ตอนที่แล้วตอนที่ 35 แผนของอวาเทริน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 37 ทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนี้?

ตอนที่ 36 อวาเรย์ออน


อวาเทรินดีใจกับข่าวที่เอเลฟินส่งมา จนเพิกเฉยข่าวที่สำคัญในช่วงแรกของจดหมายไปหมด

อ่าวพินกวิกกำลังเกิดสถานการณ์ที่ผิดปกติ?

ช่างเถอะอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีเขตอำนาจในทะเลมากมายเท่าคนอื่น ปล่อยให้พวกมนุษย์กังวลไปดีกว่า

ซึ่งเขาลืมไปว่าไม่มีดินแดนมนุษย์ใดทางทิศตะวันตกทราบถึงการล่มสลายของอิกซอร์ ถึงจะรู้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานต่อจากนี้ เพื่อรอคณะเดินทางหรือพ่อค้าจากต่างแดนนำพาข่าวนี้เข้าไป

สังคมของมหาทวีปเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครสนใจใคร นอกจากเผ่าพันธุ์ของตนเอง อย่างไรแนวความคิด วัฒนธรรมและกายภาพของพวกเขาก็แตกต่างกันเกินไป

ความสามัคคีจึงไม่มีให้เห็น

การที่อารามอสแจ้งข่าวมาที่เกลิออนเองก็ดีมากแล้ว บางทีถ้าออสบอร์นไม่ลงมือในวันนั้น ผู้สำเร็จราชการคงไม่บอกใครนอกจากมิวอล์สต็อก

แต่เพราะมีพ่อมดสีเงินอยู่ จึงทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนความคิด

อวาเทรินเอาจดหมายอีกฉบับขึ้นมา เขาไม่ได้คาดหวังข่าวอะไรที่สำคัญจากอาลารัน

แต่เขาคิดผิด!

ลัทธิเทพโบราณโจมตี! อาวุธระดับตำนานกระจกแห่งความจริงพังแล้ว!

ข่าวนี้ทำให้เขานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง คล้ายไม่เชื่อสิ่งที่เขียนอยู่ในจดหมาย

เป็นไปได้อย่างไร มีอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหันและทำลายกระจกแห่งความจริงจนแตกละเอียด เหลือเพียงขอบทองเท่านั้นที่ยังเป็นชิ้นเป็นอัน แต่บานกระจกกลับกลายเป็นผงลอยไปกับสายลมแล้ว

นี่เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เกินไป และเป็นการลงมือของตัวตนที่ลึกลับแต่ทรงพลัง อย่างหอคอยดำแห่งลัทธิเทพโบราณ

เขาไม่อาจตัดสินใจได้ อวาเทรินต้องไปพบท่านพ่อของเขา

กษัตริย์เอลฟ์เดินออกจากตัวพระราชวังและเข้าไปในป่าลึกด้านหลัง ภายใต้ต้นไม้สูงใหญ่หลายสิบเมตรมีอาคารสร้างจากอิฐสีขาวที่ค่อนข้างเก่าตั้งอยู่

อวาเรย์ออน ผู้ทรงพลังระดับตำนานของเกลิออนอาศัยอยู่ในนี้

มันคือห้องสมุดลับแห่งราชวงศ์คอว์ฟีเรนซ์

"ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องต้องแจ้งท่าน"

อวาเทรินพูดด้วยเสียงที่เบาและเคารพอย่างยิ่ง เขารออยู่หน้าอาคารแห่งนั้นถึงสิบนาที จนมีเสียงตอบออกมาจากด้านใน

"เข้ามาเถอะ"

พร้อมกับเสียงที่ออ่อนหวานดังขึ้น ประตูไม้ตรงหน้าอวาเทรินก็เปิดออก

กษัตริย์เอลฟ์มองเข้าไปด้านใน มันเต็มไปด้วยหนังสือที่วางอยู่บนชั้นสูงใหญ่หลายสิบเมตร ซ้อนทับกันทอดยาวไปจนสุดสายตา

ไม่มีแสงใดนอกจากแสงของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา และเทียนไม่กี่เล่ม

ที่มุมด้านขวาเขาเห็นพระบิดาของเขานั่งอยู่ในที่ประจำของพระองค์ไม่มีสิ่งใด ที่ระดับตำนานผู้นี้จะให้ความสนใจไปมากกว่าการแสวงหาความรู้

อวาเรย์ออนไม่ใช่ผู้ทรงพลังเหนือมนุษย์ที่ฝึกฝนร่างกาย เขาเป็นเอลฟ์จอมเวทย์

"มานั่งข้างๆข้า ให้ข้าได้มองเจ้า"

เสียงดังมาจากร่างบางริมหน้าต่าง นั่นเป็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมาทั้งชีวิตพระบิดาผู้อยู่ในระดับตำนาน ผู้ที่ไม่เคยแก่ลงเลยนับแต่อวาเทรินจำความได้

"ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยข้า โพรคีมีซิสคนนั้นกำลังลงมือต่อหลานชายคนเล็กของท่าน พวกเขายังทำลายกระจกแห่งความจริงอีกด้วย"

อวาเทรินนั่งลงตรงข้ามพระบิดาของเขา ชายผู้งดงามดุจสตรี เอลฟ์ผู้ที่ไม่อาจแยกแยะเพศได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก

ผมยาวสลวยสีทองยาวถึงสะโพก ตัดกับชุดสีขาวที่ทำให้เขาดูสูงส่งและบริสุทธิ์

ใบหน้าของกษัตริย์เอลฟ์ดูวิตกกังวลและเคร่งเครียด ต่างจากบิดาของเขาที่ใจเย็นกว่ามาก

"หลานข้าปลอดภัยหรือไม่?"

อวาเรย์ออนห่วงหลานชายมากกว่าอาวุธระดับตำนานชิ้นนั้น

"เขาปลอดภัยดีท่านพ่อ พวกเขาใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เทียมที่มีรูปร่างเหมือนกริชเล่มหนึ่ง กระจกไม่อาจต้านทานได้เลย"

อวาเทรินหยิบจดหมายของอาลารันส่งให้บิดาของเขา บรรพบุรุษเอลฟ์ผู้นี้อ่านอยู่พักหนึ่ง ก็เดินไปหยิบหนังสือเล่มใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าอวาเทริน

เขาเปิดไปที่หน้าหนึ่งและชี้รูปกริชสีดำบางเล่มในนั้นให้บุตรชายดู

"มันควรเป็นเล่มนี้ นี่คือกริชที่เคยปรากฎออกมาในยุคกลางของมหาทวีป โพรคีมีซิสใช้มันเพื่อต่อกรกับผู้ทรงพลังระดับตำนานขั้นบนสุดคนหนึ่ง ที่พยายามจะจับดวงวิญญาณของทาศรับใช้ที่หนีออกมาจากหอคอยดำ

มันคือกริชกลืนวิญญาณ ในอดีตมันจัดอยู่ในอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง สร้างโดยนอสกา พระผู้เป็นเจ้าแห่งความดำมืดและว่างเปล่าไร้สิ้นสุด

ภายหลังสงครามทวยเทพครั้งที่หนึ่ง กริชเล่มนี้ก็เสียหายจนเป็นได้เพียงระดับศักดิ์สิทธิ์เทียม"

อวาเรย์ออนและอวาเทริน ในห้องสมุดลับแห่งราชวงศ์คอว์ฟีเรนซ์

                          อวาเรย์ออนและอวาเทริน ในห้องสมุดลับแห่งราชวงศ์คอว์ฟีเรนซ์

"ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยข้า พวกเขาทำเช่นนี้เท่ากับประกาศสงครามกับเรา"

อวาเทรินพยายามกล่อมให้บิดาของเขาลงมือ นี่เป็นศึกที่ต้องใช้กำลังของระดับตำนานเท่านั้น

"นับแต่พวกเขามาที่นี่ บรรพชนเอลฟ์ไม่รู้กี่รุ่นยังทำอะไรพวกเขาไม่ได้

หอคอยแห่งนั้นพิเศษเกินไป ถ้าพวกเขายังเฝ้าอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน ข้าเองก็จนใจเช่นกัน"

อวาเรย์ออนถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเขานิ่งดูดาย แต่ถ้าพวกมันไม่เผยตัวออกมา การให้เขาบุกเข้าไปในหอคอยก็เท่ากับว่าไปหาที่ตายเท่านั้น

"แล้วเราต้องปล่อยให้บุตรชายข้าต้องตายอย่างนั้นรึ ท่านพ่อท่านใจดำเกินไปแล้ว!"

อวาเทรินเผลอขึ้นเสียงขึ้นเล็กน้อย

"ใจเย็นก่อนบุตรข้า ตามที่ข้าเข้าใจ พวกเขาเมื่อลงมือพลาดในครั้งแรก ย่อมไม่ลงมือเป็นครั้งที่สองอีก สาวกเทพโบราณเชื่อมั่นในโชคชะตามาก"

เมื่อได้ยินดังนั้นบุตรชายที่หน้าแก่กว่าบิดาไปหลายปีก็ดูผ่อนคลายลง ที่แท้บิดาเขาก็รู้อยู่แล้วว่าหลานชายจะปลอดภัย

"แต่เจ้าอย่าได้น้อยใจไป เมื่อพวกเขากล้าลงมือต่อราชวงศ์ของเรา ข้าก็จะให้บทเรียนพวกเขาเสียหน่อย"

"ท่านพ่อจะทำสิ่งใด"

"ช่างเถิด หลังจากกลับไปแล้ว ให้เจ้าเอาเศษซากที่เหลือของกระจกมาให้ข้าด้วย ข้าจะดูว่าพอจะซ่อมแซมมันได้หรือไม่"

ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของอวาเทรินผงกศรีษะช้าๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้แต่แรก

"ท่านจำเรื่องเหมืองอิกซอร์ที่ข้าบอกได้ไหมท่านพ่อ พวกออร์คน่าจะยึดมันไปแล้วจริงๆ ข้ากับธีรันเดียจะร่วมมือกันบุกยึดมันมา ถ้าเรายึดเหมืองนี้จากพวกออร์คได้ คนแคระก็ไม่มีเหตุผลมาไล่เราออกไป

มันจะถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเรา"

"เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ตามใจ ตราบใดที่ระดับตำนานในมิวอล์สต็อกไม่ลงมือ ข้าก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ เจ้าเข้าใจกฎข้อนี้ดี"

อวาเทรินรู้ถึงกฎที่ไม่ได้บันทึกข้อนี้ของเหล่าผู้ทรงพลังระดับตำนานดี การจะให้พวกเขาลงมือนั้นไม่ใช่เรื่องๆง่าย

ในศึกของระดับต่ำกว่า ผู้ทรงพลังระดับตำนานไม่อาจสอดมือเข้ายุ่ง

"ขอรับท่านพ่อ งานหมั้นจะจัดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ครั้งนี้ ท่านฟีออเรียส จากเวอดานดิก็จะมาด้วยตนเอง

เมื่อถึงตอนนั้นข้าหวังว่าเราจะเตรียมพร้อม"

อวาเทรินไม่ค่อยมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับฟีออเรียสเท่าไหร่

"อืม ข้าจะจัดการฟีออเรียสเอง"

ฟีออเรียส เป็นคนที่คุ้นเคยสำหรับอวาเรย์ออนดี

เพราะเขาคือผู้ทรงพลังระดับตำนานหนึ่งในห้าคนของเวอดานดิ และเป็นคนที่รับมือด้วยยากที่สุดในเรื่องของความเจ้าเล่ห์

การเมืองในเผ่าพันธุ์เอลฟ์นั้นเข้มข้น ไม่ต่างไปจากเผ่าพันธุ์มนุษย์

นี่เป็นหมากตาหนึ่งที่เกลิออนจำเป็นต้องเดินอย่างระมัดระวัง

กษัตริย์เอลฟ์กล่าวลาบิดาผู้งดงามของเขา ก่อนจะเดินหายออกไปทางหน้าประตู้ที่เข้ามา

เสียงประตูปิดตามหลังเบาๆ อวาเรย์ออนมองตามแผ่นหลังบุตรชายจนลับตา ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปทางระเบียงทิศตะวันออก สายตามองไปยังทิศของป่าต้องห้ามอันเป็นที่ตั้งของป้อมปราการร้าง

เขาทำอะไรคนในหอคอยดำไม่ได้

แต่ไม่ใช่กับสาวกที่อยู่นอกหอคอยดำ และบังเอิญว่าเขารู้จักอยู่คนหนึ่งพอดี


ยามดึกสะงัดกลางป่าอันมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงของดวงจันทร์ที่ส่องสว่างในคืนนี้

เสียงสัตว์หรือแมลงไม่เคยปรากฎในบริเวณรอบป้อมปราการร้างมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครจำได้ว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่รู้อีกทีบริเวณนี้ก็กลายเป็นพื้นที่ที่ไร้สิ่งมีชิวตไปโดยปริยาย

ในทิศทางของทุ่งกว้างรกร้าง ปรากฎร่างในชุดสีขาวส่องประกายดุจดวงอาทิตย์สีทองล่องลอยมากลางอากาศ

จะพูดให้ถูกก็คือ เดินมากลางอากาศที่ว่างเปล่า

ไม่มีใครบอกได้ว่าร่างนี้เป็นบุรุษหรือสตรี แต่หากบอกว่าเป็นสตรีก็ไม่ขัดข้องเลยสักนิด

เมื่อร่างนั้นก้าวผ่านชั้นม่านพลังสีใสเข้ามา ภูตผีที่เคยสร้างความรำคาญใจให้ฟิลิอัส กลับไม่กล้าเผยตัวแม้แต่ตนเดียว

แสงทั่วร่างของบุคคลนี้ไม่ใช่กลปาหี่!

"ไสหัวออกมาให้ข้า!"

เสียงทรงพลังก้องกังวานไปทั่วป้อมร้าง ทุกที่ที่เสียงนี้ดังไปถึงจะนำพาพลังสีทองส่องประกายตามไป ดุจเป็นแรงกระเพื้อมกลางสระน้ำเมื่อมีวัตุตกกระทบ

หากแต่แรงกระเพื้อมนี้เป็นสีทองที่ทำลายได้แม้แต่ความชั่วร้ายที่เลวทรามที่สุด

ร่างนี้คืออวาเรย์ออน

อวาเรย์ออนบุกมายังป้อมปราการร้าง

                                          อวาเรย์ออนบุกมายังป้อมปราการร้าง

"ออกไป!"

ทันใดนั้นร่างควันสีดำมืดทะมึนก็ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าของอวาเรย์ออน เส้นแสงสีครามดุจอัสนีบาตส่งเสียงดังอยู่เบื้องหลัง พวกมันเต้นไหวไปมาทั่วร่างของเขา คล้ายประภามณฑลของผู้ทรงฤทธานุภาพ ก่อนจะพุ่งตรงมายังเอลฟ์ผู้อาบย้อมไปด้วยแสงสีทองตรงหน้า

กอสมูว์โจมตีทันที!

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

อัสนีบาตสีครามวิ่งผ่านอากาศดำมืดมุ่งมายังผู้บุกรุก

อวาเรย์ออนมิได้นิ่งเฉยเขากางฝ่ามือขึ้นกลางอากาศ ละอองสีทองเหมือนผงทองคำละเอียดปลิวออกมาจากร่าง รวมตัวกันจนเป็นม่านสีทองตรงหน้า

เมื่อสายฟ้าสามเส้นเดินทางมาถึงมันก็ปะทะกับม่านจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น

แต่การโจมตีทั้งสามไม่อาจรอดเร้นมาสู่อวาเรย์ออนได้แม้แต่เส้นเดียว

"ภูตผีเช่นเจ้าไม่ควรปรากฎขึ้นในมหาทวีป"

อวาเรย์ออนรวบรวมแสงสีทองขึ้นในมือของเขา มันเกิดเป็นแส้ยาวสิบห้าเมตร เขาฟาดมันไปทางกอสมูว์ทันที

กษัตริย์แห่งผีร้องในใจว่าแย่แล้ว เอลฟ์ตรงหน้ามันควรเป็นระดับตำนาน

กอสมูว์พึ่งตื่นจากการหลับไหลเนื่องจากการบาดเจ็บในอดีต ตอนนี้พลังของมันกลับคืนมาถึงขั้นของผู้ทรงพลังระดับสูงเท่านั้น

ที่จริงมันพึ่งฟื้นตัว มันไม่อยากทำเช่นนี้เลย

ภายใต้ร่างควันสีดำของมันปรากฎเป็นวงแหวนเวทมนตร์กระจายออกมาเบื้องล่าง ขยายจนครอบคุลมไปทัั่วป้อมร้าง

ซากอาคารทั้งหลังสั่นสะเทือน

ป้อมนี้ไม่ใช่ป้อมปราการธรรมดาไม่เช่นนั้นมันคงไม่อยู่มาถึงปัจจุบัน

ความมืดมิดท่วมทับเข้ามาหาอวาเรย์ออนอย่างฉับพรัน แส้สีทองในมือของเขาที่กำลังฟาดออกไปหยุดชะงักทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด