ตอนที่แล้วบทที่ 069 – สองแผนร้าย(10)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 071 - การเตะถ่วงในสภาสูง(1)

บทที่ 070 – สองแผนร้าย(11) (จบองก์ที่ 1) 


บทที่ 070 – สองแผนร้าย(11) (จบองก์ที่ 1)

บาร์บาทอสหรี่ตาแคบลง

นี่แกวางแผนอะไรอีกวะ? นี่แกบ้าไปแล้วเรอะ?

ในใจผมนั้นหวังให้เธอด่าทอผมแรงๆแบบนั้น ไม่มีจอมมารตนใดให้ความสำคัญพันกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทรามากไปกว่าเธออีกแล้ว

มีโอกาสเหมือนกันที่เธอจะโมโหเพราะการทำตามอำเภอใจของผมเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดการรวมพลของพันธมิตร

แต่อย่างไรก็ดี เธอกลับทำให้ความคาดหวังของผมปลิวหายไป

เธอหัวเราะออกมา

“เอ้าเอาเลย อธิบายให้ชื่นใจหน่อยซิ”

ดวงตาสีทองของเธอนั้นวิบวับด้วยความสนใจใคร่รู้ ดูเหมือนเธอจะคิดว่า ผมมีแผนการร้ายบางอย่างที่ลึกซึ้ง

ผมหัวเราะออกมาแบบแห้งๆ การที่อยู่ๆได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมากมันทำให้ผมจั้กจี้หน่อยๆ

พวกเรานั่งลงบนเก้าอี้ที่เอามาโดยพ่อบ้านผี ผมจึงเป็นผู้พูดขึ้นก่อน

“ก็นับพันปีแล้วที่ พันธมิตรเสี้ยวจันทรานั้นล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะมีกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดมาก มากยิ่งกว่าเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันและความเป็นศัตรูกันภายในนั่นแหละเป็นต้นเหตุแห่งความล้มเหลว”

บาร์บาทอสพ่นลมออกจมูก เธอเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า เธอไม่พอใจเรื่องอะไร บาร์บาทอสนั้นเบื่อจอมมารที่โง่เขลาคนอื่น…….

อย่าห่วงเลย บาร์บาทอส ผมจะทำลายความเครียดที่เธอมีมาทั้งหมดภายในครั้งเดียว เธอน่ะควรจะใช้ชีวิตให้เหมาะกับรูปลักษณ์ภายนอกแล้วมีชีวิตดี๊ดีมีสุขเหมือนอย่างวัยรุ่นนะ ความเครียดนั่นแหละที่เป็นเหตุผลให้หน้าอกของเธอไม่โตตามวัยเหมือนสาววัยรุ่น

(TTL : ปากคอเราะร้ายยยยย)

“ลองคิดในมุมอื่นดูบ้าง ทำไมเหล่าจอมมารถึงเริ่มทะเลาะกันระหว่างสงครามล่ะ?

คงไม่ใช่อะไรที่ใครสักคนนึงอยู่ๆก็ครั้งขึ้นมาหรอกนะ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งด้วย หากแต่เป็นถึง 7 ครั้งน่ะ?”

“ก็เพราะพวกแม่งโง่สัตว์ๆ”

“เป็นสมมุติฐานที่น่าสนใจ แต่ถึงอย่างนั้น”

ผมขำเบาๆ ดูเหมือนว่า บาร์บาทอสน่ะจะจงเกลียดจงชังจอมมารตนอื่นอย่างแรงเลยล่ะ ผมหวังว่าเธอจะใจเย็นลงสักหน่อย เราจะได้ดำเนินบทสนทนาไปต่อกันด้วยความสงบและความคิดที่เป็นกลาง

“หากจอมมารทั้งหลายนั้นเป็นพวกโง่จริง คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงบัดนี้หรอก จากที่ข้าเข้าใจนะ พันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะล้มเหลวด้วยเหตุผลเดียวข้อเดียว คือ พวกเขาน่ะแข็งแกร่งเกินไป”

“เฮ้ย แกน่ะ ไอ้พังพอน”

บาร์บาทอสทำหน้ามุ่ยขึ้นมาทันที

พังพอนเหรอ!? ชื่อเล่นผมสินะ?

ไม่สิ ถึงชายหนุ่มผู้นี้จะผอมก็ตามที อ่า ออกจะผอมเพรียวเลยล่ะ แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้เธอเรียกผมว่า จิ้งจอกแทนมากกว่านะ

“ข้าเข้าใจนะว่า แกน่ะหัวดีหัวไว แล้วก็เข้าใจด้วยว่า ลิ้นแกเนี่ยมันลื่นแผลบอย่างกับชุ่มด้วยน้ำมันมะกอก

แต่ถึงอย่างนั้น ไอ้ที่ล้มเหลวเพราะแข็งแกร่งเกินไปเนี่ยนะ? มันจะไร้สาระอะไรขนาดนั้นวะ? ”

สถานการณ์เป็นแบบนี้นะ

ไม่สำคัญว่า จำนวนกำลังพลที่รวมกันแล้วจะมากแค่ไหน ยังไงฝ่ายมนุษย์น่ะก็รวมตัวกันได้ไม่เกิน 30,000 ถึง 40,000 คนหรอก อาจจะดูใหญ่นะ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดกองกำลังจอมมารได้

ถึงแม้พวกเขาจะโจมตีด้วยกำลังพล 30,000 นาย พวกเราก็สามารถป้องกันด้วยการส่งจอมมารลำดับที่มากกว่า 10 ขึ้นไปสัก 3 ถึง 4 ตนไปรับมือ มอนสเตอร์น่ะยังไงก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์อยู่แล้ว

แล้วถ้าหากทุกชาติของมนุษย์ในทวีปร่วมมือกันสร้างพันธมิตรบ้าง ซึ่งพวกเขาทำแน่ ก็อาจจะได้กองกำลังถึง 300,000เลย

กองกำลังหลักของมนุษย์ก็จะมีแต่พวกทหารเกณฑ์ห่วยๆ อ่อนการฝึก ในขณะที่อีกทางหนึ่ง ฝ่ายพันธมิตรเสี้ยวจันทราเองมีกำลังพลอย่างน้อยก็ 100,000 นาย ที่เป็นมอนสเตอร์

‘เป็นการได้เปรียบฝ่ายเดียวอย่างท่วมท้น’ นั่นคือ คำที่ใช้เพื่อนิยามสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ผมต้องขอบคุณต่อเหล่าบรรพบุรุษที่ได้สร้างสิ่งนี้ขึ้นเพื่ออนาคตของรุ่นต่อไป

“ว่ากันตามตรงนะ บาร์บาทอส สมาชิกทุกคนของฝ่ายพันธมิตรเสี้ยวจันทราน่ะ ท่านน่ะเป็นจอมมารผู้เดียวที่มีความปรารถนาที่จะนำชัยมาให้เผ่าปีศาจ

ในขณะที่จอมมารตนอื่น ฝ่ายมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการมีตัวตนอยู่เพื่อให้พวกเขาทำลายเล่นตามใจ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดกลับเป็นจอมมารด้วยกันเอง”

“……จอมมารกลับหวาดกลัวจอมมารด้วยกันเองเนี่ยนะ?”

“ท่านไม่คิดว่า มันกวนใจหรือยังไงกัน?

ราชาที่ยืนอยู่จุดสูงสุดเพื่อนำผู้คน ใครมันจะไปอยู่อย่างสบายใจกับการที่มีราชาอื่นนับรวมกันถึง 72 พระองค์ล่ะ?

นั่นคือ เหตุผลเดียวที่ว่า ทำไมไอ้ระบบแสนผิดปกตินี้ถึงมีขึ้นมาได้ก็เพราะความดื้อรั้นของพวกมนุษย์ต่างหากล่ะ”

ผมขำออกมา

“จอมมารเกือบทุกตนต้องเคยคิดเรื่องนี้อย่างน้อยก็สักครั้งหนึ่งนั่นแหละ จะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากที่พิชิตโลกมนุษย์ได้ล่ะ?

ข้าแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องตัวสั่นด้วยความกลัวที่จะถูกสังหารโดยจอมมารระดับสูงแน่”

“ห้ะ-หาาาาา!?”

บาร์บาทอสนั้นแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนเลยว่า เธอนั้นไม่เข้าใจ และเธออยากที่จะเถียงแต่ผมก็พูดทันทีก่อนเธอจะทำอย่างนั้น

“ข้าฆ่าอันโดรมาลิสุน แล้วไม่นานท่านก็เลือกข้าไปอยู่ด้วย ท่านคิดว่า มันดูเป็นยังไงสำหรับพวกเหล่าจอมมารที่เหลือล่ะ?”

บาร์บาทอสไม่ใช่จอมมารธรรมดาดาดๆ เธอเป็นหัวหน้าของฝ่ายที่ราบ แม้เธอจะเข้าหาผมด้วยเจตนาที่ดีในตอนนั้น แต่คนอื่นที่มองดูพวกเราไม่ได้ทางเลือกอื่นนอกจากมองภาพกว้าง

“ทั้งฝ่ายที่ราบนั้นปกป้องดันทาเลี่ยน จอมมารถูกฆ่า ยิ่งไปกว่านั้นพวกฝ่ายที่ราบน่ะเกลียดชังดูหมิ่นพวกฝ่ายภูเขามาเสมอ พวกเขาอาจสังหารสมาชิกฝ่ายอื่นโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว

……พอจอมมารอื่นคิดมาถึงตรงจุดนี้ ฝ่ายภูเขาก็จะเริ่มเอาเรื่องนี้มาคิดจริงจังแล้ว”

“แต่มันไม่มีทาง…….”

“คิดว่า พวกเขาไม่มีทางทำงั้นหรือ?

ท่านน่ะเรียกฝ่ายภูเขาว่าเป็นพวกขยะ แถมยังหาทางจัดการพวกเขาถ้ามีโอกาส ดูเหมือนที่ทำลงไปนั่นจะไม่ใช่แกล้งบลัฟเล่นๆแล้วล่ะ”

เธอปิดปากเงียบ

บาร์บาทอส เธอน่ะเป็นหนึ่งเรื่องความแข็งแกร่ง แต่ผู้แข็งแกร่งไม่มีทางเข้าใจจุดยืนของผู้อ่อนแอ เมื่อเธอเห็นจอมมารตนอื่นไม่เข้าร่วมสงครามที่เผชิญหน้ากับฝ่ายมนุษย์ เธอก็แปะป้ายตีตราพวกเขาว่าขี้ขลาดและโง่เขลา พูดว่า พวกเขาไม่มีปัญญาเอาชนะมนุษย์ได้

แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุด คือ จอมมารระดับสูงอย่างเธอนั่นแหละ

ช่วงห่างระหว่างอันดับ 1 ถึงอันดับ 72 นั้นไร้ที่สิ้นสุด

ในสถานการณ์ปัจจุบันการมีอยู่ของจอมมารทั้งหลายมีไว้เพื่อแผ่ขยายไปสู่โลกมนุษย์

หากมีจอมมารที่ทำร้ายจอมมารด้วยกัน พวกเขาก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์ว่าไอ้ระยำนั่นมันน่าเกลียดน่าชังอย่างไม่ต้องสงสัย กับการที่หลงลืมหน้าที่ตนเองแล้วหันมาฆ่าพี่น้องแทนที่จะฆ่ามนุษย์

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขาสามารถขยายอิทธิพลไปสู่โลกมนุษย์ได้?

สุดยอดศัตรูที่รู้จักกันในนามว่า มนุษย์ก็จะหายไปยังไงล่ะ มีแต่จอมมารเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่

ราชาทั้ง 72 จะกุมมือกันแล้วปกครองผืนทวีปอย่างราบรื่นแสนสุขอย่างนั้นรึ?

ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว จอมมารก็จะหันมาก่อสงครามกันเองและสุดท้ายก็มีแต่จอมมารระดับสูงสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้

“จอมมารส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีความปรารถนาที่จะพิชิตโลกมนุษย์อยู่แล้ว”

ถ้าพูดให้ชัดๆคือ พวกเขาไม่อยากใช้กองกำลังของตัวในการพิชิตมนุษย์

การกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้แล้วนั้นไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะไม่ต้องการกองกำลังอีกต่อไป แถมพวกเขายังต้องการมากยิ่งกว่าที่เคยด้วยซ้ำ ดังนั้นเหล่าจอมมารทั้งหลายจึงต้องการรักษากองกำลังตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งอันดับต่ำก็ยิ่งเป็นอย่างนั้น

ในตอนเริ่มแรกเดิมทีนั้น มีแค่จอมมารกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ทำตัวเห็นแก่ตัวอย่างนั้น พวกเขาไม่เสียอะไรเลยแม้พันธมิตรเสี้ยวจันทราจะล่มลงไป

แต่หลังจากเห็นอย่างนั้นแล้ว จอมมารตนอื่นก็เริ่มเห็นแก่ตัวตามด้วย ในท้ายที่สุด ฝ่ายต่อต้านสงครามที่เป็นกลุ่มน้อยพอผ่านมา 2,000 ปีตอนนี้กลายเป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็น กองกำลังฝ่ายภูเขา และปัจจุบันก็กลายเป็นฝ่ายส่วนมากของจอมมาร…….

บาร์บาทอสนั้นเงียบไป ดูเหมือนเธอจะเชื่อมจุดเข้าด้วยกันได้แล้ว

“เฮ่ออออออออออออ”

เธอถอนใจออกมาเฮือกใหญ่

“ฟัค , ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมไอ้พวกห่าเหวนั่นแม่งถึงปฏิเสธการนำกองกำลังไปรบอย่างขมขื่นขนาดนั้น แม้กระทั่งการรวมพลครั้งที่ 4 …… ครั้งที่ 6 ……แม่งทุกครั้งเลยโว้ย…… ห่าเอ้ย!”

ผู้อ่อนแอมีทางเอาชีวิตรอดในแบบของตัวเอง

ผู้แข็งแกร่งย่อมเข้าใจว่า นั่นเป็นหนทางการเอาชีวิตรอดที่ขี้ขลาดและไร้น้ำยาที่สุด ทำไมกันล่ะ?

เพราะพวกเขาแข็งแกร่งเลยไม่เชื่อว่า พวกเขาแข็งแกร่งได้เป็นเพราะเห็นแก่ตัวอย่างนั้นหรือ

ที่พวกเขาแข็งแกร่งเป็นเพราะพวกเขานั้นกล้าหาญ,ทรงประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จอย่างนั้นหรือ

พอคิดแบบนี้ พวกแข็งแกร่งจึงมักดูถูกผู้อ่อนแอกว่าซึ่งมันเป็นสิ่งจำเป็น มันเป็นโครงสร้างทางจิตที่เข้าใจได้โดยง่าย

“การพยายามจะพิชิตโลกมนุษย์ด้วยกลุ่มจอมมารกลุ่มเล็กๆนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หากมีจอมมารสักตนที่บุกเข้าไปโจมตี พวกมนุษย์ก็จะผนึกกำลังร่วมมือกันทันที ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราต้องรวมกำลังกันในฐานะจอมมารให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และสร้างพันธมิตรเสี้ยวจันทรา แต่ทว่า…….”

“ยิ่งจอมมารอยู่ด้วยกัน ก็ยังมีความซับซ้อนในเชิงโครงสร้างของคำสั่งตามมา ดังนั้นไอ้เลวที่แม่งทำตัวหน้าด้าน ละโมบก็เลยเพิ่มขึ้นด้วย! ห่าเอ้ย”

ถูกต้อง นั่นแหละ ความลักลั่นย้อนแย้งของเหล่าจอมมาร

พวกเขาไม่สามารถปราบศัตรูได้เพราะพันธมิตรนั้นแข็งแกร่งเกินไป

ไม่หรอกไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาปราบศัตรูไม่ได้เพราะถูกฆ่าตายก่อนในอนาคตอันใกล้นี้ต่างหาก

แล้วสถานการณ์ก็จะกลายเป็นอย่างนี้ จอมมารปฏิเสธที่จะบุกโลกมนุษย์ และเสียเวลา ไปกับความขัดแย้งทางการเมืองอันไร้ประโยชน์ แล้วก็ขังตัวเองอยู่แต่ในปราสาท

นั่นคือ ฉากเหตุการณ์ใน<Dungeon Attack> ฝ่ายของจอมมารแต่ละตนปฏิเสธยุคบุกเบิกอันยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะถูกฆ่าเรียงตัวโดยปาร์ตี้ผู้กล้า จอมมารบางตนนั้นอาจดีใจด้วยซ้ำไปที่รู้ว่า สหายของตัวเองนั้นที่มีความสามารถเป็นศัตรูในอนาคตถูกฆ่าตายไป พวกเขาก็คงจะหัวเราะเยาะเย้ยและเรียกจอมมารที่ตายโดยน้ำมือนักผจญภัยมนุษย์ว่า จอมมารที่น่าสมเพช

แต่ในท้ายที่สุด เผ่าปีศาจก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ จอมมารถึงพึ่งได้มาตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ก็ต่อเมื่อ พวกของตนครึ่งหนึ่งถูกฆ่าโดยผู้กล้า

พวกเขาพยายามที่จะรวมกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราขึ้นมาใหม่แล้วบุกจู่โจมมนุษย์ แต่มันก็เป็นการโดนฆ่าฝ่ายเดียว หัวของพวกเขาค่อยๆหลุดออกจากบ่าที่ละ ทีละคนด้วยดาบของผู้กล้า……ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้

ปัญหาของความโง่เขลาดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการที่ด้อยสมรรถภาพใดเลย หากแต่เป็นระบบของ ‘72 จอมมาร’ ต่างหาก ระบบโง่เง่าที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน

“แต่ยังมีวิธีหนึ่งในการแก้ไขสถานการณ์นี้”

“มันคืออะไร?”

บาร์บาทอสมองผมอย่างจริงจังสุดๆ เด็กสาวที่เคยหยอกล้อลูบท่อนล่างผมเล่นหายไปแล้ว

ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมคือ จอมมารตนหนึ่งที่กำลังคิดถึงอนาคตของเธอและอนาคตของเผ่าปีศาจ

ผมถอนใจพลางพูดไปด้วย

“เราจะต้องไม่เป็นฝ่ายบุกอย่างเดียว เราจะทำให้มนุษย์จู่โจมเราด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเราต้องลดจำนวนจอมมารที่มีอยู่ปัจจุบันให้เหลืออย่างน้อยครึ่งหนึ่งก่อน”

“ดันทาเลี่ยน”

เธอจ้องมาที่ผม ดวงตาเย็นของราชาจับจ้องมาที่ผม

“แกเข้าใจสิ่งที่กำลังพูดอยู่ไหม?

แกกำลังแนะนำให้พวกเราฆ่ากันเองถึงครึ่งหนึ่งที่มีเพียง 72 ตนในโลก”

“ถ้าเราไม่ทำ ทั้ง70 ตนของพวกเราจะสูญสิ้น……!”

ผมเตือนเธอ

“ไม่ช้าก็เร็ว มนุษย์ก็จะตระหนักได้ว่า จอมมารเป็นศัตรูอันตรายของพวกเขา

และเพราะกาฬโรคนั่นเอง มันมีโอกาสที่เผ่าอื่นๆทั้งหลายนั้นจะถอนตัวเพราะข่าวลือ และเป็นศัตรูกับจอมมารอย่างพวกเราเช่นกัน

พวกมันจะหาโอกาสที่จะยึดปราสาทจอมมารและเรียกญาติพี่น้องของพวกเราที่ยอดเยี่ยมที่เอาแต่ยืนดูว่า เป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ!”

นั่นคือ อนาคตที่เกิดขึ้นใน<Dungeon Attack> นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมเท่านั้นตระหนักถึงได้ มันเป็นอนาคตอันโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้สำหรับเผ่าปีศาจ

“หากปล่อยให้พวกเราไปถึงจุดนั้น มันจะสายเกินไป ในสถานการณ์ปัจจุบันที่กองกำลังของพวกเรายังสมบูรณ์อยู่ พวกเราต้องรวมพลังกันและลดอิทธิพลที่มีต่อโลกมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเราต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาทั้งหมด!”

ความจริงแล้วมันไม่ใช่เป้าหมายของผมหรอกตราบใดที่ภารกิจพิชิตโลกเป็นเป้าหมายสูงสุดของผม มันก็ยังพอมีความเป็นไปได้ที่ผมจะพิชิตเหล่าจอมมารได้

ถ้าหากเกิดสงครามอย่างนี้ ผมจะสามารถทำให้ทั้งฝ่ายมนุษย์และจอมมารในโลกอ่อนแอลง แล้วฉวยโอกาสได้ สงครามที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติและปีศาจชาติ จะเข้ามาแทน

ทั้งสองฝั่งจะสูญเสียเป็นอันมาก และไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะต้องใช้เวลานานกว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะฟื้นฟูได้จากสงครามการแก้แค้นกันไปกันมา

และผมจะสร้างอิทธิพลขึ้นด้วยการซื้อเวลาให้ตัวเองระหว่างนั้น

มันช่วยไม่ได้นี่หน่า!

มันเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติอยู่แล้วที่จะสั่งสมกองกำลังด้วยวิธีปกติอย่างเดียว!

ดูค่าสแตทของผมเทียบบาร์บาทอสที่เลเวล 357 สิ!

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

True Name: Dantalian

Race: Demon Lord    Faction: Dantalian’s Demon Lord Army

Attribute: Evil(-20)

Level: 21    Infamy: 3750

Job: Dungeon Manager(F), Demon Lord(E)

Leadership: 26/30  Might: 7/10   Intelligence: 30/32

Politics: 24/30  Charm: 15/20  Technique: 4/10

*Titles: 1. Demon Lord of Fear

*Abilities: Tactics(E), Marksmanship(F), Mining(F)

*Skills: Acting

[Achievements: 2]

[Subordinates: 42 units/210 units]

━━━━━━━━━━━━━━━━━━━━

ลำดับ 8 บาร์บาทอส เลเวล 357 และยังมีจอมมารอีก 7 ตนที่แข็งแกร่งกว่าเธอ!

ผมจะฟาร์มเลเวลยังไงให้สามารถเผชิญหน้ากับบุคคลสัตว์ประหลาดระดับนั้นไดเล่ะ?

แล้วเมื่อไหร่ผมจะสำเร็จได้ด้วยการครองโลกกัน?

แล้วจอมมารตนอื่นจะไม่ทำอะไรระหว่างที่ผมแข็งแกร่งขึ้นเหรอ?

แล้วพวกฝั่งมนุษย์อีกล่ะ?

แล้วผมจะควบคุมตัวเอกในอีก 10ปี ข้างหน้ายังไง พร้อมกับปาร์ตี้ของพวกเขาที่จะกลายมาเป็นฮีโร่ผู้มีชื่อเสียงอีก?

ผมมีเวลาไม่มากพอที่จะทำสำเร็จในทุกอย่าง

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมทำได้คือ การทอนกำลังฝ่ายตรงข้าม ไม่เพียงแต่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นแต่ยังฝ่ายตัวเอกและสหายที่ทรงพลังของพวกเขาด้วย

ก่อนที่จะทรงพลังขนาดที่ตัดภูเขา เผามหาสมุทร ก็อีก10ปีนับจากนี้ไป

จาก ณ ปัจจุบันนี้ พวกเขายังไปไม่ถึงศักยภาพขั้นสุด!

แม้แต่ตอนนี้พวกตัวเอกเองก็เป็นแค่เด็ก 7 ขวบ นี่คือ โอกาสที่ดีที่สุด!

ถึงจะเรียกว่า การเดิมพันก็เถอะ แต่หากเอาแต่รออนาคต ไม่มีทางที่จะได้รับชัยชนะ ผมต้องทุ่มไพ่ทุกใบลงไปในขณะที่ยังเห็นโอกาสอยู่

ไม่ ไม่ใช่แค่เห็นโอกาส

มันต้องมีโอกาสแน่นอนเพราะผมรู้ข้อมูลทุกอย่างของ <Dungeon Attack>!

ผมจะลดทอนจำนวนทั้งฝั่งปีศาจและมนุษย์เพื่อซื้อเวลาให้ตนเอง ผมจะทำทั้งหมดนั่นในการศึกครั้งนี้

“บาร์บาทอส ที่ผ่านมาท่านแปะป้ายว่าพวกฝ่ายภูเขานั้นระยำนั่นเป็นพวกขี้ขลาดมาเสมอใช่ไหม?”

ผมพูดออกไปด้วยจริงใจและเจือความสิ้นหวัง

“จอมมารส่วนใหญ่ที่เสียสละมักเป็นของฝ่ายภูเขา ไอ้พวกห่าระยำนั่นแม่งตาบอดด้วยความโลภและยอมแพ้กับความใฝ่ฝันของเหล่าปีศาจและหน้าที่ในฐานะจอมมาร

นี่แกตั้งใจจะทำลายความฝันของเหล่าปีศาจด้วยการกังวลกับไอ้พวกนั้นเนี่ยนะ!?”

“……ใครจะเป็นผู้เสียสละคนแรกล่ะ?”

บาร์บาทอสถามหลังจากเงียบไป

“เพื่อให้เกิดการรวมเป็นหนึ่งกันของจอมมาร มนุษย์จะบุกเข้ามามหาศาล กองกำลังขนาดใหญ่อย่างที่ไม่อาจประเมินได้จะพุ่งคมดาบเข้าหาเราและจะต้องมีจอมมารอย่างน้อยที่ต้องตายจากกองกำลังพวกนั้น ก่อนที่พวกเราจะรวบรวมกองกำลังพันธมิตรเสี้ยวจันทราได้”

เธอพูดถูกเลยล่ะ

จอมมารจะไม่ร่วมมือกันจนกว่าจะเห็นภาพว่าอันตรายนั้นมาจ่อที่จมูกแล้ว จนกระทั่ง ชีวิตร่วงหล่นหนึ่งราย สองราย และถ้าพวกเราโชคไม่ดีนัก ญาติของเราสามรายตายไป

หากพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ หากพวกเราไม่ผนึกกำลังกัน พวกเราจะถูกมนุษย์กำจัดทีละตน ทีละตน การรับรู้หายนะจะเกิดพร้อมกัน

“ข้าขอโทษ แต่……ฝ่ายที่ราบต้องเป็นฝ่ายเสียสละก่อน”

“เคี๊ยก ข้ากะไว้แล้ว”

บาร์บาทอสหัวเราะเบาๆ เธอต้องเดาเจตนาของผมออกแน่

หากสมาชิกในฝ่ายที่ราบเป็นผู้ถูกฆ่าโดยกองกำลังของมนุษย์ก่อน บาร์บาทอสก็จะยิ่งทรงอำนาจมากขึ้น เธอสามารถที่จะแสดงความปรารถนาที่จะล้างแค้นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ยังขัดขวางข่าวลือเรื่องที่ฝ่ายที่ราบเป็นผู้สร้างกาฬโรคด้วย…….

บาร์บาทอสลุกขึ้น เธอเดินมาหาผม

“เจ้าช่างโหดร้าย ดันทาเลี่ยน โหดร้ายสุดๆไปเลย”

น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความเศร้า เธอใช้มือลูบไปที่ท้อง อก คอ และแก้มของผม ราวกับต้องการจะปลิดชีพผมด้วยมือของเธอ ผมรับสัมผัสนั้นอย่างหาญกล้า

“ตอนที่ข้าน่ะทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนศพริฟ ข้าแค่อยากจะเห็นเจ้าเติบโตขึ้นสักหน่อย

ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทะเลาะกับบาเรี่ยล แล้วท้าทายพวกฝ่ายภูเขา เติบโตขึ้นกลายเป็นจอมมารที่ยอดเยี่ยมหลังผ่านแสงจันทร์ในแต่ละวันเพ็ญไป

ดูเหมือนฝ่ายที่อ่อนแอจะเป็นข้ามาโดยตลอดสินะ เคะเคะ…….”

“บาร์บาทอส”

“ไม่เป็นไร ข้าจะร่วมด้วย สงครามงั้นหรือ?

นั่นแหละสิ่งที่ข้าต้องการ การเสียสละงั้นเหรอ?

ถ้ามันเป็นสิ่งที่ข้ายึดถืออยู่ ข้าก็โยนมันทิ้งไปนานแล้ว ข้าอดทนต่อทุกสิ่งอย่างได้เพื่อชั่วขณะแห่งสงครามอันเปี่ยมเกียรติ

ข้าคือ จอมมาร ”

บาร์บาทอสหันคางของผม ใบหน้าของเธอและผม จมูกต่อจมูก ที่จ้องตรงต่อกันและกัน ลมหายใจที่ไหลออกมาจากริมฝีปากเล็กๆแตะใบหน้าผม

“แต่มันช่างน่าประหลาดใจและน่าสนใจมาก ดันทาเลี่ยน นี่เจ้าน่ะทำอย่างนี้เพราะเจ้ารู้บุคลิกของข้าเป็นอย่างดี

……. นี่เจ้ามองไปข้างหน้าได้ไกลแค่ไหน และเจ้าปราราถนาอะไรกัน?

ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่า หนทางที่อยู่ตรงหน้าจะทอดยาวไปสู่ที่ไหน จนข้าทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ดูนี่สิ”

เธอดึงมือผมไปแล้วไปวางไว้ตรงหว่างขาเธอ เธอถลกกระโปรงไปข้างๆแล้วเอามือของผมเข้าไปลึก ปลายนิ้วผมแตะกับผ้าบางๆ มันเปียก

“ข้าแฉะแล้วว่ะ

……แค่นึกถึงความโหดร้ายของสงครามที่เจ้าจะก่อขึ้น มันก็ทำให้ข้าตื่นเต้นแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอ บุคคลที่ชั่วร้าย น่ารังเกียจอย่างกับหมา”

อ่าห์

อีกแล้วสินะ เวทย์มนตร์ปลุกเซ็กของเธอ แต่ครั้งนี้บาร์บาทอสนั้นกระซิบผมเบาๆขณะที่เลียหูผมไปด้วย ผมรู้สึกมึนงง กามราคะที่เทียบไม่ได้กับก่อนหน้าไหลเข้าผ่านมาทางหู มันทำให้สมองของผมลอยละลิ่วไปกองกันอยู่ที่ร่างกายส่วนล่างผ่านไขสันหลัง ร่างของผมรุ่มร้อนขึ้น เสียงอันหนืดเหนียวเทไหลเข้ามาหาขณะที่ผมพยายามที่จะประคองสติไว้

“ข้าน่ะอยากจะโดนอัดกระแทกด้วยไอ้ระยำเหมือนหมา

และร้องครางเหมือนอีตัวกำลังติดสัด

……อยากลองสักหน่อยไหม?”

ตอนนั้นเองที่สติสัมปชัญญะของผมหยุดไป มีเพียงสิ่งที่พอจำได้ลางๆก็คือ เธอกับผมนั้นต่างมีกิจกรรมกันขณะที่ดันตัวผ่านไปยังวังจอมมาร พวกเราเชื่อมต่อกันในทุกท่าทาง ใช้ประโยชน์จากสิ่งของทุกอย่างไม่ว่าจะโต๊ะ,เก้าอี้,และอะไรต่อมิอะไรที่ฉวยคว้ามาได้

เธอคว้าจับขณะที่ส่งเสียงคราง ผมคิดแล้วมองไปที่เธอ

สิ่งนี้คือ สัญญา

สัญญาลับระหว่างสองบุคคลที่ตั้งใจจะสร้างแผนชั่วเพื่อให้ญาติของพวกเราตกสู่นรก นับจากนี้เป็นต้นไป…….

ฤดูหนาวเข้ามาใกล้ ฤดูกำลังเปลี่ยน

ฤดูใบไม้ผลิแรกที่ผมได้มาสู่โลกนี้

จอมมารลำดับ 49 โครเค่ล(Rank 49 Demon Lord Crocel)แห่งฝ่ายที่ราบได้ตายลงจากการบุกโจมตีของพวกมนุษย์

คำส่งท้ายผู้เขียน

— บท <สองแผนร้าย> จบ

— พาร์ท 1 จบแล้ว และพาร์ 2 จะเริ่มต้นขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด