ตอนที่แล้วตอนที่ 36 อวาเรย์ออน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38 ยาปลุกพลัง

ตอนที่ 37 ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้?


อวาเรย์ออนเร่งพลังงานสีทองออกมาทั่วร่าง เขาพยายามต้านทานพลังงานความมืดสุดฤทธิ์

ป้อมปราการนี้มีความคล้ายคลึงกับหอคอยดำอยู่บ้าง เพราะมันถูกลอกเลียนมาจากที่นั่น

รูปแบบคาถาจำเพาะ วงแวหนเวทย์ที่เป็นเอกลักษณ์และความลับในการก่อสร้างที่สูงส่งมากกว่าเผ่าพันธุ์เอลฟ์

มันคือวิทยาการของเทพโบราณ

ป้อมปราการทั้งหลังเหมือนเป็นสัตว์ร้ายที่มีสติปัญญา เมื่อกอสมูว์เปิดใช้ความสามารถของมัน พลังที่หลับใหลอยู่ก็กระเพื่อมไหวราวกับถูกอัดอั้นมานาน

อวาเรย์ออนรู้ว่าเขาไม่อาจออมมือไว้ได้อีก

เอลฟ์ร่างสีทองยกมือขึ้นเบื้องหน้า ขยับนิ้วขึ้นลงอย่างอ่อนโยนวาดมันออกมาเป็นอักษรรูนสามตัว ดัชนีเรืองแสงถูกใช้แทนปากกาขนนก พลังเวทย์สีทองอร่ามถูกใช้แทนน้ำหมึก

อักษรรูนอันเข้มขลังปรากฎขึ้นทันที

มันคือ ᚨ( อันซูซ) ที่แปลว่าเทพเจ้า ᛉ(เอลจีส) ที่แปลว่ากวาง และ ᛊ ᛋ(โซวิโล) ที่แปลว่าดวงอาทิตย์

แสงสีทองร้อนแรงแจ่มชัดขึ้นแทนที่อักษรรูนทั้งสาม ประหนึ่งว่าดวงสุริยันต์จำแลงจุติลงมาที่นี่

บนฟ้ายามค่ำที่มืดมิดก่อนหน้า มีศรีษะขนาดใหญ่มหึมาของกวางตัวผู้ปรากฎขึ้นเหนือป้อมปราการ มันทอดสายตามองลงมาอย่างไร้อารมณ์และวางเฉย

คล้ายว่ามีแต่รูปลักษณ์แต่ขาดจิตวิญญาณและสติปัญญา

มันคือเอลเจซิล พระผู้เป็นเจ้าแห่งเปลวเพลิงสีทองและตะวันยามเย็น

เทพผู้พิทักษ์แห่งเกลิออน!

ความมืดในป้อมปราการทั้งหลังสั่นสะท้านและกระจัดกระจายทันที

เอลเจซิล พระผู้เป็นเจ้าแห่งเปลวเพลิงสีทองและตะวันยามเย็น

                               เอลเจซิล พระผู้เป็นเจ้าแห่งเปลวเพลิงสีทองและตะวันยามเย็น

"เจ้าคืออวาเรย์ออน?"

เสียงแหบต่ำดังมาจากร่างควันดำของกอสมูว์ มันจำอวาเรย์ออนไม่ได้

เพราะครั้งสุดท้ายที่พบกันนั้นเนิ่นนานมาแล้ว และคนตรงหน้ามันก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง

ไม่ใช่ผู้ชายที่แต่งตัวเป็นสตรีเช่นนี้

"นึกว่าท่านจะจำข้าไม่ได้เสียแล้ว"

พร้อมที่อวาเรย์ออนยอมรับออกมา พลังงานความืดที่ปั่นป่วนอยู่ทั่วป้อมปราการร้างก็สงบลง กอสมูว์แอบถอนหายใจอยู่ในใจลึกๆ มันรักษาไพ่ตายไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ออกมา

เอลฟ์ร่างบางเห็นดังนั้นจึงถอนพลังที่อัญเชิญร่างจำแลงของเอลเจซิลกลับไป ศรีษะกวางบนท้องฟ้าค่อยๆเลือนหายไปกับความมืดช้าๆ ถ้าคนตรงหน้าไม่อยากต่อสู้เขาเองก็ไม่ลงมือเช่นกัน อย่างไรก็รู้จักกันมาก่อน

"ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้? เจ้าควรแต่งงานและมีบุตรชายแล้ว"

กษัตริย์แห่งผีไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเด็กชายในวันนั้นถึงดูเหมือนหญิงสาวในวันนี้ โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้เชียวหรือว่าเขานอนหลับนานเกินไป?

"พลังแห่งเทพเริ่มกลืนกินข้า"

เสียงที่เบาเป็นพิเศษออกมาจากปากของอวาเรย์ออนเอง เขาบางครั้งก็สับสน บางครั้งก็รู้สึกยอมรับได้ยาก กับสิ่งที่ตนเองต้องเสียไปเพื่อแลกกับพลังอำนาจ

"เจ้าพยามทะลวงไประดับศักดิ์สิทธิ์?"

กอสมูว์ขมวดคิ้วทันที เรื่องนี้อันตรายกว่าที่เขาคิดเอาไว้

เอลฟ์ร่างสีทองส่งเสียม อืม ในลำคอเบาๆ

พวกเขารู้ดีว่าการทะลวงไปยังระดับศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้นั้นมีความเสี่ยงเพียงใด

สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เหล่าผู้ทรงพลังในดินแดนต้นกำเนิดสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์หรือออร์ค การจะก้าวข้ามการเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดา ไปสู่ครึ่งเทพเจ้าอย่างระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ยากมาก

เพราะปัจจัยสำคัญคือการได้รับการยอมรับจากพลังระดับพระเจ้า เพื่อทำความเข้าใจกับกฎของเอกภพ หากขาดพลังระดับพระเจ้าที่คอยชี้นำและป้องกันการกัดกร่อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนนี้ คนผู้นั้นก็ไม่อาจฝ่าทะลุไประดับศักดิ์สิทธิ์ได้

ดังนั้นการจะสร้างระดับศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคน ต้องมีผู้ทรงพลังระดับพระเจ้าหนึ่งองค์เป็นอย่างน้อยคอยช่วยเหลือ

และยิ่งผู้นั้นต้องการเข้าใจกฎที่ซับซ้อนและทรงพลังเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งใช้พลังของเทพเจ้ามากขึ้น และยาวนานขึ้น

กรณีนี้ใช้กับผู้ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นหากผู้ที่ขาดพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้ ยกเว้นว่าเหล่าทวยเทพจะยอมลดทอนพลังของตนเองจนเพียงพอที่จะชดเชยพรสวรรค์ที่ขาดไป

แต่ใครเล่าจะได้รับความเมตตานั้น สาวกผู้ภักดีมีมากมาย อย่างไรพวกผู้สูงสงในดินแดนต้นกำเนิดก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังกับคนไร้สามารถ

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าการกลายเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ จะถูกตัดทอนทันที่ไม่มีเทพเจ้าคอยช่วยเหลือ ความจริงคือคนธรรมดาบางคนก็สามารถทำความเข้าใจในกฎของเอกภพได้ด้วยตนเองและฝ่าทะลุได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความเมตตาของเทพเจ้า

แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเอกภพ

คนเช่นนั้นมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็คือเทพเจ้าในดินแดนต้นกำเนิดเอง

อวาเรย์ออนและกอสมูว์

                                                         อวาเรย์ออนและกอสมูว์

"การก้าวข้ามไประดับศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ไม่เหมาะสม หากเจ้าโชคดีทำได้จริงๆก็ไม่อาจหนีชะตากรรมที่ต้องไปยังดินแดนต้นกำเนิดได้ เจ้าก็รู้ว่าไม่เคยมีใครรอดชีวิตกลับมา

อย่าว่าแต่ระดับศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่เทพเจ้าก็ล้มตายกันทุกวัน พวกเขาใกล้ต้านทานเทพนอกเอกภพตนนั้นเอาไว้ไม่ได้แล้ว

ข้าไม่รู้ว่าเจ้าภาวนาต่อเทพองค์ใด แต่ดูจากการถูกกลืนกินโดยพลังเทพที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ คงไม่ใช่เอลเจซิลแน่นอน ถอยตอนนี้ยังทัน"

เอลเจซิลเป็นเทพกวางตัวผู้และมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์คอว์ฟีเรนซ์ พลังเทพเจ้าของมันไม่มีทางส่งผลข้างเคียงกับข้ารับใช้จนเป็นเช่นนี้

"ข้าไม่ได้ภาวนาต่อเอลเจซิลจริงดังท่านว่า แต่ข้าถอยไม่ได้แล้ว อายุขัยของข้าใกล้หมดลงเต็มที"

อวาเรย์ออนไม่ต้องการบอกว่ามันภาวนาต่อเทพองค์ใด

กษัตริย์แห่งผีนึกทอดถอนใจเงียบๆ มันลืมนึกไปว่าสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ได้อยู่เป็นอมตะเช่นมัน เด็กน้อยในวันนั้นกำลังจะดับสูญไปต่อหน้ามันอีกรายแล้ว

แม้ระดับตำนานจะมีอายุขัยนับหมื่นปี แต่ก็ไม่อาจอยู่ค้ำฟ้า

"อืม เมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ก็ช่างเถอะ เจ้าคงมาเพราะการลอบสังหารของฟิลิอัส เด็กคนนั้นคงเป็นลูกหลานเจ้ากระมัง"

"ใช่ เขาเป็นหลานของข้า พวกท่านกำลังมีแผนอะไรกันแน่?"

การเข้าไปเกี่ยวข้องกับโชตชะตาบางอย่าง ทำให้หลานของเขาอาจเป็นอันตรายได้อีกในอนาคต

"ข้าก็ไม่รู้ นี่เป็นคำสังของโพรคีมีซิสโดยตรง เขาไม่ได้ตื่นมาหลายพันปีแล้ว คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับสงครามทวยเทพบนดินแดนต้นกำเนิด

แต่เจ้าสบายใจได้ พวกเขาจะไม่ลงมืออีก"

"อืมข้าเข้าใจแล้ว"

เอลฟ์ร่างสีทองหันหลังเดินจากไป ร่างควันดำเฝ้ามองเขาจนลับตา ในความทรงจำอันยาวนานของกอสมูว์ร่างของอวาเรย์ออน ซ้อนทับกับใครบางคนที่เขาไม่มีวันลืมไปจากจิตใจ

อวาเรีย พี่สาวของอวาเรย์ออน รักแรกและรักเดียวของเขา

ไกลออกมาจากป้อมปราการร้าง อวาเรย์ออนมองย้อนกลับไปเบื้องหลังอีกครั้ง

เขาลืมถามเกี่ยวกับตัวตนของพ่อมดสีเงิน ในจดหมายของอาลารัน

พ่อมดคนนี้ เป็นผู้ใช้แสงแห่งเทลเพริออนได้ แต่ในบันทึกใดๆของเกลิออน ไม่มีตรงไหนที่พูดถึงเขาคนนี้เลย

อวาเรย์ออนจึงคิดว่าคนที่อยู่มานานอย่างกอสมูว์อาจจะรู้จักก็ได้ แต่ช่างเถอะ ค่อยสืบหาเอาภายหลังละกัน

ร่างของเอลฟ์ระดับตำนานเรืองแสงสีทองขึ้น ก่อนจะหายไปกลางท้องฟ้าเหนือป่าต้องห้ามทางทิศเหนือ


ในเส้นทางอันมืดมิดไม่จำเป็นต้องใช้แสงใดนำทาง ร่างควันดำของกอสมูว์เคลื่อนผ่านทางอันมืดมนนี้ กลับไปยังที่ที่มันพำนักอยู่

บัลลังก์แห่งเปเลดีอัส

ป้อมร้างแท้จริงไม่ใช้ป้อมปราการ แต่มันคือซากของพระราชวังแห่งเปเลดีอัส จักรวรรดิยิ่งใหญ่ที่เคยปกครองโดยเอลฟ์กอสมูว์

อย่างไรก็ตามตอนนี้มันล่มสลายลงจนสิ้นแล้ว

ความยิ่งใหญ่ทั้งหลายล้วนเป็นอดีตที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง

ร่างดำคงถอนหายใจถ้ามันทำได้ ควันสีดำกลับไปบนบัลลังก์นั้นและกำลังพักผ่อนลงอีกครั้ง

"หืม?"

กอสมูว์มองไปยังมุมหนึ่งในปราสาท แขกไม่ได้รับเชิญปริศนายืนอยู่ตรงมุมนัั้น เขาไม่รู้เลยว่ามันเข้ามาในนี้ตอนไหนและอย่างไร

นั่นแปลได้เพียงอย่างเดียวว่า คนผู้นี้หรือสิ่งมีชีวิตนี้มีพลังเหนือป้อมปราการและตัวมันไปไกล

"ท่านเมื่อมาแล้ว ก็มาคุยกันเถิด กษัตริย์แห่งผีขอต้อนรับ"

ร่างตรงมุมเดินออกมาจากความมืดที่ปกคลุมมันเอาไว้ ดวงไฟสีแดงส่องประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น กอสมูว์ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ในชีวิตมาก่อน

มันคือเอลฟ์หนุ่มผู้งดงาม

คือร่างจำแลงของความเสื่อมทรามทั้งมวล พระบุตรเอลฟ์

"ออกไปจากวังของข้า!"

ภายใต้ร่างที่งดงามนี้กษัตริย์แห่งผีสั่นกลัวลึกลงไปใต้จิตวิญญาณ มันรับรู้ได้ผ่านความดำมืดที่สุดที่สถิตในร่างมัน นิมิตเบื้องหลังที่ปรากฎขึ้นยามที่เอลฟ์ตนนี้ก้าวเดินเข้ามาในสายตา ไม่อาจเป็นอื่นไปได้

เทพนอกรีตโอลาชี เทพนอกเอกภพ

"อย่าได้กลัวไป ผู้หลงทาง ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า

นานแค่ไหนแล้วที่เจ้าต้องทนทรมานเช่นนี้ มาเถิดบุตรข้า ให้ข้าได้โปรดดวงวิญญาณของเจ้า พาเจ้าไปยังอิสระอันแท้จริง"

กอสมูว์กำลังจะหลบหนีออกไป แต่มันติดเชื้อแห่งเสื่อมทราม

มันกำลังจะกลายพันธุ์!

"ข้าไม่ยินยอม!"

ร่างควันดำรู้สึกว่าในวิญญาณลึกๆของมัน กำลังถูกพลังงานบางอย่างเฉือนเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดและตัดพันธะของมันกับหอคอยดำ

นี่ไม่ควรเป็นไปได้ ผลของคำสาบนี้เกิดจากพลังอำนาจของเทพโบราณ

มีแต่พลังของเทพเจ้าเท่านั้นที่ต่อกรกับเทพเจ้าด้วยกันได้

หมายความว่าเอลฟ์ที่นำพานิมิตรของเทพนอกรีตมาหามันตนนี้ ไม่ใช่สาวกธรรมดา

"เจ้าเป็นทายาทของมัน ผู้สืบเชื้อสายของมัน! เจ้าทำได้อย่างไร"

กฎเกณฑ์ของเอกภพไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นโลกเบื้องล่างคงดับสูญไปด้วยพลังของระดับพระเจ้าที่สอดมือเข้ามายุ่ง

บุตรแห่งพระเจ้าแม้จะไม่ใช้ระดับพระเจ้าแท้จริง แต่ก็เพียงพอบดขยี้ทั้งทวีปลงได้

กอสมูว์ไมไ่ด้รับคำตอบ สิ่งที่มันได้รับคือความเจ็บปวดแสนสาหัส และสติปัญญาที่ถดถอย

วาระสุดท้ายของทาสลำดับที่หนึ่ง ผู้เป็นอมตะแห่งหอคอยดำมาถึงแล้ว?

"ม่ายยยยยยยยย!"

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด