ตอนที่แล้วตอนที่ 7 : กองทัพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 : ไสหัวไป

ตอนที่ 8 : เหอะ พวกผู้ชาย


ตอนที่ 8 : เหอะ พวกผู้ชาย

คำพูดของเหยาเจิ้งทำให้ทุกคนในห้องเริ่มหารือกัน

เฟิงฉินกล่าวว่า “แน่นอนสิ กองทัพของประเทศเราสุดยอดอยู่แล้ว”

หวังกัง “ฉันเคยเห็นในนิยายและหนังหลายเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติซอมบี้ แต่เนื้อหาของมันก็ไร้สาระมาก! ร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อจะสามารถต้านทานกระสุนเหล็กได้ยังไง? มันจะสามารถต้านทานมิสไซล์หรือระเบิดนิวเคลียร์ได้อย่างไร? ด้วยความช่วยเหลือของกองทัพ เรื่องนี้จะคลี่คลายอย่างแน่นอน”

เว่ยไค “แล้วเราจะรอแบบนี้เหรอ? รอให้ทหารมาช่วยเราเหรอ? หรือเราควรวิ่งออกไปหากองทัพดี?”

คำพูดของเว่ยไคทำให้ทุกคนหันไปมองหวังเซิง

เขาคือหัวหน้าของที่นี่ เขาต้องเป็นคนตัดสินใจคนสุดท้าย

หวังเซิงเงียบไป

เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในอาคารแห่งนี้ เขาไม่ใช่ผู้เช่า และเขาที่ผ่านนรกมาแล้วก็ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากพวกซอมบี้

พวกมันแข็งแกร่งมาก! พวกมันทั้งวิ่งเร็วและแข็งแรง! พวกมันทุกตัวไม่ต่างไปจากซุปเปอร์แมนเลย

นอกจากนี้หวังเซิงยังเป็นพวกคลั่งกองทัพ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าบนท้องถนนในเมืองตอนนี้ ความคลั่งกองทัพของเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ด้วยความรุนแรงและความสามารถในการแพร่เชื้อของซอมบี้ ถ้าทหารเข้าร่วมการต่อสู้บนท้องถนนกับพวกมัน มันก็จะเหมือนกับการถือตะเกียงในห้องน้ำ—มันถือว่าเป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!

พูดตามตรง หวังเซิงรู้สึกว่ากองทัพก็คงไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ได้เลย

แต่ก็เป็นอีกครั้ง… ถ้ากองทัพยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แล้วใครจะทำได้ล่ะ? ใครจะช่วยพวกเขาได้?

มันไม่มีทั้งอาหารและสภาพแวดล้อมก็ยังเลวร้าย

ถ้าเขารอต่อไป เขาก็คงต้องตายอยู่ดี

ถ้าเขาไม่สู้ในขณะที่เขายังมีแรงและกองทัพยังไม่สามารถรับมือกับซอมบี้ได้ เขาก็คงจะต้องตายจริงๆ แน่ๆ

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง

เสียงยิงปืนดังไกลมาก และดึงดูดความสนใจของซอมบี้ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ

ภาพฉากนี้ทำให้หวังเซิงตัดสินใจได้

“ออกไปหากองทัพกันเถอะ!”

ในทันทีที่เขาพูดจบ อีกหกคนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรในทันที…

พวกเขามองหน้ากันก่อน และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของหวังเซิง

ฟานฮุ่ยหลิงพูดแบบสั่นๆ ในขณะที่เธอกดหน้าอกขนาดมหึมาของเธอเข้ากับแขนของหวังเซิง

“พี่หวัง เรารอให้กองทัพมาช่วยไม่ได้เหรอ?”

แม้ว่าหวังเซิงจะเป็นชายร่างกำยำ แต่เขาก็ละเอียดถี่ถ้วน

เขาสามารถบอกได้ว่าคำพูดของฟานฮุ่ยหลิงคือคำพูดแทนใจของทุกคนด้วย

หวังเซิงอธิบายอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ประการแรก กองทัพอาจจะผ่านไปก็ได้ ถ้าพวกเราไม่ฉวยโอกาสนี้ไปสมทบกับกองทัพ กองทัพก็อาจจะไม่กลับมาแล้ว”

เหตุผลนี้ทำให้ทุกคนมองหน้ากัน แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับอยู่ในใจว่ามันเป็นไปได้จริงๆ

“ประการที่สอง กองทัพได้ล่อซอมบี้ส่วนใหญ่ออกไปแล้ว มันคงไม่มีอันตรายอะไรถ้าจะออกไปข้างนอกในตอนนี้ นอกจากนี้ถ้ากองทัพไม่มาช่วยพวกเรา หรือพวกเขาไม่สามารถช่วยพวกเราได้ ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการดีกว่าเหรอถ้าพวกเราจะฉวยโอกาสนี้ออกไปข้างนอกและหาเสบียงเพิ่มเติม”

ด้วยเหตุนี้หวังเซิงจึงปรบมือเบาๆ และให้กำลังใจ “ฉันจะเป็นคนนำทางเอง ถ้ามีอันตรายอะไร ฉันก็จะรับหน้าก่อนเอง พวกนายค่อยๆ ตามหลังฉันมาก็แล้วกัน มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความกังวล แต่หวังเซิงก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว หลังจากที่ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจเท่าไร

พวกเขาประกอบไปด้วยผู้ชาย 5 คนและผู้หญิง 2 คน และทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว พวกเขาพากันเปิดประตูอย่างไม่สบายใจและไม่เต็ม จากนั้นก็เดินออกไปจากเซฟเฮาส์ที่พวกเขาอาศัยอยู่มาตลอดสองวันครึ่ง

ทุกอย่างเป็นไปตามที่หวังเซิงอธิบาย

พวกซอมบี้ถูกกองทัพล่อออกไปแล้ว

เขาเดินออกมาจากห้องและก้าวไปตามบันได มันมีคราบเลือดและแขนขากระจัดกระจายอยู่ทุกที่ที่เขามองไป แต่มันก็ไม่มีซอมบี้อันน่าสะพรึงกลัวอยู่เลย

พวกเขาทั้งเจ็ดเริ่มคุ้นชินกับภาพฉากนี้แล้วและเริ่มไม่รู้สึกคลื่นไส้เหมือนตอนแรก

จากที่เคยระมัดระวัง พวกเขาก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นอย่างช้าๆ

มนุษย์นั้นปรับตัวได้เร็วมาก

เมื่อพวกเขามาถึงถนนและเห็นร้านเล็กๆ พวกเขาก็กลืนน้ำลายและข่มความหิวเอาไว้ พวกเขารีบวิ่งไปยังต้นตอของเสียงคำราม อาหารและน้ำเป็นสิ่งสำคัญ แต่ตราบใดที่พวกเขาเจอทหาร สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

พวกเขายังคงสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างลำดับความสำคัญได้

ในระยะไกล เสียงปืนก็ค่อยๆ เบาลง เฉกเช่นเดียวกันกับหัวใจที่ค่อยๆ หดเกร็งของทุกคน

พวกเขาเร่งความเร็วโดยไม่รู้ตัวและในไม่ช้าก็มาถึงขอบสนามรบ

หวังเซิงที่เป็นผู้นำหยุดฝีเท้าในทันใด

ภาพตรงหน้าทำให้ม่านตาของหวังเซิงและคนอื่นๆ หดเกร็ง

ข้างหน้าคือทางแยก

รถหุ้มเกราะสี่คันก่อตัวเป็นวงกลม มันทั้งดูแข็งแกร่งและไร้เทียมทานเลย

อย่างไรก็ตาม เสียงกรีดร้องเบาๆ และเสียงกัดก็ดังขึ้นมาจากภายในวงล้อมนี้

เสียงปืนเงียบลงไปนานแล้ว

ซอมบี้อัดกันแน่นราวกับแร้งที่พบอาหาร พวกมันล้อมรถหุ้มเกราะเอาไว้ตรงกลางอย่างหนาแน่น

ซอมบี้เกาะกันและเหยียบทับกัน ความสูงนั้นเกินกว่าแนวป้องกันของยานเกราะไปนานแล้ว ผ่านช่องว่างระหว่างซอมบี้ มันสามารถมองเห็นคนขับรถหุ้มเกราะได้อย่างคลุมเครือ ซึ่งกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว เขากำลังแยกเขี้ยวและกวัดแกว่งกรงเล็บของเขาอยู่ในห้องเครื่อง!

หวังเซิงโบกมือให้คนที่อยู่ข้างหลังของเขาในทันใด

มันหมายความว่า “อย่าส่งเสียง รีบถอยไป…”

อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่ได้อยู่ด้วยกันแค่สองวันครึ่งจะสามารถเข้าใจสัญญาณแบบนี้ได้ยังไง?!

เสียงกรีดร้องสุดเสียงดังขึ้นมาในทันที

หลังจากเห็นฝูงซอมบี้จำนวนมากและเห็นด้วยตาของตัวเองว่ากองทัพไม่อาจจัดการกับซอมบี้ได้ จิตใจของหลิวอ้ายหยวนก็พังทลายลงอีกครั้ง…

“เชี่ยเอ้ย!”

หวังเซิงสบถออกมาด้วยความโกรธและวิ่งหนีไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ในเวลาเดียวกัน เหล่าซอมบี้ก็ตื่นตัวจากเสียงกรีดร้องนี้และหันมามองหวังเซิงและพวก

ดวงตาสีซีดนับไม่ถ้วนดูเหมือนจะลากทุกคนลงนรก...

นอกเหนือจากหวังเซิงแล้ว อีกหกคนก็ดูเหมือนจะเป็นอัมพาตไปและไม่สามารถขยับขาได้เลย

“วิ่ง! วิ่งสิ! เร็วเข้า!”

หวังเซิงเป็นคนดีประมานหนึ่ง ในทันทีที่เขาหันกลับมา เขาก็ตะโกนปลุกทุกคนทันที… อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่รู้เลยว่าเสียงตะโกนของเขาจะส่งเขาลงนรก

ทันใดนั้นขาก็เหยียดออก และหวังเซิงก็สะดุดล้มตรงนั้น

นี่ทำให้หวังเซิงเสียสมดุล

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นหลิวอ้ายหยวนที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ขึ้นมาหลุดออกจากภวังค์แล้ว เธอมองดูเขาอย่างชั่วร้ายและวิ่งหนีไปราวกับกระต่าย

“หลิวอ้ายหยวน นังสารเลว!”

หวังเซิงคำรามออกมาด้วยความโกรธ ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างหลังเขา

ซอมบี้ตัวหนึ่งได้กระโดดไกลกว่าสามเมตรและมาถึงด้านหลังของหวังเซิงแล้ว

R.I.P

“อ๊าก!”

เลือดสาดกระเซ็นออกมา

แค่การกัดเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คอของหวังเซิงขาดไปครึ่งหนึ่งแล้ว

และเวลาที่ศพใช้ในการแปลงร่างคือ 10 วินาที

ในสิบวินาทีนี้ ผู้คนก็ยังคงเป็นมนุษย์และเป็นเหยื่อของซอมบี้

ซอมบี้ที่รวดเร็วมากกระโจนเข้าใส่หวังเซิงทันที กลิ่นเลือดทำให้ซอมบี้กองอยู่บนร่างกายของเขา

นอกจากนี้ หลิวอ้ายหยวนและคนอื่นๆ ก็ได้วิ่งหนีออกไปแล้ว ดังนั้นมันจึงมีซอมบี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ไล่ตามหลิวอ้ายหยวนและคนอื่นๆ ไป

เมื่อหลิวอ้ายหยวนหันไปเห็นภาพฉากนี้ เธอก็รู้สึกโล่งใจที่เธอได้แก้แค้น “ใครบอกให้นายหยาบคายกัน? นายกล้าหยาบคายต่อหน้าผู้หญิงเมื่อนายมีแรงงั้นเหรอ! ตอนนี้นายยังกล้าหยาบคายอีกไหม?!”

เธอตัดสินใจ

เธอลอบส่งสัญญาณให้กับเหยาเจิ้ง เฟิงฉิน หวังกัง และเว่ยไค หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชายทั้งสี่ก็เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา

เหยาเจิ้งคว้าคอเสื้อของฟานฮุ่ยหลิงและกระชากเธอลงกับพื้น

เฟิงฉินที่กำลังวิ่งอยู่ด้านหลังฟานฮุ่ยหลิงก็เหยียบท้องของเธอ ทำให้เธอจุกและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในทันที

น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอโดยอัตโนมัติ

เมื่อเห็นคนทั้งห้าที่หนีรอดไปได้ ฟานฮุ่ยหลิงก็เต็มไปด้วยคำถาม… อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา เหล่าซอมบี้ที่ไล่ตามเธอมาก็กระโจนเข้ามาหาเธอแล้วและเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงนี้

ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่ทันได้พูดอะไรออกมาเลย

ด้วยการใช้หวังเซิงและฟานฮุ่ยหลิงเป็นเหยื่อล่อ หลิวอ้ายหยวนและคนอื่นๆ ก็สามารถวิ่งเข้ามายังตรอกที่ไม่มีซอมบี้ได้ในที่สุด

พวกเขายืนอยู่กับที่และหอบหายใจอย่างหนักหน่วง พวกเขาทั้งห้ามองหน้ากัน และหลิวอ้ายหยวนก็กระแอ่มออกมาเบาๆ และยิ้มออกมาอย่างสดใส

“ขอบคุณพวกพี่มากที่ช่วยฉัน”

เหยาเจิ้งวางมือไว้บนเข่าและหอบในขณะที่เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เธอไม่พอใจหวังเซิงมานานแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าเพราะเขาแข็งแรง สมัยนี้ใครจะวัดกันด้วยเรื่องแบบนั้นอีก? มันต้องวัดกันที่สมองต่างหาก!”

ในขณะที่เขาพูด เขาก็พยุงตัวเองขึ้นและมองดูชายอีกสามคน

“น้องหยวน แล้วสามคนนี้ล่ะ…”

มันไม่ยากที่จะบอกได้จากคำพูดของเขาว่าเหยาเจิ้งและหลิวอ้ายหยวนรู้จักกันมานานแล้ว

คำถามนี้ทำให้หลิวอ้ายหยวนยิ้มอย่างอายๆ

“ฉันไม่ได้บอกพี่เหรอเมื่อสามสี่วันก่อน? ฉันชวนพี่มาที่บ้านและเล่นเกมที่พี่ไม่เคยเล่นมาก่อน… แล้วก็…”

“โอ้~~”

ชายทั้งสี่ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันทีและยิ้มแห้งๆ ให้กัน พวกเขาเข้าใจทุกสิ่งได้โดยไม่ต้องพูดอะไรอีก

หลิวอ้ายหยวนพูดต่อ “พี่ๆ ในอนาคตพวกเราคงมีเวลาทำความรู้จักกันเพิ่มอีก มาจัดการเรื่องอาหารและน้ำดื่มก่อนที่จะหาสถานที่ที่ปลอดภัยกันเถอะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็~”

คำพูดของเธอเย้ายวนใจเป็นที่สุดและเธอก็ไม่พูดให้จบประโยค

นอกจากนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้ว แต่หลิวอ้ายหยวนก็มีพื้นฐานดีมาตั้งแต่ต้น เมื่อประกอบกับท่าทางที่มีเสน่ห์ของเธอ ชายทั้งสี่ก็ตื่นตัวทันที แม้แต่วันสิ้นโลก พวกเขาก็ไม่กลัว

เมื่อมองไปยังพวกเขาทั้งสี่ที่ดูมีพลังและมีแรงจูงใจขึ้นมาทันใด รอยยิ้มของหลิวอ้ายหยวนก็ไม่เปลี่ยนไป แต่แววตาของเธอกลับมีประกายอันเย็นชาขึ้นมา

“เหอะ พวกผู้ชาย”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด