ตอนที่แล้วบทที่ 98 แม้ว่าข้าจะฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ข้าก็ยังเป็นคนดี!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 100: พระพุทธศาสนาเป็นเพียงการหลอกลวงหรือไม่? มาดูกันว่าผู้ใดจะหลอกลวงใคร!

บทที่ 99: ไม่คิดแสวงหาความเป็นอมตะ ไม่กลายเป็นตัวตนอมตะ เพียงต้องการอยู่กับเจ้าบนโลกใบนี้!


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 99: ไม่คิดแสวงหาความเป็นอมตะ ไม่กลายเป็นตัวตนอมตะ เพียงต้องการอยู่กับเจ้าบนโลกใบนี้!

เหล่าผู้ที่ร่วมมาด้วยได้แก่ หลี่ซือซือ โม่หรูซวง องค์หญิงน้อย กัวเส้าส้วย ต้าหลี่และเสี่ยวกุ้ย ทุกคนต่างมีความสนใจเหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงมาที่นี่พร้อมกัน

เมื่อพวกเขาไปถึงยอดเขาร้อยเมฆาและมองไปไกล พวกเขาก็เห็นทะเลหมอกและเมฆมากมาย ราวกับว่าพวกเขาได้ก้าวเข้าไปในดินแดนสวรรค์ เมืองหลวงในระยะไกลถูกอาบไปด้วยหมอกหนาทึบ ราวกับเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์

หลินเป่ยฟานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทิวทัศน์เช่นนี้จึงขับท่องบทกวีในทันที

เหนือท้องนภาของนครอันรื่นเริง

หอคอยหยกขาวพุ่งทะยานแตะขอบฟ้า

ที่ซึ่งผู้อมตะคอยดูแลอย่างละเอียดอ่อน

ลูบไล้เรือนผมของตน ขจัดความสิ้นหวังทั้งปวงให้มลายหาย

เคียงคู่ยอดรักที่อยู่ข้างกายข้า

เราจักดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

ห้านครอันพิศวงที่ปรากฏเบื้องหน้า

หอคอยทั้งสิบห้าเปล่งประกายส่องแสงรองเรือง

โอ้ ตัวข้าจักเรียกมันว่าเหย้าเรือนได้นานเพียงใด

ท่ามกลางหมู่เมฆาที่เราพเนจรไป

มีเพียงความเป็นอมตะที่นำทาง

ความรักของเราจักอยู่ตราบชั่วนิรันดร์

ภายในนครหยกขาวเหนือท้องนภา

มันจักเป็นที่พำนักของเราตลอดไป

ที่ซึ่งความรักและชีวิตไม่มีวันมอดดับไป

ที่ซึ่งความสุขและความสงบดำรงอยู่ตลอดไป

“ช่างเป็นบทกวีที่ดีนัก!” หลี่ซือซือก้าวเข้ามาและชื่นชมเขา “ท่านสามีของข้า บทกวีนี้คือการผสมผสานระหว่างเมืองหลวงอันแสนห่างไกลกับนครแห่งสวรรค์ ช่างเป็นการผสมผสานที่ชาญฉลาดยิ่ง เมื่อควบรวมเข้ากับความเป็นอมตะ มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าบทกวีนี้เต็มไปด้วยภาพอันเหนือจินตนาการและสุนทรียะนัก!”

“เป็นบทกวีที่ดีงามมาก ท่านหลินใช้อักษรได้เก่งกาจเหลือเกิน!” โม่หรูซวงก็ชื่นชมเขาเช่นกัน

นางชื่นชมคนสองประเภทมากที่สุดในชีวิตของนาง หนึ่งคือคนที่เก่งศิลปะการต่อสู้กว่านางและอีกหนึ่งคือคนที่เก่งด้านกวีนิพนธ์กว่านาง แต่นางชื่นชมผู้ที่มีความสามารถด้านกวีมากกว่า เพราะการมีทักษะด้านบทกวีที่ดี ย่อมหมายถึงผู้มีเจตคติที่ดีในการช่วยเหลือผู้อื่น

"เหอะ! เจ้าคนผู้นี้อวดเบ่งอีกครั้งเสียแล้ว แต่บทกวีที่เขาเขียนนั้นดีจริงๆ ข้าไม่แย้ง!” องค์หญิงน้อยกล่าวด้วยหัวใจอันผสมปนเปไปด้วยอารมณ์มากมาย และแอบจดจำบทกวีนี้ไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการโอ้อวดภายหลัง กิจวัตรประจำวันของนางนั้นทั้งเรียบง่ายและน่าเบื่อ

ในยามนั้นเอง โม่หรูซวงก็แนะนำว่า “ท่านหลิน บทกวีนี้สวยงามนัก เหตุใดท่านไม่สลักไว้ที่ใดที่หนึ่งเพื่อที่มันจะได้ไม่ถูกลืมกันล่ะ?”

ในโลกใบนี้ เมื่อบัณฑิตและขุนนางได้เขียนบทกวีอันเป็นเลิศขึ้นมา พวกเขามักจะชอบแกะสลักบนศิลาเพื่อสืบต่อไปชั่วอายุคน นี่เป็นวิธีอันเป็นเอกลักษณ์ในการทิ้งนามของตนไว้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะอยู่สืบต่อไปอีกช้านาน

"อืม!" หลินเป่ยฟานพยักหน้าเห็นด้วย

โม่หรูซวงหยิบดาบของนางขึ้นมาและบินข้ามกำแพงไป จากนั้นมันก็ปรากฏรอยดาบไว้บนกำแพงศิลา นางยังไม่ลืมที่จะสลักชื่อของหลินเป่ยฟานลงไปด้วย

“เมืองหลวงหยกขาวบนท้องฟ้า …. กับหอคอยสิบห้าแห่งและเมืองห้าแห่ง! …ผู้อมตะลูบไล้เรือนผม….. ชีวิตอันนิรันดร์เคียงคู่กับยอดรักของข้า…” หลี่ซือซือถอนหายใจ “อ่านอีกครั้งมันก็ยังคงน่าทึ่งมาก! บางทีคงมีเพียงยอดนักกวีเท่านั้นที่สามารถเขียนบทกวีออกมาเช่นนี้ได้! ท่านสามี บางครั้งข้าก็สงสัยจริงๆ ว่าท่านเป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์ที่มายังโลกเพื่อช่วยเหลือผู้คน! หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของท่าน ท่านก็จะกลับไปสู่สวรรค์!”

ในยามนั้นเอง หลินเป่ยฟานก็จับมือหลี่ซือซือไว้แน่นและกล่าวว่า “ซือซือ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ในชีวิตของข้า ตัวข้าไม่ได้แสวงหาความเป็นอมตะเลย ข้าไม่ได้ต้องการกลายเป็นอมตะ ข้าต้องการอยู่กับเจ้าในโลกมนุษย์แห่งนี้เท่านั้น!”

“โอ้ ท่านสามีของข้า!” หลี่ซือซือรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก “ไม่คิดแสวงหาความเป็นอมตะ ไม่กลายเป็นตัวตนอมตะ เพียงต้องการอยู่กับเจ้าบนโลกใบนี้!” คำพูดนี้เป็นอะไรที่น่าประทับใจมากนัก

ในยามนั้นเอง โม่หรูซวงที่เต็มไปด้วยความอิจฉาก็ได้แต่หวังว่าคำพูดเหล่านั้นจะถูกพูดกับนาง แม้ว่านางจะเป็นสตรีในโลกวรยุทธ์ แต่นางก็โหยหาความรักอันหวานชื่นเช่นกัน นางปรารถนาให้คนตรงหน้าจับมือนางไว้ กล่าวคำพูดเช่นนั้นและอยู่กับนางไปจวบจนนิรันดร์

ในยามนั้นเอง องค์หญิงน้อยก็รู้สึกขุ่นเคืองพิกลภายในใจ

ไม่ไกลนัก กัวเส้าส้วยซึ่งปฏิบัติหน้าที่อารักขาก็เห็นเหตุการณ์นี้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำด้วยความอิจฉา “ถ้าเพียงแต่ข้ามีความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไว้โอ้อวด ตัวข้าคงมีสาวมากหน้าหลายตามาไล่ตามอย่างแน่นอน!” เขาได้แต่คิด

ต้าหลี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาก็ได้ทำลายความคิดของเขาลงไปทันที

“โอ้ เจ้าผู้โอดครวญโหยหาแต่สตรี! ช่างน่าสังเวชอะไรเช่นนี้! บางทีแทนที่จะไล่ตามเหล่าสตรี เจ้าควรลองเปลี่ยนใบหน้าที่น่าเกลียดของเจ้าเถอะ ข้าแค่คิดในใจน่ะ”

กัวเส้าส้วยเมื่อรู้ว่าเมื่อครู่ตนเผลอพูดออกมาก็ได้แต่นิ่งเงียบไป

หลังจากเพลิดเพลินกับภาพทิวทัศน์ของภูเขาแล้ว ทั้งกลุ่มจึงเดินทางกันต่อไป

“อารามร้อยเมฆาอยู่ไม่ไกล!”

“อารามร้อยเมฆาเป็นอารามที่มีชื่อเสียงมากของที่นี่จนมีผู้คนมากมายมาเยือน ว่ากันว่าพรที่ข้อทุกอย่างล้วนสัมฤทธิ์ผล! ถ้ามาที่ยอดเขาร้อยเมฆาและไม่ได้มายังอารามร้อยเมฆา คงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก!”

“เช่นนั้นมาจุดธูปและดูดวงกันเถิดดีหรือไม่?”

ทั้งกลุ่มเดินเข้ามาในอาราม เห็นพระภิกษุหนุ่มอายุประมาณสิบห้าหรือสิบหกปี กำลังนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปพร้อมกับท่องพระสูตร

พอเห็นผู้มาเยือนอย่างกะทันหัน พระผู้นี้ก็ถึงกับตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสตรีโฉมงามเช่นนี้มากมาย

หลินเป่ยฟานเดินเข้ามาหาเขาและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านพระภิกษุน้อย หัวใจทางด้านพุทธศาสนาของท่านยังไม่บริสุทธิ์พอ! จงอย่าลืมว่าทุกสิ่งล้วนก่อกำเนิดจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือทุกสรรพสิ่ง! คนเหล่านี้ในสายตาของเจ้าควรเป็นเพียงซากศพที่งดงาม ไม่ควรเป็นไปมากกว่านี้!”

“อาตมาขออภัย ขออภัยด้วย! โอ้ ว่าแต่อะไรนำพาพวกโยมมาที่นี่หรือ? โยมต้องการที่จะจุดธูปหรือสุ่มแท่งทำนายกัน?” พระรูปนั้นเอ่ยถาม

“เราต้องการทั้งสองอย่าง!” หลินเป่ยฟานใส่เงินลงในกล่องบริจาคและหยิบธูปสามก้านออกมาจากเตาเผาไม้จันทน์

หลินเป่ยฟานไม่เชื่อในพระพุทธศาสนา แต่เนื่องจากเขามาที่นี่ เขาย่อมจำเป็ฯต้องเชื่อ มิฉะนั้นเขาคงมาที่นี่โดยเสียเปล่า

หลังจากจุดธูป หลินเป่ยฟานก็หยิบไม้ทำนาย (เซียมซี) และเขย่าไปมา

ในเวลาไม่นาน ไม้ทำนายหนึ่งไม้ก็หลุดออกมา หลินเป่ยฟานยื่นไม้นั้นให้กับพระหนุ่มเพื่อช่วยเขาตีความ

“เมื่อโยมหยิบแท่งไม้ทำนายนี้ออกมา อาตมาตีความได้แล้ว คงจำเป็นต้องเตือนโยมถึงอะไรบางอย่าง ไม้ทำนายได้กล่าวถึงการเดินทางที่น่าหวาดหวั่น เส้นทางหนึ่งคือเส้นทางแห่งเหวินฉวี่ซิง ต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการกอบกู้โลก ทว่าต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง เพราะอีกเก้าเส้นทางแห่งความมรณะยังคงรออยู่ ขอให้โยมจงก้าวเดินอย่างมั่นคงและใจแน่วแน่ ต่อความยากลำบากที่จะปรากฏขึ้น” พระภิกษุหนุ่มอธิบาย

“ท่านสามี!”

"ท่านหลิน!"

ทุกคนต่างมองไปที่หลินเป่ยฟานด้วยความเป็นห่วง

มีเพียงหลินเป่ยฟานเท่านั้นที่ยังคงนิ่งสงบอยู่ “พระภิกษุน้อย สิ่งที่ท่านกล่าวมาเป็นความจริงหรือ?”

“อาตมามิเคยโป้ปด!” ใบหน้าของพระภิกษุตัวน้อยดูจริงจังมาก

หลินเป่ยฟานยังคงสงบนิ่งและหยิบแท่งทำนายขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นจึงเขย่ามัน

"โยมกำลังตั้งใจที่จะทำอะไร?" พระภิกษุตัวน้อยดูสับสนยิ่ง

หลินเป่ยฟานได้แต่พึมพำกับตัวเขาเอง “โชคชะตาคือสิ่งที่ข้าควรตัดสินด้วยมือของข้าเอง!”

พระภิกษุน้อยถึงกับเงียบกริบ

ในเวลาไม่ถึงอึดใจ ก็มีแท่งทำนายตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง

“พระภิกษุน้อย ดูอีกครั้งเถิด!”

พระภิกษุน้อยรู้สึกขัดแย้งในใจยิ่ง “นี่คือ…แท่งทำนายที่ดีที่สุดอันดับสอง! มันบอกว่าโยมจะเปลี่ยนจากเลวร้ายเป็นดีได้ เปลี่ยนความทุกข์ยากให้เป็นโชคลาภ และเปลี่ยนอันตรายให้กลายเป็นโอกาส!”

หลินเป่ยฟานยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ “เห็นไหมว่าข้าได้เปลี่ยนชะตากรรมอันเลวร้ายทั้งหมดของข้าไปแล้ว”

นักบวชตัวน้อยอดไม่ได้ที่จะกลอกตา

เขาได้พบกับผู้คนนับไม่ถ้วนมาตีความคำทำนายมากมาย แต่เขาไม่เคยพบเห็นใครที่ประหลาดเท่าหลินเป่ยฟานแล้ว!

หัวใจชาวพุทธของเขาแทบจะแตกสลาย!

ยามนั้นเอง หลินเป่ยฟานก็ได้กระแอมไอออกมา “พวกเจ้าก็ลองดูสิ จะได้รู้ว่าคำทำนายเหล่านี้แม่นยำเพียงใด! หากพวกมันไม่ดี พวกเจ้าก็เพียงแค่เขย่าใหม่ ข้ารับประกับเลยว่ามันจะดีขึ้นมากแน่!”

ทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะเข้าแถวเพื่อลองเสี่ยงไม้ทำนายดู มีเพียงพระภิกษุตัวน้อยเท่านั้นที่แทบจะพูดไม่ออกแล้ว

“โยม นี่ไม่ใช่วิธีที่ควรใช้การทำนายนะ!”

“ว่ากันว่าพระพุทธองค์ประทานพรแก่ผู้ที่เชื่อมั่นไม่ใช่หรือ? ข้าได้มอบเหรียญเงินจำนวนมากให้กับพระพุทธองค์แล้ว พระพุทธองค์ก็ควรให้โอกาสข้าอีกสองสามครั้งไหม?” หลินเป่ยฟานถามออกมาอย่างจริงจัง

“นี่ …” พระภิกษุตัวน้อยถึงกับตกตะลึง พุทธศาสนาสามารถตีความเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?

หลังจากศึกษาพระพุทธศาสนามาเป็นเวลาหลายปี เขาก็รู้สึกว่ามันไม่มีค่าอะไรเลย!

ในยามนั้นเอง เจ้าหญิงน้อยได้แต่ส่ายศีรษะไปมาพลางนำคำแท่งไม้ทำนายมอบให้กับพระภิกษุตัวน้อย “ภิกษุน้อย ได้โปรดดูและบอกข้าด้วยว่าของข้าเป็นเช่นไร”

พระภิกษุตัวน้อยประสานมือเข้าด้วยกัน “อมิตาพุทธ! สิ่งใดที่โยมอยากรู้หรือ?”

เจ้าหญิงตัวน้อยเอียงศีรษะและขมวดคิ้ว “ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องการที่จะถาม เช่นนั้นเอาเรื่องสุขภาพของข้าแล้วกัน! ข้าไม่รู้เลยว่าทำไม แต่เมื่อเร็วๆ นี้ข้ารู้สึกเหมือนไม่อยากอาหารและไม่สามารถกินอะไรได้เลย!”

เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินเป่ยฟานจึงกล่าวว่า “องค์หญิงน้อย บางทีท่านอาจจะกินมากเกินไปหรือเปล่า?”

เจ้าหญิงน้อยเงียบกริบไปแล้ว

คราวนี้เป็นทางกัวเส้าส้วย

ชายคนนี้พูดจาออกมาอย่างกระอักกระอวนเล็กน้อย “พระภิกษุน้อย…ข้าอยากรู้เรื่องการแต่งงานของข้า! ข้าอยากรู้ว่าข้าจะได้พบสตรีของข้ายามใด? แล้วนางอยู่ที่ไหน?”

หลินเป่ยฟานที่ยืนอยู่ข้างๆ พระภิกษุตัวน้อยอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “เส้าส้วย ไม่ใช่ว่าเจ้าถามเจาะจงเพศมากเกินไปหน่อยหรือ?”

กัวเส้าส้วยเอ่ยถามกลับไปว่า “หือ? เจ้าหมายความว่าเช่นไร?”

หลินเป่ยฟานกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “บุรุษทุกคนคิดว่าตนชอบสตรีจนกระทั่งได้พบกับบุรุษที่ใช่! ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรลองละทิ้งความชอบในใจเจ้า และตามหาสิ่งที่เจ้าชอบพอแท้จริงดีกว่า จงอย่าจำกัดตัวเลือกเพียงสตรีเท่านั้น บางทีบุรุษก็เป็นตัวเลือกเช่นกัน”

กัวเส้าส้วยได้แต่นิ่งเงียบไปชั่วครู่

ในที่สุดก็ถึงคราวของโม่หรูซวง

นางมองไปที่หลินเป่ยฟานไปมาจนหน้าแดง “พระภิกษุน้อย ข้าต้องการถามเรื่องการแต่งงานของข้า!”

หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวไปว่า “หรูซวง ข้าว่าเจ้ามาถามผิดคนแล้ว! พระภิกษุน้อยผู้นี้ของเราเป็นพระที่ไม่มีความรู้เรื่องความรักและความสัมพันธ์มากนักหรอก!”

พระภิกษุตัวน้อยดูไม่พอใจพอสมควร “แม้ว่าข้าจะเป็นพระ แต่ข้าก็ยังมีความเข้าใจในความรักและความสัมพันธ์ของมนุษย์อยู่นะ!”

หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา “จะเป็นไปได้ยังไงกัน? ถ้าท่านมีคู่ครอง ท่านจะมาบวชเช่นนี้หรือ? ในเมื่อท่านไม่มีแม้แต่คู่ครอง ท่านจะไปเข้าใจความรักได้เช่นไรกัน?”

พระภิกษุหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบไป

เขาพูดความจริงทุกประการ! ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น พระภิกษุน้อยก็รู้สึกเจ็บปวดในใจยิ่ง เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมา

“หรูซวง ไหนให้ข้าดูของเจ้าที” หลินเป่ยฟานรับมันมาจากโม่หรูซวง

จากนั้นเขาก็อ่านคำที่ปรากฏอยู่บนนั้น “ต้นไม้สองต้น หัวใจดวงเดียว หากโชคชะตาเอื้ออำนวย เราจักได้พานพบกัน!”

หลินเป่ยฟานส่งคืนให้กับพระภิกษุหนุ่มอย่างเงียบๆ และกล่าวว่า “คงดีกว่าที่จะให้ท่านเป็นคนพูดมันออกมา ข้าคงไม่เหมาะที่จะกล่าวมัน”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินออกไป

พระภิกษุน้อยมองไปยังแท่งไม้และกล่าวออกมา “คำว่าต้นไม้สองต้น หัวใจหนึ่งดวงนั้นแทนคำว่า ความปรารถนา มันบอกถึงคนที่โยมคิดถึงทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนสามีในอุดมคติของท่านมีตัวอักษร ‘ต้นไม้‘ สองตัวในชื่อของเขา เขาเองก็รู้ความรู้สึกของโยมที่มีต่อเขาแล้ว”

“ประโยคที่สองหมายความว่าพวกโยมจะถูกกำหนดให้พบกัน! ส่วนคำว่าโชคชะตานี้ยังสามารถหมายถึงเงินได้ นั่นก็คือเหรียญเงินและเหรียญทอง! กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกโยมสองคนจะได้รู้จักกันและอยู่ด้วยกันเพราะเรื่องเงิน!”

ทันใดนั้นหัวใจของโม่หรูซวงก็เต้นแรงขึ้น

การตีความนั้นช่างแม่นยำมาก!

อีกทั้งยังมีสองตัวอักษรที่เกี่ยวข้องกับ ‘ต้นไม้’ ในชื่องั้นหรือ? นั่นไม่ใช่นามสกุลของท่านหลินหรอกหรือ? นอกจากนี้ท่านหลินยังเป็นคนที่นางคิดถึงทั้งวันทั้งคืน!

ประโยคที่สองบอกว่าพวกเขาถูกกำหนดให้พบกัน และพวกเขาก็ได้พบกัน!

ส่วนเงินที่เขารับจากนางก็แทบจะ 2 ล้านตำลึงไปแล้ว!

ในอนาคตมันยิ่งจะมีอีกมาก!

มันจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่านางและท่านหลินจะอยู่ด้วยกันในอนาคต!

ทันใดนั้น โม่หรูซวงก็รู้สึกมีความสุขมาก นางยิ่งรู้สึกขวยเขินยิ่งเมื่อนึกถึงมัน

ส่วนทางด้านหลินเฟ่ยปานที่รู้ความหมายของมันอย่างชัดเจนก็จากไปอย่างเงียบๆ แล้ว!

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขารู้ความรู้สึกของนางที่มีต่อเขาดี

โอ้ เช่นนั้นข้าควรทำยังไงดี?

นางจะมีหน้าไปพบท่านหลินได้ยังไงกัน?

ยิ่งคิดนางยิ่งรู้สึกอายเข้าไปใหญ่!

ในยามนี้ เกือบทุกคนได้นมัสการพระพุทธรูปและเยี่ยมชมอารามทั้งหมดแล้ว พวกเขาพร้อมที่จะกลับเรือนกัน

แต่ในยามนั้นเอง…

“อมิตาพุทธ!”

เสียงหนึ่งได้ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน

ทันใดนั้น หลินเป่ยฟานก็รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านเขาไป พระชรารูปหนึ่งที่มีนัยน์ตาขุ่นมัวปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มือของเขาประสานกัน ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความเมตตากรุณา

“พ่อหนุ่ม เจ้าเป็นผู้มากด้วยสติปัญญาและความสัมพันธ์ที่เชื่อมกับพระพุทธองค์!”

เหวินฉวี่ซิงหรือที่เรียกว่า "ดาวมงคล" เป็นเทพปกรณัมจีนที่คอยรับผิดชอบด้านวรรณกรรม การศึกษาและความรู้ ว่ากันว่าปรากฏขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นที่เคารพบูชาของบัณฑิตมากมายตลอดประวัติศาสตร์จีน ปัจจุบันเหวินฉวี่ซิงเป็นชื่อระบบการป้อนข้อมูลภาษาจีนที่ยอดนิยมบนคอมพิวเตอร์และมือถือ

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด