ตอนที่แล้วChapter 48 ค่ายวายุทมิฬ เปิ่นจั้วกวาดล้างเอง.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 50 ดาบนี้ ของจริงหรือของปลอม?

Chapter 49 ศัตรูในทางแคบ


“เจ้าสำนักจุน คำพูดที่ออกมาแล้วไม่สามารถกล่าวโดยไร้ความรับผิดชอบได้ ผู้กล้าไม่สามารถที่จะถูกแอบอ้างได้ง่าย ๆ!”

“......”

“เจ้าสำนักจุน มีหลายคนที่ปลอมเป็นผู้กล้าเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ถูกสอบสวน ขังคุก แม้แต่มีคนถูกตัดหัวไปก่อนด้วย.”

“......”

“เจ้าสำนักจุน รับฟังประมุขหลี่ กลับไปเถอะ อย่าไปตำหนักเจ้าเมืองเลย.”

“กึก.”

จุนซ่างเซียวที่ก้าวไปด้านหน้าแล้วหยุด เอ่ยกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ประมุขหลี่ เปิ่นจั้วจะไม่พูดอะไรให้มากความอีก ค่ายวายุทมิฬนั้นเป็นข้าทำลายไป!”

ประมุขหลี่เอ่ย “ก่อนอื่นไม่ต้องเอ่ยเลยว่าความแข็งแกร่งของหัวหน้าใหญ่โจรภูเขานั้นแข็งแกร่งขนาดใหน ค่ายที่แข็งแกร่งขนาดนั้น เจ้าสำนักจุนเข้าไปได้อย่างไร.”

“ข้า......”

จุนซ่างเซียวที่เงียบ.

จะพูดอธิบายอะไรไปก็คงเปล่าประโยชน์ ทางที่ดี ก็คือไม่ควรโต้เถียงเลยจะดีกว่า.

ประมุขหลี่เอ่ย “เจ้าสำนักจุน หากต้องการจะรับเงินรางวัล ว่าได้ทำลายค่ายวายุทมิฬ ก่อนอื่นก็ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วการเดินทางไปยังตำหนักเจ้าเมือง มีแต่จะเป็นการทำร้ายตัวเอง.”

นี่คือการโน้มน้าวอย่างจริงใจ.

นอกจากนี้ เขายังได้รับข่าวมาเลยว่า คนที่แสร้งปลอมตัวเป็นผู้กล้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ทำให้เจ้าเมืองโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เจ้าสำนักจุนมีแต่ จะโชคร้ายมากกว่าโชคดี.

“ใช่แล้ว.”

“มีหลักฐานอะไรที่จะแสดงว่ากำจัดค่ายโจรไป?”

จุนซ่างเซียวครุ่นคิด.

ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและเอ่ยออกมาว่า “ประมุขหลี่ เปิ่นจั้วย่อมมีหลักฐาน.”

“มีหลักฐาน?”

“ไม่จริงน่า.”

แววตาของทุกคนที่ตื่นตะลึง ประมุขหลี่ถึงกับเสียอาการเล็กน้อย ลอบคิดในใจ “นี่เขาเป็นคนกำจัดค่ายโจรวายุทมิฬจริง ๆ รึ? เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”

......

ตำหนักเจ้าเมืองนั้นอยู่สุดถนนเส้นที่ใหญ่ที่สุด ตำหนักเจ้าเมืองมีขนาดใหญ่ที่สุดด้วย ด้านนอกนั้นมีกำแพงใหญ่และด้านหน้าประตูมีราชสีห์ศิลาสองตนตั้งประดับอยู่.

“เจ้าสำนักจุน ข้าขอกลับก่อน.”ประมุขหลี่ที่นำจุนซ่างเซียวมา หากแต่ไม่คิดจะตามเข้าไปเลยแม้แต่น้อย.

จุนซ่างเซียวเองก็หาได้สนใจเขาแต่อย่างใด เขาก้าวตรงไปหยุดที่ด้านหน้าประตูตำหนักเจ้าเมือง.

“ช้าก่อน.”

ยามประตูที่ยกกระบี่กั้นเอ่ยกล่าวออกมาว่า “ผู้มาเป็นใคร.”

จุนซ่างเซียว มือสองข้างขัดหลังเอ่ยกล่าวออกมาว่า “โปรดแจ้งเจ้าเมือง เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้งมาเยือน.”

ประมุขหลี่ที่ยืนแอบอยู่ที่ไกลออกมา ได้ยินคำพูดดังกล่าว ภายในใจที่คลายใจลง “เจ้าสำนักจุนไม่ได้เอ่ยถึงรางวัล ดูเหมือนว่า ก่อนหน้านี้จะล้อเล่นเท่านั้น.”

ใช่แล้ว.

ในฐานะผู้ปกครองสำนัก ไม่สามารถแอบอ้างได้ การโกหก ทำให้ลบหลู่สถานะของตัวเอง.

“เจ้านะรึ? เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง!” ผู้คุ้มกันประตูที่ยกยิ้มเหยียดหยันเอ่ยออกมาว่า “ตำหนักเจ้าเมืองมีข้อกำหนดที่ตายตัว ตั้งแต่เจ้าสำนักระดับแปดลงไป หากไม่มีหมายเรียกไม่สามารถเข้าพบได้.”

จุนซ่างเซียวที่ขมวดคิ้วไปมาเล็กน้อย.

ยามเฝ้าประตูช่างยโสโอหังจริง ๆ โลกใบนี้ช่างเป็นโลกที่โหดร้ายมาก.

“วิ้ง!”

จุนซ่างเซียวไม่ได้บุกเข้าไป เขาที่ยกป้ายประกาศขึ้นเอ่ยกล่าวอย่างนุ่มนวล “เช่นนั้นแจ้งเจ้าเมืองด้วย จุนโหมวมารับเงินรางวัล.”

ประมุขหลี่ที่ตื่นตะลึง “เจ้าสำนักจุนเอ่ยไปแล้ว!”

คนเหล่านี้ไม่เคยไปลานยุทธ์ไม่เคยเห็นจุนซ่างเซียว ไม่แม้แต่ได้ยินเรื่องราวของเขา จึงไม่ได้ให้ค่าจุนซ่างเซียวเลยนั่นเอง.

ยามเฝ้าประตูที่เผยท่าทางไม่อยากเชื่อ “เจ้านะรึทำลายค่ายโจรวายุทมิฬ?”

“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว.”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “รีบไปแจ้งได้แล้ว.”

ยามเฝ้าประตูที่แค่นเสียงดูแคลนเอ่ยกล่าวออกมาว่า “ไอ้หนู เจ้าคิดดีแล้วสินะ เมื่อข้าไปแจ้ง แกต้องได้รับหายนะถูกขังคุกทันทีแน่นอน.”

“ไม่อยากทำงานแต่อยากสร้างปัญหาอย่างงั้นรึ?”จุนซ่างเซียวเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล.

ยามคุ้มกันที่ส่ายหน้าไปมา “หากหมาและแมวแกล้งปลอมตัวก็ยังพออภัยได้ แต่เจ้าเป็นเจ้าสำนักทำตัวเช่นนี้ ไร้คุณค่าความเหมาะสมจริง ๆ.”

ระหว่างที่กล่าว เขาก็ก้าวเข้าไปในตำหนักเจ้าเมือง.

ผ่านไปนานเหมือนกัน เขาก็เดินกลับมา “เข้าไป.”

จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้าไป ขณะก้าวผ่านยามเฝ้าประตูเอ่ยกล่าวออกมาเสียงเบา “ทำได้แค่นี้ไปเฝ้ากรงหมาดูจะเหมาะสมกว่า.”

“เจ้า......”ยามเฝ้าประตูที่ใบหน้ามืดครึ้ม.

จุนซ่างเซียวที่สะบัดแขนเสื้อ เอ่ยกล่าวออกมาว่า “ข้าหมายความว่าเจ้าทำงานเฝ้าประตูไม่ได้เรื่อง ควรไปทำงานเลี้ยงหมาถึงจะเหมาะ.”

“ไอ้สารเลว”ยามเฝ้าประตูคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว แค่นเสียงเย็นชา “ขอให้ถูกจับไปกุดหัว บังอาจด่าว่าเหล่าจื่อ.”

......

จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้าไปในตำหนัก.

ลานด้านนอกของตำหนักเจ้าเมืองใหญ่กว่าสำนักไท่กู่เจิ้งมาก ถูกปูด้วยหินอ่อน ที่ทำมาจากวัสดุระดับสูง.

ที่ด้านหน้าของเขาเป็นลานยุทธ์ที่สร้างขึ้นเป็นเวทีที่หรูหรามาก ส่องประกายระยิบระยังราวกับปูด้วยทองคำและมรกต.

จุนซ่างเซียวที่สีคางไปมา เอ่ยออกมาเสียงเบา “หากข้ามีเงิน จะขยายสำนักให้เท่ากับตำหนักเจ้าเมืองไปเลย.”

“วิ้ง.”

ที่ด้านหน้าห้องโถงหลัก มีชายวัยกลางคนที่ก้าวออกมา.

บุรุษที่สวมชุดที่หรูหรา แผ่กลิ่นอายที่หนักหน่วงรุนแรง แผ่กลิ่นอายที่สูงส่งของยอดฝีมือ.

ขณะเดินทางมา จุนซ่างเซียวได้ยินคำพูดอธิบายลักษณะท่าทางของเจ้าเมืองจากประมุขหลี่แล้ว เขาได้ยกมือประสาน พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “เจ้าสำนักไท่กู่เจิ้ง จุนซ่างเซียว คารวะเจ้าเมืองเซี่ย.”

“ฮ่าฮ่าฮ่า.”

เจ้าเมืองเซี่ยที่เผยยิ้มอย่างจริงใจ “หนึ่งเดือนที่แล้วงานรับศิษย์ร้อยสำนัก เปิ่นเฉิงจู่(เจ้าเมืองผู้นี้)ได้ยินข่าวมาเหมือนกัน เวลานั้นกำลังปิดด่านอยู่ ไม่ได้เชิญเจ้าสำนักจุนมาพูดคุย นับว่าน่าเสียดายจริง ๆ.”

จุนซ่างเซียวที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมา เขาครุ่นคิด เอ่ยในใจ “เขามีความแข็งแกร่งขนาดใหนกัน?”

ระบบตอบ “สูงกว่าอาวุโสนิกายเขาชางซาน.”

“บรรพชนยุทธ์อย่างงั้นรึ?”

จุนซ่างเซียวที่คิดในใจ “ไม่สงสัยเลยแผ่แรงกดดันขนาดนี้ออกมา.”

“เจ้าสำนักจุน.”

เจ้าเมืองเซี่ยผายมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เชิญ.”

......

จุนซ่างเซียวที่ก้าวเข้าไปในห้องโถง ทว่าทันทีที่เข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือบจากคนสองคนที่จ้องมองเข้ามา.

เขาจดจ้องมองไปที่เก้าอี้ด้านข้างนั้นมีชายวัยกลางคนสองคนยืนอยู่.

“เจ้าสำนักจุน.”

เจ้าเมืองเซี่ยกล่าวแนะนำ “คนทั้งสองคืออาวุโสสำนักหลิงชวน ด้านขวา เหว่ยอี้ไล ด้านซ้ายเหว่ยอี้เล่อ.”

“.”

จุนซ่างเซียวที่คิดอะไรบางอย่างในใจ ก่อนที่จะเผยยิ้มยกมือประสาน “แท้จริงทั้งสองก็คืออาวุโสของสำนักหลิงชวนนี่เอง นับเป็นครั้งแรกเลยที่ได้พบ.”

“ชิ.”

เหว่ยอี้เล่อและเหว่ยอี้ไลแค่นเสียงเย็นชาออกมาพร้อม ๆ กัน.

น้องสี่ของเขาถูกเจ้าเด็กคนนี้ตัดแขน แน่นอนว่าไม่มีทางญาติดีกันได้อยู่แล้ว.

จุนซ่างเซียวหาได้สนใจ ขณะจ้องมองไปยังที่นั่งและนั่งลง มือของเขาที่วางเผยท่าทางสบาย ๆ ครุ่นคิดอยู่ในใจ “ห่าเอ้ย! โลกมันจะแคบเกินไปแล้ว.”

สองพี่น้องเหว่ยอี้เล่อจ้องมองเขาด้วยความเกลียดชัง เจ้าสำนักจุนเองก็เกลียดสำนักหลิงชวนเช่นกัน ต้องไม่ลืมว่าต้นเหตุนั้น พวกเขาเป็นคนที่จ้างค่ายโจรมาลักพาศิษย์ของเขา.

“เจ้าสำนักจุน.”

เจ้าเมืองเชี่ยที่เผยยิ้ม “ได้ยินจากยามเฝ้าประตู เจ้าสำนักจุนมารับรางวัลอย่างงั้นรึ?”

“ไม่ผิด.”

จุนซ่างเซียวที่ยกป้ายประกาศขึ้น.

“ชิ.”

เหว่ยอี้ไลที่เอ่ยออกมาเล็กน้อย “ด้วยความสามารถของเจ้าสำนักจุนนะรึ? สามารถทำลายค่ายโจรได้ กำลังฝันอยู่รึไง.”

“ในความเห็นของข้า เจ้าสำนักจุนกำลังขาดเงินอย่างหนัก จึงได้แสร้งปลอมตัวมารับเงินรางวัล.”เหว่ยอี้เลอที่เผยยิ้ม ใบหน้ายินดีแต่หัวใจเต็มไปด้วยความชั่วร้าย.

แค้นข้าอย่างงั้นรึ?

จุนซ่างเซียวที่ไม่แสดงอาการใด ๆ เจ้าเมืองเซี่ยเอ่ย “เจ้าสำนักจุน เจ้ามีพยานว่าได้เดินทางไปกำจัดค่ายวายุทมิฬหรือไม่?”

จุนซ่างเซียวเอ่ย “ขอพูดตามจริงต่อเจ้าเมืองเซี่ย จุนโหมวขึ้นเขาไปเพียงคนเดียว ทำลายค่ายวายุทมิฬทั้งหัวหน้าโจรและโจรภูเขากว่าสองร้อยคน ไม่มีพยายานเห็น.”

ใบหน้าเจ้าเมืองเซี่ยที่กลายเป็นมืดครึ้ม.

มีเหล่าผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่น้อยต้องการรางวัล แต่ทุกคนไม่มีใครที่มีประจักษ์พยานสักคน คนแล้วคนเล่าที่มารับรางวัล หลังจากสอบสวน ท้ายที่สุดก็แค่ปลอมตัวต้องการรางวัลเท่านั้น.

“ไม่มีพยาน ไม่มีใครเห็น.”

เหว่ยอี้ไลที่กล่าวออกมาในทันที ”เจ้าเมืองเซี่ย ในความเห็นของเหว่ยโหม่ว เขาเพียงแค่แอบอ้างเพื่อรับรางวัลเท่านั้น.

เหว่ยอี้เล่อที่กล่าวสนับสนุนเป็นปี่เป็นขลุ่ยขึ้นมาทันที “สำนักเจ้าเมืองนั้นมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี อยากให้คนทั้งยุทธภพดูแคลนรึไง ขายหน้าพันธมิตรร้อยสำนักจริง ๆ.”

“พวกเขลา.”จุนซ่างเซียวสบถออกมา.

“ผลั๊ว!”

เหว่ยอี้ไลและเหว่ยอี้เล่อโกรธเกรี้ยวฟาดพนักพิงเสียงดัง “ไอ้หนู แน่จริงพูดอีกครั้งสิ!”

จุนซ่างเซียวหาได้สนใจคนทั้งสอง กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเมืองเซี่ย จุนโหมวแม้นว่าไม่มีพยานพบเห็น ทว่าก็มีสิ่งของยืนยัน.”

“อะไร?”เจ้าเมืองเซี่ยกล่าว.

จุนซ่างเซียวขณะกล่าว ก็ได้นำดาบยักษ์ออกมา อาวุธที่มีลายสลักรูปมังกรเขียวกำลังคำราม.

เจ้าเมืองเซี่ยที่มองเห็นก็เผยท่าทางอัศจรรย์ออกมา “นี่มันดาบสะบั้นมังกรเขียวของโจวเทียนป้า!”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด