ตอนที่แล้วตอนที่ 29 เหล่าองค์ชายเร่ขายโอสถ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 อสูร

ตอนที่ 30 ขอบเขตชำระปราณขั้นสอง


เสี่ยวเฉินเงยหน้าและเห็นชายหนุ่มว่าเป็นศิษย์พี่ที่มีพลังติดอยู่ในขอบเขตชำระกายขั้นเก้ามานานแล้ว

ความกระตือรือร้นขององค์ชายจ้าวกลับมาอีกครั้ง เขาหยิบหม้อที่โยนทิ้งไปและเริ่มเคาะอีก

“หึหึ! ยอดเยี่ยมพี่ชาย! นี่คือโอสถชำระปราณจากห้องโอสถแห่งยอดเขามังกรดำ! พวกข้าเป็นผู้จัดส่งโอสถเอง ยิ่งไปกว่านั้นมันจะรู้สึกเหมือนได้เป็นชายชาตรี…”

ชายหนุ่มกังขา

“ข้าขอดูก่อนได้หรือไม่?”

องค์ชายจ้าววางหม้อไปและแสดงโอสถชำระปราณแก่เขา

“ดูให้ดี! นี่คือการหลอมอันยิ่งใหญ่ของห้องโอสถ! มีตราห้องโอสถประทับไว้ด้วย!”

ชายหนุ่มถือโอสถมาใกล้จมูกและดม เขามิอาจยืนยันได้ว่ามันเป็นของแท้หรือไม่ แต่นี่ทำให้ศิษย์หลายคนต่างเข้ามาดูสินค้าที่น่าจะมาจากห้องโอสถ

“เจ้าบอกว่ามันมาจากห้องโอสถรึ? มันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงหรอก โอสถจากห้องโอสถจะมาขายที่นี่ได้อย่างไร?”

องค์ชายจ้าวยังคงเคาะหม้อและตะโกนสุดเสียง

“ถามได้ดีพี่ชาย! เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนได้แตะต้องสินค้าคุณภาพจากห้องโอสถ! แต่พวกข้ามีเส้นสายของตัวเองน่ะรู้ไหม…”

จากนั้นเขาก็หรี่ตา

“เอ่อ รู้ไหมว่า เอ่อ…”

องค์ชายจ้าวกลับมาเคาะหม้อต่อและตะโกนต่อไป

“เฮ้ เฮ้เฮ้! เร่เข้ามา! เข้ามาดูกันเร็ว! ซาลาเปาสด ๆ ร้อน ๆ จากห้องโอสถ…โอ๊ะ ไม่ใช่นะ! โอสถต่างหาก!”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว

“ขายราคาเท่าไหร่รึ?”

องค์ชายจ้าวหยุดตะโกนและตอบ

“พี่ชายไม่ต้องห่วง สินค้าเราคุณภาพสูงสุด แค่สามศิลาจิตเท่านั้น! แล้วก็วันนี้เป็นวันเปิดขายวันแรก พี่ชายจะได้โอสถเสริมพลังหนึ่งเม็ดกับโอสถพลังสามเม็ดเป็นรางวัลที่สนับสนุนด้วย!”

“สามศิลาจิตรึ? นั่นมันแพงไปนะ เจ้าไม่คิดแบบนั้นรึ? ก๊กเขาใต้ขายโอสถสามขวดด้วยศิลาจิตเดียวเท่านั้น”

ทุกคนที่มาล้อมรอบพวกเขาเริ่มพูดคุยกัน พวกเขาต่างกังขาว่าโอสถนั้นเป็นสินค้าจริงจากห้องโอสถหรือไม่ มิเช่นนั้นพวกเขาคงยอมจ่ายได้แม้กระทั่งสิบศิลาจิต

เสี่ยวเฉินยกเท้าเดินและยิ้มให้ชายหนุ่ม

“ศิษย์พี่เอาไปสิ คิดว่าเป็นของขวัญวันเปิดขายของเรา”

องค์ชายจ้าวรีบพูดใส่หูเสี่ยวเฉิน

“นั่นมันสามศิลาจิตเลยนะศิษย์พี่เสี่ยว! เราน่าจะคิดซักหนึ่งศิลาจิตสิ! ไม่จำเป็นต้องให้เปล่าไม่ใช่รึ?”

เสี่ยวเฉินเพียงแค่ยิ้มชอบ ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย

“เจ้าจะไม่คิดราคากับข้าจริงรึ?”

“แน่นอน เอาไปลองก่อนหนึ่งเม็ดสิ”

เสี่ยวเฉินทำท่าทางต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

“ดีจริง ๆ ขอบคุณนะศิษย์น้อง”

ชายหนุ่มเดินไปพร้อมกับโอสถ เขาอยากจะทดลองโอสถที่เขาได้มาโดยไม่เสียอะไรเลย คนอื่น ๆ เองก็เริ่มสลายตัวกันไป

องค์ชายจ้าวขมวดคิ้ว

“เยี่ยมไปเลยศิษย์พี่ นอกจากเราจะขายอะไรไม่ได้ทั้งช่วงเช้าแล้วแต่ศิษย์พี่ยังให้ของเขาไปอีก พอได้แล้วล่ะมั้ง ข้าว่าศิษย์พี่คงไม่เหมาะกับการค้าขายหรอก”

เสี่ยวเฉินทำเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

ในเวลาเที่ยง ทุกคนกินอาหารที่ซื้อมาและเริ่มดื่มกินเพียงแค่น้ำเปล่า จากระยะทางที่นี่ถึงโรงอาหารและเวลาจำกัดในหุบเขาชมนภานั้น หลายคนเลือกที่จะใช้เวลาในหุบเขามากกว่าเดินไปไหนมาไหน

เสียงสดใสดังมาแต่ไกลราวกับเสียงกระดิ่ง มันเป็นเสียงของคนที่ดีอกดีใจ

“หึหึ นายน้อย!”

หลิวรั่วมาพร้อมกับอาหารของเขา

เสี่ยวเฉินขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นทุกคนมองด้วยความอิจฉา เขากระซิบกับนาง

“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ล่ะ?”

หลิวรั่วสวมชุดขาวทำให้นางดูโดดเด่น นางรีบวิ่งเหยาะ ๆ อย่างสง่างามมาหาเขา นางยิ้มพูด

“ข้าขออนุญาตผู้เฒ่าอู๋มาแล้ว เขาบอกว่าให้ข้ามาส่งอาหารให้นายน้อยได้”

“งั้นรึ”

เสี่ยวเฉินพยักหน้า หลิวรั่วให้อาหารกับเขา องค์ชายจ้าวมองดูอาหารและน้ำลายสอด้วยความหิวโหย องค์ชายฉีและองค์ชายหยานเองก็กระแอมและท่องอะไรบางอย่างเรียกซาลาเปาที่พวกเขาเก็บไว้ออกมา

คนอื่น ๆ ที่เป็นศิษย์ใหม่รอบตัวพวกเขาเบิกตากว้างด้วยความทึ่ง

“ว้าว! พวกเจ้ารู้วิธีใช้วิชาสายเทพแล้ว!”

องค์ชายจ้าวยินดีกับตัวเอง

“หึ มันก็แค่เรื่องธรรมดา!”

เขาขยับมือและพบว่าตัวเองติดอยู่กลางทาง เขาร้องออกมาด้วยความกลัว

“ตายแล้ว! ข้าติด! เจ้าสองคน! มาช่วยข้าหน่อย!”

“เฮ่อ เจ้าโง่ ให้ข้ากินดี ๆ กันไม่ได้รึ”

พวกเขายัดซาลาเปาเข้าปาก องค์ชายฉีและองค์ชายหยานมาวางฝ่ามือบนหลังของเขาและอัดพลังปราณส่งผ่านไปให้ สุดท้ายองค์ชายจ้าวก็เอาซาลาเปาของเขาออกมาจากสายเทพได้

เหล่าองค์ชายมองดูซาลาเปาแห้งเฉาที่ไร้ความนุ่มสด องค์ชายจ้าวได้แต่มองมื้อกลางวันของเสี่ยวเฉินที่น่าอร่อยพลางกลืนน้ำลาย เขาหัวเราะเบา ๆ

“เอ่อ ศิษย์พี่เสี่ยว…ซาลาเปาข้าเย็นแข็งขนาดนี้ มันกินยากน่ะ ข้ายืมของพี่มาอุ่นหน่อยได้ไหม?”

เสี่ยวเฉินส่ายหน้าเบา ๆ เขาหยิบน่องไก่สามน่องจากรถเข็นและยิ้มยื่นให้ทั้งสามคน

ยามบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสี่ยวเฉินไม่ได้บอกให้สามองค์ชายเร่ขายโอสถไปหลังจากมื้อกลางวัน ที่บ้านเขาตอนกลางคืน เขาได้หลอมโอสถต่ออีกรอบ เช้าวันต่อมาเมื่อกลับมายังหุบเขาชมนภาแล้วพวกเขาก็พบว่าทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย

“ในที่สุดข้าก็เป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

ชายหนุ่มคนที่ได้รับโอสถไปเมื่อวานโดยไม่คิดเงินจากเสี่ยวเฉินนั้นเต้นไปมาด้วยความร่าเริงท่ามกลางสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของคนโดยรอบ

เมื่อเห็นเสี่ยวเฉินมาถึง คนมากกว่าสิบคนก็รีบมาล้อมเขา

“เจ้ายังมีโอสถชำระปราณเมื่อวานอีกไหม? ข้าอยากได้สิบเม็ด!”

“ข้าด้วย! ข้าเอาสิบเม็ดเหมือนกัน!”

“สิบเรอะ! คิดว่าเจ้าซื้อผักในตลาดรึไง!”

องค์ชายจ้าวหายใจเข้าลึกและเริ่มตะโกน

“เข้ามา เข้ามา เร่เข้ามา! โอสถใหม่จากเตาห้องโอสถ! เม็ดละห้าศิลาจิต!”

“ห้าเรอะ? ข้าคิดว่าเจ้าขายสามศิลาจิตซะอีก?”

“เมื่อวานรึ? เมื่อวานมันลดราคาเปิดร้าน ตอนนี้มันราคาห้าศิลาจิตแล้ว เรามีมาขายแค่สามเม็ด ใครมาก่อนได้ก่อน!”

องค์ชายจ้าวตะโกนต่อไปสุดเสียง

“ข้าอยากได้!”

“ข้าเหมา! ไม่มีใครจะได้ไปหรอก!”

“จริงรึที่เจ้ามีสามเม็ด? ขอข้าเม็ดนึงสิ! ข้าซื้อสิบศิลาจิตเลยนะ!”

ถ้าเป็นเช่นนี้เสี่ยวเฉินจะกลับบ้านมาพร้อมกับศิลาจิตหลายสิบก้อน เขาถือขวดหยกอีกสองขวด องค์ชายจ้าวตะโกนต่อไป

“เรามีโอสถเสริมพลังกับโอสถพลังด้วย! มาจากห้องโอสถเหมือนกัน! เร่เข้ามาเร็ว! พวกเราลดราคาแค่วันนี้! อีกสามวันจะไม่มีแล้ว!”

เป็นเช่นนี้เอง ในสองสามวันต่อมา เสี่ยวเฉินได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในยอดเขาตะวันลับ หลายสิบคนมารอที่ทางเข้าหุบเขาชมนภาในตอนเช้าเพื่อรอโอสถชำระปราณ แม้ว่าเอาจะมีโอสถเสริมพลังและโอสถพลังมาขายด้วย แต่การขายโอสถสองอย่างหลังนี้เทียบไม่ได้เลยกับการขายโอสถชำระปราณ

ไม่นานทุกคนในยอดเขาตะวันลับรวมถึงก๊กเขาใต้และก๊กเขาเหนือก็ได้รู้ว่ามีศิษย์ใหม่กำลังขายโอสถจากห้องโอสถ เสี่ยวเฉินเองก็ให้โอสถพลังกับโอสถเสริมพลังกับศิษย์ใหม่ร่วมนิกาย ทำให้เขาได้นับการนับถือและมิตรภาพกับหลายคนที่เริ่มมองเขาเป็นผู้นำ

ทุกวันหลิวรั่วจะมาส่งอาหารไม่เคยขาย

ณ สถานที่แห่งหนึ่งในอาณาเขตของก๊กเขาใต้ ชายหนุ่มสองสามคนกำลังสาปแช่ง

“บัดซบ! โอสถแหล่งใหม่โผล่มาจากไหนกัน? โอสถของพวกเราขายไม่ได้เลย! เราจะบอกพี่เย่ยังไงล่ะ!”

“แล้วเราจะทำอะไรได้? ไม่มีกฎห้ามขายโอสถนี่! แบบนี้แย่แน่! พวกมันขายถูกจนทุกคนไปหามันหมด!”

ยามพลบค่ำ เสี่ยวเฉินกับสามองค์ชายเริ่มกลับ แต่ในตอนนี้มีศิลาจิตมากพอที่จะเพิ่มพลังแล้ว เขาจะต้องหาทางเพิ่มพลังเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นสองโดยเร็วทีสุด

สามองค์ชายที่เดินตามหลังเขานั้นพูดคุยกันอย่างมีความสุข องค์ชายจ้าวเรียกเขาอย่างร่าเริง

“พวกข้าขอโสอถชำระปราณเม็ดนึงได้ไหมศิษย์พี่? พวกข้าเองก็อยากจะเป็นขอบเขตชำระปราณเร็ว ๆ เหมือนกัน!”

“ไม่ได้”

เสี่ยวเฉินตอบไปแบบนั้น เขาทำหน้าจริงจังและพูดกับพวกเขา

“เจ้าจะกินโอสถเสริมพลังหรือโอสถพลังก็ได้ กินได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ แต่อย่ากินโอสถชำระปราณ แม้จะสักเม็ดเดียว”

องค์ชายจ้าวตอบด้วยความเศร้า

“อย่าขี้เหนียวไปเลยศิษย์พี่ เรารู้นะว่าโอสถชำระปราณมันไม่ถูก เอาแบบนี้ไหม…”

“ไม่”

เสี่ยวเฉินส่ายหน้า

“มีพลังที่เจ้าควรจะต้องสำเร็จโดยการฝึกฝนบ่มเพาะด้วยตัวเอง จะดีที่สุดถ้าเจ้าไม่ใช้สิ่งภายนอกมาช่วยตั้งแต่แรกเริ่ม เจ้าจะเสียใจในวันหนึ่งถ้าเจ้าเพิ่มพลังของตัวเองโดยใช้โอสถ”

องค์ชายจ้าวตั้งใจฟังและพยักหน้า

“โอ้…ศิษย์พี่มีเหตุผล แต่ข้าก็อยากจะลองซักเม็ดอยู่ดี…”

นี่คือปริศนาที่ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนต้องเจอ หลายคนนั้นรู้ดีถึงผลที่ตามมาของการใช้โอสถอย่างโอสถชำระปราณในการเพิ่มพลัง แต่มีไม่กี่คนนักที่จะอดทนต่อความยั่วยวนของการไต่พลังอย่างรวดเร็วได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ไปถึงระดับสูงได้ด้วยตัวเองในวิถีเซียน ดังนั้นโอสถที่จะมอบพลังได้ในทันทีจึงมักจะถูกขายได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางโอสถทั้งหมด

เสี่ยวเฉินส่ายหน้าอีกครั้ง

“เอาเถอะ ข้าให้โอสถชำระปราณกับพวกเจ้าก็ได้ แต่ข้าขอเตือน เจ้าควรจะไปถึงขอบเขตชำระปราณด้วยพลังของตัวเอง ไม่ใช่ความช่วยเหลือจากสิ่งอื่น โดยเฉพาะเมื่อเจ้าทำด้วยตัวเองได้ จงจำเอาไว้”

เขามองโอสถชำระปราณสามเม็ดที่บังเอิญเป็นโอสถที่ดีที่สุดที่เขาหลอมมาและยื่นให้พวกเขา

“อีกหนึ่งเรื่อง ข้าจะลองบรรลุขอบเขตชำระปราณขั้นสองในอีกไม่ช้า ข้าจะไม่ไปที่หุบเขาชมนภากับเจ้าในวันพรุ่งนี้”

เขาพูดจบและเดินกลับบ้านทันที

แม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีศิลาจิตเป็นจำนวนมาก เขาก็ยังต้องสะสมพลังด้วยตัวเขาเองอยู่ดี ในคืนนั้น เขาใช้ศิลาจิตไปเกือบสามสิบก้อน

จากนั้นเขาจึงทำสมาธิต่อไปในสวน เขานั่งนอกบ้านและเปิดเส้นปราณทั้งหมดในร่างกาย เมื่อถึงเวลาเที่ยง มีแสงขาวสองแสงสว่างเหนือไหล่ทั้งซ้ายและขวาของเขา แสงนั้นกระจายไปถึงท้องฟ้า

ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงพลังที่เอ่อล้นในร่างกาย แม้จะเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นหนึ่งที่อีกก้าวเดียวจะเป็นขั้นสอง แต่ความต่างระหว่างสองขั้นนั้นถือว่ามาก

เขาซัดหินก้อนใหญ่ยักษ์ด้วยฝ่ามือ ฝ่ามือเขาซัดหินไกลออกไปนับร้อยศอกก่อนจะระเบิดที่กลางอากาศกลายเป็นผุยผง

“ในที่สุด…ขอบเขตชำระปราณขั้นสอง…”

หลิวรั่วมิได้รบกวนเขาเมื่อเห็นว่าเขากำลังใช้สมาธิอย่างลึกล้ำ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้วนางจึงรีบออกมาพูดด้วยความสุข

“ยินดีด้วยนะนายน้อย!”

เสี่ยวเฉินยิ้มเบา ๆ ให้นาง เขารู้สึกถึงฝีเท้าที่รัวมาจากด้านนอก สองคนมาที่บ้านของเขา หนึ่งในนั้นคือหวังเยี่ยที่เคยนั่งโต๊ะเดียวกับเขาระหว่างเรียน ส่วนอีกคนที่สาวน้อยที่อายุพอกัน

เสี่ยวเฉินเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อสังเกตเห็นความรีบร้อนของพวกนาง

“มีอะไรให้ข้าช่วยรึศิษย์น้อง?”

“ยะ แย่…แย่แล้ว!”

หวังเยี่ยหอบอย่างหนักจนแทบพูดไม่เป็นภาษา สาวน้อยที่มากับนางพูดขึ้นมาด้วย

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ที่หุบเขาชมนภา!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด