ตอนที่แล้วบทที่ 19 กลับไปสู่ความเป็นจริง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 21 การสมรู้ร่วมคิดเริ่มต้นขึ้น (ตอนที่ 2)

บทที่ 20 การสมรู้ร่วมคิดเริ่มต้นขึ้น (ตอนที่ 1)


บทที่ 20 การสมรู้ร่วมคิดเริ่มต้นขึ้น (ตอนที่ 1)

ซุนเฉิงคาดคิดเกี่ยวกับการนำสิ่งต่างๆ กลับมาจากจักรวาลที่พวกดิเซปติคอนอาศัยอยู่มายังโลกแห่งความเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะในระหว่างการเดินทางข้ามเวลาครั้งก่อน เขาได้นำ ไอโฟน 5 เข้าสู่โลกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ซุนเฉิงจึงเริ่มพิจารณาถึงความเป็นไปได้หนึ่ง นั่นคือเขาได้นำ iPhone 5 ของเขาไปไว้ในร่างจักรกลของเฟรนซี่ มันจึงทำให้เขาได้เก็บโทรศัพท์ไว้ในร่างกายด้วย

สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือ ครั้งนี้เขาดันไม่ได้นำไอโฟน 5 ของตัวเองกลับมา แต่กลับนำแกนระดับที่ 2 ที่เขาเก็บไว้ในร่างจักรกลกลับมาแทน

“ฉันเอามันกลับมาด้วยจริงๆ เหรอ?”

เมื่อรู้ถึงสิ่งที่เขานำกลับมาจากจักรวาลอื่น ซุนเฉิงก็รู้สึกถึงความสุขที่เขาไม่อาจอธิบายให้ตัวเองฟังได้ แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรู้สึกกังวลและไม่สบายใจมาก เพราะแม้ว่าเขาจะเพิ่งพบเจอกับพวกดิเซปติคอนได้ไม่นานนัก แต่ความชั่วร้ายและพลังของพวกเขาก็ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก

ลองคิดดูสิ กระทั่งเฟรนซี่ที่มีมีแกนกลางระดับต่ำสุดกลับยังสามารถแฮ็กอินเทอร์เน็ตของโลกได้ในระยะเวลาอันสั้น หากดิเซปติคอนระดับ 2 ที่มีความสามารถในการต่อสู้เข้ามาแทนที่ คงเรียกได้ว่าหายนะ

แม้ว่าการมีแกนหลักอยู่จะไม่ได้หมายความว่าดิเซปติคอนสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็เกือบจะเป็นก้าวที่สำคัญที่สุด และที่เหลือคงมีแค่เรื่องต้องสร้างร่างจักรกลขึ้นมาใหม่และเปิดใช้งานแกนหลัก

ทว่าสิ่งนี้อันตรายเกินไป!

ซุนเฉิงรู้สึกกังวลและรีบเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋าของเขาอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังกังวลและหยิบมันออกมาอีกครั้ง จากนั้นจึงใส่มันไว้ในกระเป๋าด้านในของเสื้อผ้าของเขา

ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกประหม่าและเริ่มรู้สึกไม่สบายใจมาก เขาจึงถอด USB ไดรฟ์ออกจากเคสคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอย่างรวดเร็วและก็คิดจะออกจากสำนักงานทันที ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและเตรียมตัวที่จะกลับไปยังหอพักของเขา

เมื่อล็อคประตูแล้ว เขาก็ออกจากสำนักงานอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปในวิทยาเขตที่กว้างขวาง ล้อมรอบด้วยบรรยากาศวัยรุ่นและเสียงหัวเราะของนักศึกษาที่เดินผ่านไปมา ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่เด่นสง่าอยู่บนท้องฟ้าทำให้เขารู้สึกคลายความกังวลลงไปได้พอควร

ซุนเฉิงค่อยๆ รู้สึกตัวว่านี้ไม่ใช่จักรวาลของจักรกลและเป็นอันตรายอีกต่อไป เขาเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดา ไม่ใช่สายลับหรือหุ่นยนต์

เมื่อเดินผ่านโรงอาหาร ท้องเขาก็ร้องเตือนให้เขาซื้ออาหารกลางวันบรรจุกล่องด้วยธนบัตรที่ยังเหลืออยู่ แต่มันก็มีเพียงเงินออมเพียงจำนวนน้อยนิด เขาลืมคิดถึงวิกฤตหนี้ที่เขาลืมไปเสียสนิทเลย ทำให้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่เขาคิดว่าเป็นสวรรค์ก็ไม่ได้สะดวกสบายและอบอุ่นเหมือนโลกที่เขาเพิ่งไปมา

แอ๊ด!

เมื่อเขาเปิดประตู ในที่สุดเขาก็กลับไปยังห้องพักของเขา ซุนเฉิงวางอาหารกลางวันที่ใส่กล่องไว้บนโต๊ะ เปิดโน๊ตบุ๊คและไปยังห้องน้ำตรงข้ามหอพักเพื่อล้างมือ เมื่อเขากลับมา เขาก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูและนำแก้วน้ำมาที่โต๊ะของเขา

หลังจากจัดเตรียมที่นั่งและทำความสะอาดไวรัสโทรจัน โน๊ตบุ๊คของเขาก็กลับมาเป็นปกติและไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเด้งขึ้นมาอีก

หลังจากจิบน้ำ ซุนเฉิงก็เริ่มคิดอย่างจริงจัง

หนี้เกือบแสนไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ และซุนเฉิงก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาคงตื่นเต้นวาดฝันอยากสร้างธุรกิจและดันตัดสินใจกู้ยืมเงินอย่างโง่เขลาไป หากก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถข้ามผ่านไปยังอีกจักรวาลได้ เขาอาจจะไม่สามารถทบทวนสิ่งที่ผิดพลาดและเผลอคิดสั้นไปก็ได้

ซุนเฉิงกินไปและคิดไป

ตอนนี้หลังผ่านเหตุการณ์หลายอย่างมา จิตใจของเขาก็สดชื่นแจ่มชัดกว่าที่เคยเป็นมาก่อน

ตอนที่เขาเริ่มต้นธุรกิจขึ้นมา มันแทบไม่ต่างอะไรจากการเล่นของเด็กน้อยเลย

แนวคิดน่ะดี แต่แผนไม่ละเอียดและมันหยาบเกินไป ในฐานะผู้เริ่มต้นธุรกิจนี้ ซุนเฉิงรู้ดีว่าตัวเขามันไม่มีประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถอย่างมาก ไม่เพียงแต่เขาจะไม่เข้าใจความเสี่ยงมีอยู่ตั้งแต่แรก แต่ยังล้มเหลวในการลงนามข้อตกลงเรื่องความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่ชัดเจนกับสมาชิกทุกคนในทีมของเขาอีก

ต่อมา ซุนเฉิงถูกหุ้นส่วนคนอื่นๆ บีบออกจากทีมเทคนิค พวกเขาอาจลอบร่วมมือกัน ซึ่งนอกจากนี้เขายังล้มเหลวในฐานะผู้บริหารที่แบ่งปันผลตอบแทนได้ล้มเหลว แต่ยังต้องรับภาระที่ยากลำบากที่สุดในการระดมทุนอีกด้วย

เมื่อมองย้อนกลับไป ตอนนั้นเขามันโง่จริงๆ

หนี้ส่วนใหญ่ถูกยืมมาในชื่อของเขาเอง อีกทั้งเขายังยืมเงินกู้จากมหาวิทยาลัยจำนวนมากเพราะการชักชวนของเพื่อนร่วมห้องของเขา เป็นผลให้หลังจากธุรกิจล้มเหลว คนอื่นๆ จึงสามารถออกไปได้โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย แต่เขาในฐานะผู้เริ่มก่อตั้งย่อมไม่สามารถหลบหนีไปได้ เขาไม่เพียงแค่ต้องแบกรับหนี้ทั้งหมด ทว่ายังต้องแบกรับผลเสียที่ตามมาด้วย

ถ้าในตอนนั้นซุนเฉิงมีสติ เขาคงจะไม่แตะต้องเงินกู้ยืมของมหาวิทยาลัยที่ทั้งโลภและโหดเหี้ยม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานข่าวเกี่ยวกับเงินกู้ประเภทนี้อยู่เยอะแยะเต็มไปหมดว่ามันเป็นเงินทุนสีเทา ปล่อยกู้ดอกเบี้ยสูงเพื่อการศึกษา ซึ่งอาจเพราะการศึกษาไม่เอื้ออำนวยและมีคนจำนวนมากที่ขาดเงิน หลายคนจึงถูกหลอกและทำร้ายร่างกาย

เขาได้กู้ยืมเงินหลายอย่างด้วยชื่อส่วนตัว ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำรายเดือนอยู่ที่ 1.5% ส่วนเงินกู้ที่กู้ยืมในนามทีมผู้ประกอบการนั้น มีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 25% ต่อปี ตอนนั้นคงมีแค่เขาคนเดียวที่ตัดสินใจผิดพลาด เซ็นสัญญากู้จนทำให้ตัวเองต้องแบกรับปัญหาหนักอย่างนี้

หนี้เกือบหนึ่งแสนหยวนไม่ใช่จำนวนที่เล็กน้อยเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้สักนิดเดียวที่ซุนเฉิงจะชำระหนี้ด้วยเงินที่เขามีอยู่ในตอนนี้ เว้นแต่ครอบครัวของเขาจะช่วยเหลือและเคลียร์ให้

แต่พอความคิดเช่นนี้แวบเข้ามาในหัวของเขาเพียงครู่เดียว เขาก็สลัดมันทิ้งไปทันที ซุนเฉิงไม่ต้องการให้ครอบครัวของเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินได้ แต่เป็นเพราะฐานะของเขามันเป็นแค่ลูกบุญธรรม

ใช่แล้ว ซุนเฉิงเป็นเพียงแค่ลูกบุญธรรม พ่อแม่แท้ๆ ของเขาได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเขายังเด็ก และญาติของพวกเขาทั้งสองฝ่ายก็ไม่เต็มใจที่จะเลี้ยงดูเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวที่เขาอยู่ในยามนี้ แม้ว่าพ่อแม่บุญธรรมของเขาจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีและไม่เคยปิดบังอะไรต่อเขาเลย แต่ซุนเฉิงก็ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนและสร้างปัญหาให้พวกเขามากกว่านี้แล้ว เขาตัดสินใจแบกรับภาระหนี้นี้ไว้กับตัวเขาเอง

"ปัญหาตอนนี้คือจะต้องหาเงินให้เร็วที่สุดยังไง?"

หลังจากทานอาหารในกล่องเสร็จอย่างรวดเร็ว ซุนเฉิงก็ขมวดคิ้วและโยนกล่องอาหารกลางวันทิ้ง จากนั้นกลับมาที่คอมพิวเตอร์เพื่อคิดว่าจะหาเงินได้ยังไง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว ในชั่วพริบตาท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและถึงเวลาเย็นแล้ว

หลังจากเล่นโน๊ตบุ๊คมาทั้งบ่าย ซุนเฉิงก็เหยียดแขนและหาวอย่างเกียจคร้าน ความกังวลบนใบหน้าของเขาถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางเบา

มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ นี่เป็นผลจากการเดินทางข้ามไปต่างโลกงั้นเหรอ?

เมื่อมองไปยังโน๊ตบุ๊คเบื้องหน้าที่ถูกปรับโฉมใหม่ ระบบปฏิบัติการที่ดูทันสมัย ซุนเฉิงจึงยิ้มออกมา

ครั้งก่อนที่เขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองมีทักษะคอมพิวเตอร์ของเขาเพิ่มขึ้นมากอย่างมาก ซึ่งมันทำให้เขาสับสนจริงๆ ในเวลานั้น พอตอนนี้ในหัวเขามันคิดแต่เรื่องจะหาเงินมาใช้หนี้ได้ยังไง ซุนเฉิงจึงคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งและลองทดสอบอะไรบางอย่างดู

พอทดลองเสร็จเรียบร้อย ก็ดูเหมือนว่าการคาดเดาของเขาจะถูกต้อง อาจเป็นเพราะอิทธิพลจากการดูดซับข้อมูลความทรงจำของเฟรนซี่ ทำให้ทักษะคอมพิวเตอร์ของเขาจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

ระบบที่เขาใช้ในการฝึกฝนคือระบบปฏิบัติการ XP ในคอมพิวเตอร์ของเขาเอง ช่วงบ่ายวันนี้ ซุนเฉิงไม่เพียงแต่ปรับให้มันสามารถรับรองภาษาท้องถิ่นได้เท่านั้น แต่เขายังตกแต่งหน้าตาของระบบปฏิบัติการให้สวยงามเหมือนระบบ Win10

นอกจากนี้เขายังตัดทอนโค้ดของระบบ XP ไปมากมาย แต่ยังคงฟังก์ชันการทำงานส่วนใหญ่ไว้ พร้อมทั้งแทนที่ซอฟต์แวร์บางอย่างที่เป็นค่าเริ่มต้นของไมโครซอฟท์ รวมถึงเบราว์เซอร์ IE ที่มีการออกแบบที่แย่มากด้วยซอฟต์แวร์ที่ดีกว่า และลบส่วนประกอบของ Windows เกือบทั้งหมดที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่คงจะไม่มีวันได้ใช้ในชีวิตนี้

หลังจากการปรับลดขนาดระบบอย่างหนัก เวอร์ชั่นปรับปรุงของระบบ XP ที่เขาสร้างเสร็จนี้ ไม่เพียงแต่มีหน้าจอการทำงานที่สวยงามเท่านั้น แต่มันยังใช้พื้นที่เพียง 1 กิกะไบต์เท่านั้น เขาได้บีบอัดมันลงมาจากขนาดเดิม 2.4 กิกะไบต์ เรียกว่าลดลงไปมากเลยทีเดียว

“ไม่เลวเลย นี่ต้องเป็นมิตรกับผู้ใช้มากกว่าระบบ XP ที่ตอนนี้กำลังแพร่หลายอยู่ในตลาดแน่!”

ขณะกำลังพึงพอใจกับผลงานชิ้นแรกของเขา ซุนเฉิงจึงทำมันออกมาเป็นแพ็คเกจให้สามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเขากำลังเก็บมันไว้ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูนอกหอพักของเขา จากนั้นเสียงชายหนุ่มที่คุ้นเคยได้ดังขึ้นมาทันที "อาเฉิง นายอยู่หรือเปล่า?”

ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนเฉิงพลันแข็งค้างไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด