็นดูน้องข้าให้มากๆ บนเตียงก็ด้วย ใช่แล้ว ยอดเลย

(TTL : ยอดเลยห่าอะไรครับ พวกพรี่เสียสติไปหมดแล้ววว)

“…….”

ชนชั้นสูงหัวล้านที่อ้างว่า มาโซคิสม์นั้นเป็นยอดสุดแห่งความโรแมนติกทางเพศเดินออกไปข้างหน้า เขาเข้าไปใกล้กับขุนนางอ้วนและกุมมือขวาไว้

“ข้าแพ้แล้ว นี่เป็นชัยชนะของท่าน”

“มิใช่เลย ไม่มีผู้แพ้อยู่ที่นี่”

ขุนนางอ้วนยิ้มอย่างแจ่มใส มันเป็นรอยยิ้มของชายวัย 50 ดังนั้นรอยยิ้มใสซื่อและงดงงามนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

“พวกเราทุกคนต่างเป็นผู้ชนะในการหยั่งรู้ความเชื่อของกันและกัน”

“ฮ่า ก็จริงนะ…….”

ทั้งสองต่างจับมือกัน เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นมา บางคนก็เป่าปาก ในขณะนั้นเอง ณ ที่แห่งนั้นเอง ไม่มีแล้วฝักฝ่ายของเจ้าชาย ฝักฝ่ายของเจ้าหญิง มีเพียงความอดทนข่มกลั้นเท่านั้นที่ยังอยู่ มันเป็นยุคสมัยที่จักรวรรดิตกต่ำเหลือเกิน ในที่สุดพวกเขาก็ญาติดีกัน หลังจากผ่านหยาดเลือดแลน้ำตามานับไม่ถ้วน ปาฏิหารย์ที่แทบจะทำให้หยุดหายใจได้มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว

มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้น เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเป็นข้อยกเว้น

“……ชาร์ล”

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเรียกอัศวินที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอออกมา อัศวินไม่ตอบรับ เขายังคงตื่นเต้นกับสุนทรพจน์นั้นและยังคงปรบมืออย่างเร่าร้อน มันจะเป็นเช่นนั้นจนกระทั่งเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิเรียกเขาซ้ำอีกครั้งจนได้คืนสติกลับมา

“ชาร์ล”

“ห้ะ ? อ้อครับ! ครับ องค์หญิง!”

“ไปลากเจ้าพวกโง่นั่นมาตรงนี้ เดี๋ยวนี้”

อัศวินผู้มีนามว่า ชาร์ล ดูเหมือนจะมีปัญหากับคำสั่ง

“เอิ่ม คือ……องค์หญิงครับ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ทรงอิทธิพลในฝ่ายของเรา”

“เจ้าคิดว่า ข้าไม่รู้เรื่องนั้นหรือไง?”

อลิซาเบธหัวเราะออกมาอย่างหดหู่ ดวงตาของเธอนั้นราวกับยอมแพ้กับทุกสิ่งแล้ว แต่หากดูให้ดีๆมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะแสดงออกมาจากเด็กอายุ16ปี แต่มันกลับเหมาะสมกับเธอยิ่ง

“ไม่เลย ข้าไม่รู้ยังดีเสียกว่า……. สำหรับชายที่เป็นรักร่วมเพศ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ในสายโลหิต ว่าเป็นสมาชิกผู้มีอิทธิพลในฝ่ายกองกำลังเจ้าหญิงจักรวรรดิ ถ้าผู้คนในโบสถ์รู้เรื่องนี้เข้า พวกมันคงโยนเสื้อแล้วเริงระบำกันแน่ เผลอๆพวกมันอาจจะเฉลิมฉลองใหญ่ในวันนี้ด้วยซ้ำ ชาร์ล หวดกบาลไอ้งั่งนั่นซะ”

“ครับ……ด้วยมือของผมหรือครับ องค์หญิง?”

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิส่ายหน้าอย่างหนักแน่น

“ไม่ ด้วยกระบอง”

“ตะ-ตามที่องค์หญิงบัญชา”

ชาร์ลโค้งคำนับให้ เขาเข้าไปหาเจ้าผู้ร้ายที่อยู่ตรงนั้นในทันที พวกเขาโดนกระชากคอเสื้อลากไปท่ามกลางความสงสัยของผู้คน ที่ยังอุทานว่า ‘ห้ะ?’ ชนชั้นสูงสองคนไม่อาจขัดขืนความแข็งแกร่งของอัศวินจึงต้องถูกลาออกไปจากห้องประชุมอย่างเลี่ยงไม่ได้

“อ๊ากกกกกกก!”

“อั่กก,อ่อกกกกก!”

เสียงกรีดร้องอันโหดเหี้ยมดังมาจากด้านนอกของห้องประชุม มันเป็นเสียงที่น่าสยดสยอง เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงหน้าผากของเหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายที่อยู่ในห้องประชุม

ความยอดเยี่ยมและความรักที่เคยห่อตัวเมื่อครู่กลับหายไปมีเพียงลมเหนือที่แสนเหน็บหนาวพัดเข้ามา ณ ที่แห่งนั้น

อัศวินได้กลับมาหลังจากนั้นไม่นาน เขายืนอยู่ข้างหลังเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเลือดเปื้อนอยู่ที่แก้มขวา แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะชี้บอกให้เห็น

เจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิจึงพูดขึ้น

“พวกเราไปยังวาระการประชุมข้อต่อไปกันดีกว่า ว่าด้วยเรื่อง กาฬโรค”

ชนชั้นสูงต่างผงกหัวตอบรับกันอย่างลุกลี้ลุกลน

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด