ตอนที่แล้วบทที่ 99: ไม่คิดแสวงหาความเป็นอมตะ ไม่กลายเป็นตัวตนอมตะ เพียงต้องการอยู่กับเจ้าบนโลกใบนี้!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 101: พระไร้ยางอายย่อมไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น!

บทที่ 100: พระพุทธศาสนาเป็นเพียงการหลอกลวงหรือไม่? มาดูกันว่าผู้ใดจะหลอกลวงใคร!


ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

บทที่ 100: พระพุทธศาสนาเป็นเพียงการหลอกลวงหรือไม่? มาดูกันว่าผู้ใดจะหลอกลวงใคร!

ทุกคนต่างตกใจ!

พระเฒ่าผู้นี้มาปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

โม่หรูซวงและกัวเส้าส้วยต่างรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของหลินเป่ยฟานทันที พวกเขาชักดาบออกมาและมองดูพระเบื้องหน้าพวกเขาอย่างระมัดระวัง

เจ้าหญิงน้อยก็วิ่งมากระซิบเช่นกัน “ท่านพ่อบอกข้าว่าว่ามีพระชั้นสูงในอารามร้อยเมฆาที่กินอาหารมังสวิรัติและท่องบทสวดพระพุทธศาสนาตลอดทั้งวันโดยไม่สนใจเรื่องทางโลก! เล่ากันว่าเขาได้เข้าถึงพุทธคุณจนลึกซึ้งและแข็งแกร่งยิ่ง เช่นนั้นคงเป็นคนผู้นี้แน่!”

หลินเป่ยฟานพยักหน้าเล็กน้อย

ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นทรงพลังมาก จนเขารู้เลยว่าอีกฝ่ายมาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว ดูเหมือนว่าอีกไม่นานก็คงจะก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์

เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองตั้งแต่ที่เขาเคยพบเจอมา

ที่แข็งแกร่งที่สุดคือไป๋ฉิงเสวียน สตรีผู้ได้รับการขนานนามว่าเทพปีศาจ

"ท่านอาจารย์!" พระภิกษุตัวน้อยเดินมาและประสานมือเข้าด้วยกันต่อหน้าพระชรา จากนั้นจึงโค้งคำนับเล็กน้อย

พระเฒ่าพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวกับหลินเป่ยฟานและคนอื่นๆ อย่างใจเย็น “ไม่ต้องกังวล พระต่ำต้อยผู้นี้มีนามว่าจิงไท่ เป็เพียงพระชราจากอารามร้อยเมฆา ไม่มีความอาฆาตมาดร้ายต่อพวกโยมเลย! อาตมาแค่อยากจะพูดกับโยมเพียงสองสามคำเท่านั้น หวังว่าโยมทั้งหลายจะเข้าใจกัน อมิตาพุทธ!”

“ถอยไปเถิด พระท่านนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย!” หลินเป่ยฟานโบกมือ

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความอาฆาตพยาบาท เขาก็ไม่กลัว

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ แต่เขาสามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้หลายสิบกระบวนท่า

หลายสิบกระบวนท่ามันก็เพียงพอแล้วที่ไป๋ กวนอิมจะมาช่วยเหลือเขา

“ระวังตัวด้วยท่านหลิน!” โม่หรูซวงกล่าว ก่อนที่จะถอยกลับไป

หลินเป่ยฟานเดินเข้ามาและยิ้ม “ท่านจิงไท่ ท่านต้องการจะพูดอะไรกับข้าหรือ?”

“อมิตาพุทธ!” จิงไท่ประสานมือของเขาเข้าด้วยกัน “เมื่อครู่พระผู้ต่ำต้อยคนนี้อยู่ด้านหลังอารามใหญ่ ได้รับรู้ถึงคำทำนายของโยมพอดิบพอดี จากนั้นข้าก็สดับฟังได้ยินโยมกล่าวด้วยหลักการทางพุทธศาสนาที่แสนลึกซึ้ง เมื่ออาตมามองไปที่รูปลักษณ์ของโยม อาตมาก็พบว่าโยมมีวิสัยและกระดูกของพระพุทธองค์ ดังนั้นอาตมาจึงมีความตั้งใจที่จะรับโยมเป็นศิษย์ โยมยินดีที่จะติดตามพระผู้ต่ำต้อยผู้นี้เพื่อเรียนรู้เรื่องพระพุทธศาสนาขั้นสูงสุดและช่วยสิ่งมีชีวิตทั้งปวงหรือไม่?”

เมื่อได้ยิน หลินเป่ยฟานก็ถึงกับตกตะลึง!

นี่ท่านเชื่อคำพูดโม้เหม็นไร้สาระของข้าจริงๆ งั้นเหรอ?

ถึงขั้นจะรับเป็นลูกศิษย์เลยเนี่ยนะ?

แต่จะให้ข้าละทิ้งครอบครัวของข้า ภรรยาที่งดงามของข้า เหล้าและอาหารเลิศรสของข้า ทรัพย์สมบัติและเกียรติยศมากมายเพื่อมาเป็นพระเช่นท่านเหรอ?

ล้อกันเล่นหรือไงกัน?

คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงมากเช่นกัน!

นี่คือขุนนางชั้นสูงที่ได้รับรางวัลการสอบสามปีติดต่อกัน ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบมากมายจากเหล่าสตรี คาดว่าเขาคงจะมีอนาคตที่สดใสรอคอยอยู่

คิดหรือว่าเขาจะยอมสละเกียรติยศและความมั่งคั่งเพื่อกลายมาเป็นพระ?

เสียสติไปแล้วหรือไงกัน?

หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะและยิ้มออกมา “ท่านอาจารย์จิงไท่ ท่านขอให้ข้าละทิ้งภรรยาที่สวยงามของข้า ละทิ้งเหล้าและอาหารชั้นเลิศ ละทิ้งเกียรติยศและความมั่งคั่งของข้า กลายเป็นพระที่น่าเวทนา คอยกินอาหารมังสวิรัติและท่องพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาทุกวัน…ข้าคงทำไม่ได้!”

สีหน้าของจิงไท่ยังคงสงบนิ่ง “โยมหลงผิดแล้ว! โยมต้องตระหนักว่าสตรีทุกคนล้วนเป็นเพียงกระดูกที่ถูกปกคลุมไปด้วยเนื้อหนัง แม้ว่างดงามเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงเปลือกหนังที่ท้ายที่สุดจะเหลือแค่กระดูกแห้งกร่อน! หากโยมหมกมุ่นอยู่กับสตรี โยมก็เท่ากับหมกมุ่นอยู่กับกระดูกแห้ง เช่นนั้นเมื่อไรหัวใจของโยมจะได้รับการปลดปล่อยกัน?”

“ข้าคิดว่าท่านต่างหากที่หลงผิดไป!”

หลินเป่ยฟานยิ้มและกล่าวแย้งกลับไปว่า “ท่านต้องรู้ว่ารูปร่างคือความว่างเปล่าและความว่างเปล่าก็คือรูปร่าง! รูปร่างไม่แตกต่างจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าไม่แตกต่างจากรูปร่าง ในเมื่อเดิมทีมันว่างเปล่า เหตุไฉนต้องสนใจมันมากถึงเพียงนี้? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งมีชีวิตทั้งปวงล้วนมีความเท่าเทียมกัน! เราไม่ใช่แค่กระดูกที่ปกคลุมไปด้วยเนื้อหนังเหมือนเหล่าสตรีหรอกหรือ? ในเมื่อเราทุกคนล้วนต้องกลายเป็นเพียงกระดูกแห้งภายในทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน เราปล่อยวางร่วมกันจะไม่ดีกว่าหรือ แล้วความหลงใหลเหล่านี้มาจากแห่งหนใดกัน? สุดท้ายนี้สิ่งที่ข้าอยากจะบอกท่านคือ…”

หลินเป่ยฟานกางมือออกและกล่าวว่า “ตราบใดที่มีพุทธองค์อยู่ในใจ ไม่มีที่ใดที่ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้”

อาจารย์จิงไท่เบิกดวงตาที่ขุ่นมัวและเอ่ยชมทันที “โยมมีรากเหง้าแห่งปัญญาประกอบอยู่ หลักการทางพุทธศาสนาของอาตมาด้อยกว่าโยมนัก! เมื่อมีพุทธองค์อยู่ในใจ ย่อมไม่มีใดที่จะหลุดพ้นได้ อาตมาได้เรียนรู้จากโยมแล้ว!”

“ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว” หลินเป่ยฟานกล่าวอย่างนอบน้อม

“แต่โยม การติดเหล้าชั้นเลิศและอาหารถือว่าเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่นัก! เครื่องดื่มมึนเมาเป็นยาพิษ เนื้อสัตว์ล้วนเป็นมีดที่พรากชีวิต การติดเหล้าชั้นเลิศและความอร่อยของอาหารเทียบเท่ากับการฆ่าตัวตายอย่างเชื่องช้า ในท้ายที่สุดมันจะเป็นอันตรายต่อตนเอง! โยมควรตื่นแต่เช้าและมาอยู่กับพระผู้ต่ำต้อยคนนี้เพื่อกินอาหารมังสวิรัติและสวดพระพุทธมนต์เพื่อกำจัดพิษเหล่านี้เถิด!” พระชราแนะนำอีกครั้ง

หลินเป่ยฟานได้แต่กลอกตาตอบไป ท่านต้องการให้ข้าละทิ้งเหล้าชั้นเลิศและอาหารอันโอชะไปหรือ? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! เช่นนั้นก็สังหารข้าเลยเถอะ!

“ท่านเข้าใจผิดไปอีกแล้ว!” หลินเป่ยฟานกล่าว

อาจารย์จิงไท่มองมาทางเขาด้วยความสับสน

“เหตุผลที่พระพุทธเจ้าต้องการให้ผู้คนงดเครื่องดื่มมึนเมาและเนื้อสัตว์เป็นเพราะเขากังวลว่าความมุ่งมั่นของผู้คนจักไม่เพียงพอ อาจถูกโลกฆราวาสล่อลวงและในที่สุดก็อยู่ห่างไกลจากเส้นทางพระพุทธเจ้า! ทว่าตราบใดที่มีพุทธองค์อยู่ในใจ การดื่มเหล้าและการกินเนื้อสัตว์ย่อมสามารถเป็นไปได้!” หลินเป่ยฟานกล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ

“อันที่จริง…มันก็เหมือนดั่งคำที่กล่าวว่า ‘น้ำมึนเมาและเนื้อสัตว์ล้วนผ่านไปอยู่ช่องท้อง แต่พุทธองค์ต่างหากที่ยังคงอยู่ในใจ!”

อาจารย์จิงไท่ชะงักไป “โยมพูดถูก! ดูเหมือนว่าอาตมาจะเข้าใจผิดจริงๆ สิ่งนี้คงทำให้อาตมาอยู่ห่างจากพระพุทธเจ้ามากขึ้นไปอีก! อมิตาพุทธ อาตมาได้รับประโยชน์อย่างมากจากคำแนะนำของโยม ขอบคุณมาก!”

จากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ

“ท่านเยินยอข้าเกินไปแล้ว !” หลินเป่ยฟานรีบพยุงเขาลุกขึ้น

ในยามนั้นเอง อาจารย์จิงไท่ก็มองไปที่ดวงตาของหลินเป่ยฟาน ไม่ใช่ในฐานะผู้อาวุโสที่มองไปยังคนรุ่นหลัง แต่มองในฐานะผู้ที่เท่าเทียมกัน

เขามองว่าหลินเป่ยฟานเป็นผู้ที่มีความรู้ในด้านพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

“โยมเป็นผู้ที่มีพระพุทธองค์อยู่ในใจเสมอ! เหตุใดโยมจึงยังติดทะเลแห่งความทุกข์ทรมานในโลก ทั้งยังต้องแสวงหาความมั่งคั่ง สถานะ เกียรติยศและโชคลาภด้วย? สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องเลือนหายไป เราไม่สามารถนำติดตัวไปด้วยได้เมื่อเราเกิด และเราไม่สามารถนำติดตัวไปด้วยได้เมื่อเราตาย! ภายในทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน แม้นไม่มีที่สิ้นสุด แต่ใช่ว่าจะไม่มีจุดจบ! อามิตตาพุทธ!” พระชราได้แนะนำอีกครั้ง

หลินเป่ยฟานเพียงถอนหายใจออกมา “ถูกต้องแล้ว โลกเป็นทะเลแห่งความทุกข์ทรมานขนาดยักษ์ที่ผู้คนต่างต้องดิ้นรนและตกอยู่ในความสิ้นหวัง ไม่สามารถปลดปล่อยสิ่งใดออกมาได้! แต่ท่านรู้หรือไม่ว่ามันเป็นเช่นนั้นด้วยเหตุอันใด?”

“อาตมาอยากฟังรายละเอียด” อาจารย์จิงไท่ถามอย่างนอบน้อม

“เพราะถ้าไม่มีคนนำทาง ผู้คนในทะเลแห่งความทุกข์ทรมานไหนจะกลับเข้าฝั่งได้?” หลินเป่ยฟานตอบ

"ถูกต้องโดยแท้!" อาจารย์จิงไท่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

หลินเป่ยฟานพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ตามคำกล่าวที่บอกไว้ว่า หากมิใช่ตัวข้าที่เลือกลงนรก แล้วผู้ใดกันจะลงไป? ข้าทำได้เพียงดื่มด่ำกับทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน เพื่อแสดงให้ผู้คนเห็นเส้นทางที่ถูกต้องและเพื่อช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากนี้!'”

หลินเป่ยฟานประสานมือของเขาเข้าด้วยกันและกล่าวต่อ “ก่อนที่จะกระโดดลงไปในทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน ข้าได้ให้คำปฏิญาณที่ยิ่งใหญ่ ข้าจะไม่กลายเป็นผู้บรรลุธรรมจนกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะได้รับการช่วยเหลือ ข้าจะไม่กลับไปที่ฝั่งจนกว่าทะเลแห่งความทุกข์ยากจะเหือดแห้งไป! ดังนั้นอาจารย์จิงไท่ ได้โปรดอย่าแนะนำข้าอีกต่อไปเลย! ตราบใดที่ข้าสามารถแสดงเส้นทางที่ถูกต้องให้กับสิ่งมีชีวิตได้ แม้ว่าข้าจะจมอยู่ในห้วงทะเลแห่งความทุกข์ทรมาน ข้าก็ยินดีเสียสละ!”

"อามิตตาพุทธ!“อาจารย์จิงไท่หลับตาด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเปไปมา”อาตมาเข้าใจโยมผิดถนัด สายตาของอาตมาเข้าใจผิดไป มีเพียงผู้ที่นำเหล่าสิ่งมีชีวิตออกจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์เท่านั้นที่จะเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงได้!”

หลินเป่ยฟานจึบตอบกลับไปอย่างจริงจัง “ท่านพูดถูกแล้ว อามิตตาพุทธ!”

อาจารย์จิงไท่โค้งคำนับอีกครั้ง

ในยามนั้นเอง เขาก็มองไปที่ดวงตาของหลินเป่ยฟานที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและความเคารพ ราวกับว่าเขากำลังประจักษ์เห็นถึงพระพุทธเจ้าที่แท้จริง

จากนั้นอาจารย์จิงไท่ก็เกิดคำถามทางพุทธศาสนาขึ้นอีกข้อหนึ่ง

“โยม ตัวอาตมามักได้ยินคำกล่าวหนึ่งมาเสมอ กายาคือต้นโพธิ์ จิตเหมือนกระจกสะท้อนที่มีขาตั้ง จงหมั่นขัดเกลาอย่าให้มันกลับกลายเป็นฝุ่น! หลักการทางพุทธศาสนานี้ถูกต้องหรือไม่? ได้โปรดให้ความกระจ่างแก่อาตมาด้วย!” อาจารย์จิงไท่ร้องขอ

“ท่านเข้าใจผิดไปอีกแล้ว” หลินเป่ยฟานกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “แท้จริงแล้วไม่มีต้นโพธิ์หรือกระจกสะท้อน ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดเลย เช่นนั้นมันจะมีฝุ่นได้ยังไงกัน?”

"ถูกต้องเลย! โยมพูดถูกทุกประการ ยามนี้อาตมาเข้าใจแล้ว!” อาจารย์จิงไท่ก้มคำนับหลินเป่ยฟานอีกครั้ง

อาจารย์จิงไท่ยังตั้งคำถามอีกสองสามข้อถึงหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ซึ่งหลินเป่ยฟานก็สามารถตอบได้อย่างถูกต้อง อาจารย์จิงไท่รับฟังด้วยความยินดีอย่างยิ่ง ตัวเขาได้รับประโยชน์อย่างมาก

ทุกคนรอบตัวพวกเขาถึงกับตกตะลึง

ไม่คาดคิดเลยว่าหลินเป่ยฟานจะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนทางพุทธศาสนากับพระชั้นสูงได้ ทั้งยังดูเหมือนว่าความรู้ของอาจารย์ผู้นี้จะไม่เหนือกว่าหลินเป่ยฟานเลยสักนิด จนต้องขอคำแนะนำมากมาย

หลี่ซือซือชื่นชมยิ่ง “ความรู้ทางพุทธศาสนาของท่านสามีข้าช่างลึกซึ้งจริงแท้! หลังจากฟังแล้ว ข้าเองก็ได้รับประโยชน์มากมาย ทั้งร่างกายและจิตใจของข้าคล้ายถูกชำระให้บริสุทธิ์!”

โม่หรูซวงเองก็กล่าวชื่นชม “ถูกต้องเลย! หลักการทางพุทธศาสนาของท่านหลินนั้นลึกซึ้งและลึกลับยิ่ง มีแม้กระทั่งแง่มุมทางปรัชญาที่ข้าสามารถเรียนรู้จากมันได้!”

มีเพียงเจ้าหญิงตัวน้อยเท่านั้นที่เอียงศีรษะและถามด้วยความสงสัย “จริงเหรอ? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเขากำลังหลอกผู้อื่นอยู่กัน?”

ในยามนั้นเอง พระภิกษุตัวน้อยก็หันศีรษะและกระซิบออกมา “อย่าพูด! ความลับมิอาจแพร่งพราย จงอย่าพลาดโอกาสนี้ไป!”

ด้วยเหตุนี้โดยรอบจึงเงียบลงไปอีกครั้ง

พระเฒ่าถามคำถามอีกหลายข้อ ส่วนหลินเป่ยฟานก็ตอบคำถามทั้งหมดอย่างถูกต้อง

พระพุทธศาสนามันไม่ใช่แค่การหลอกลวงหรอกหรือ?

มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดสามารถหลอกลวงใครได้ต่างหาก!

ทว่าเมื่อหลินเป่ยฟานตอบคำถามมากขึ้น ลมปราณรอบๆ พระเฒ่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ทันใดนั้นเขาก็รีบออกจากห้องทันที

ทุกคนต่างรู้สึกสับสนและได้เดินตามหลังเขาไปอย่างใกล้ชิด

พวกเขาเห็นว่าพระเฒ่าได้กระโดดออกไปหลายร้อยเมตร และยืนด้วยขาบนยอดเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ไม่ไกลนัก

ในขณะที่เขาลืมตาขึ้น ลมปราณที่น่าสะพรึงกลัวได้พวยพุ่งลงมาราวกับหิมะถล่ม พัดผ่านพื้นที่หลายร้อยลี้และขจัดเมฆและหมอกทั้งหมดจนสิ้น

จากนั้นเมฆและหมอกก็หลอมรวมตัวกันอีกครั้ง ก่อตัวเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่

เหมือนดั่งปาฏิหาริย์!

ทุกคนต่างตกตะลึง “น-นั่นมันการ…ทะลุทะลวงขอบเขตงั้นหรือ?”

หลินเป่ยฟานได้แต่ตะโกนในใจออกมาด้วยความโกรธ

ระดับขั้นปรมาจารย์!!!

นี่มันระดับขั้นปรมาจารย์อย่างแน่นอน!!!

อีกฝ่ายได้ก้าวรุดหน้าไปกลายเป็นผู้มีพลังระดับปรมาจารย์แล้ว!

ระดับขั้นปรมาจารย์คือผู้ฝึกวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้าแล้ว!

แม้ว่าจะเป็นเพียงปรมาจารย์อันดับสาม แต่ก็เพียงพอที่จะครองโลกใบนี้ได้!

จากนั้นพระเฒ่าก็พนมมือเข้าหากัน ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวราวกับว่าเขากำลังเดินทางผ่านกาลเวลาและมิติเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าหลินเป่ยฟาน

ลมปราณรอบตัวเขาได้มาบรรจบกันแล้ว ร่างกายของเขาได้กลับกลายเป็นธรรมดาเฉกเช่นเดิม

ทว่าทุกคนไม่กล้าดูแคลนพระผู้นี้เป็นอันขาด

“ยินดีกับท่านด้วย! ท่านได้ก้าวข้ามขีดจำกัดอันแสนยากลำบากไปแล้ว!” หลินเป่ยฟานยิ้มและประสานมือเข้าด้วยกัน

ทว่าพระเฒ่ากลับถอยหลังเพื่อไม่รับการคำนับของหลินเป่ยฟาน ราวกับรู้สึกละอายใจและกลัว “ต่อหน้าโยม อาตมามิกล้าเรียกตนว่าเป็นอาจารย์หรือเรียกตนเองว่าผู้อาวุโส! มีเพียงคนอย่างโยมเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ ทั้งกล้าหาญ เสียสละและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คนอย่างโยมต่างหากที่ควรถูกเรียกว่าปรมาจารย์ที่แท้จริง! มีเพียงโยมเท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นพระพุทธองค์ที่แท้จริงบนโลกนี้ ในหมู่พวกเราเป็นเพียงแค่มนุษย์ปถุชนธรรมดา!”

“ท่านอาจารย์ นี่มันเยินยอกันเกินไปแล้ว!” หลินเป่ยฟานโบกมือไปมา

“อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์เลย ข้าเป็นเพียงพระชราสามัญเท่านั้น!”

พระเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม “พุทธศาสนาของโยมทำให้อาตมาได้รับการตรัสรู้ครั้งใหญ่! อาตมาเป็นหนี้บุญโยมอย่างมากที่ได้ให้ความรู้เช่นนี้! ทว่ายิ่งอาตมารู้มากเท่าไร อาตมาก็ยิ่งตระหนักว่าตนเองโง่เขลาเพียงใด! อาตมาอยากจะร้องขอให้โยมรับอาตมาเป็นศิษย์เพื่อได้เรียนรู้หลักคำสอนสูงสุดของพุทธศาสนาได้หรือไม่?”

หลังจากพูดเช่นนั้นจบลง เขาก็โค้งคำนับหลินเป่ยฟานอย่างหนักแน่น

หลินเป่ยฟานถึงกับตกตะลึงในทันที “อะไรนะ? ท่านต้องการเป็นลูกศิษย์ของข้าหรือ?”

ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด