ตอนที่แล้วตอนที่ 27 หุบเขาชมนภา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 29 เหล่าองค์ชายเร่ขายโอสถ

ตอนที่ 28 สู้เพื่อศิลาจิต


เมื่อตะวันตกดิน ศิษย์คนหนึ่งตีระฆัง

“ใกล้ค่ำแล้ว ออกจากหุบเขาชมนภาได้”

ศิษย์พี่ทุกคนไม่รอช้า พวกเขาเริ่มสลายตัวกันไป แต่เหล่าศิษย์ใหม่ลังเลเพราะอยากจะใช้เวลามากกว่านี้ ศิษย์ที่ตีระฆังขึ้นเสียงใส่พวกเขา

“ใกล้ค่ำแล้ว! ไม่ได้ยินข้าเรอะ!”

“เฮ่อ ไปกันเถอะ”

พวกเขาลุกขึ้นด้วยความลังเลและเริ่มเดินออกไปด้วย

เมื่อพวกเขาเดินกลับ สามองค์ชายตื่นเต้นเป็นพิเศษ องค์ชายจ้าวพูด

“ข้ารู้สึกว่าพลังของเพิ่มมาอีกหนึ่งระดับ ข้าเริ่มเข้าใกล้ศิษย์พี่เสี่ยวแล้ว”

องค์ชายหยานมองเขาและหรี่ตาพูด

“เจ้าอยูู่ระดับไหน?”

“ขั้นหนึ่ง!”

“...”

“เอาเถอะ แต่ที่นี่ดีมากจริง ๆ พรุ่งนี้เรารีบมาแต่เช้าไหม?”

เสี่ยวเฉินมองเขาแปลก ๆ

“เจ้าจะมาแต่เช้าตามใจอยากก็ได้ แต่ระวังตัวด้วย”

“ทำไมต้องระวังตัวเล่า? มีสัตว์ป่านักล่าที่นี่รึ? แต่สัตว์พวกนั้นก็ไม่มีอันตรายกับพวกเราอยู่แล้ว มีศิษย์พี่ตั้งเยอะอยู่ที่นี่”

องค์ชายจ้าวพูดและหัวเราะ

เสี่ยวเฉินไม่พูดอะไรต่อ เขายิ้มตอบไป

เช้าวันต่อมา เสี่ยวเฉินมิได้ไปที่หุบเขาชมนภา เขาทำสมาธิบ่มเพาะพลังในสวนของตัวเองเพื่อดูดซับพลังปราณที่เขาต้องการในตอนนี้ หลิวรั่วถามเมื่อเห็นว่าเขายังอยู่

“นายน้อยไม่ไปที่หุบเขาชมนภารึ?”

เสี่ยวเฉินยิ้มตอบ

“ข้าตั้งใจให้เจ้าโง่สามตัวนั่นโชคร้ายไปสักหน่อย อีกไม่กี่วันข้าค่อยไป”

เมื่อตะวันตกดิน สามองค์ชายมาหาเขาด้วยความเศร้าหมอง

“ฮือออ ฮืออ ฮือออ…ช่วยพวกข้าด้วยศิษย์พี่! พวกข้าโดนรังแก!”

“โอ้? ใครกันกล้าทำร้ายสุดยอดองค์ชายอย่างเจ้าสามคน?”

เสี่ยวเฉินกำลังฝึกวิชากับกระบี่ไร้มลทิน เขาเก็บกระบี่เข้าฝักและตอบกลับเสียงบ่นของสามองค์ชาย

องค์ชายจ้าวหยิบโอสถเม็ดขึ้นออกมา เขาร้องครวญอย่างทุกข์ใจ

“เป็นเพราะเย่เฉาจง มันบังคับให้เราแลกศิลาจิตกับโอสถพวกนี้ มันถึงกับสั่งให้เราไปแลกศิลาจิตกับมันทุกเดือน ไม่อย่างนั้นจะห้ามเราเข้าหุบเขาชมนภา! บัดซบ มันคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? จ้าวหุบเขาชมนภาเรอะ?”

เสี่ยวเฉินรับโอสถมาจากเขาและมองเพียงไม่นาน โอสถนั้นมีคุณภาพต่ำ ต่อให้เป็นเขาก็หลอมมันได้อย่างง่ายดายมากกว่าหลายสิบเม็ดในราคาตำลึงสองตำลึกเท่านั้น เขาพูด

“กินขยะพวกนี้ไปเจ้าก็ป่วยเปล่า ๆ”

จากนั้นเขาจึงโยนโอสถทิ้งไป

“พี่เพิ่งโยนศิลาจิตทิ้งไปนะ!”

องค์ชายจ้าวร้องเสียงดัง เขามองตรงที่เสี่ยวเฉินโยนโอสถ

เสี่ยวเฉินหันไปหาเขา

“เจ้าไม่ได้พูดถึงชื่อข้ารึ?”

องค์ชายหยานที่กำลังร้องไห้นั้นตอบ

“พวกข้าพูดไปแล้ว! แต่มันบอกว่าต่อให้เป็นศิษย์พี่เสี่ยวก็ต้องทำตามคำสั่งของมัน และต้องซื้อโอสถสองเม็ดทุกเดือน!”

องค์ชายฉีถาม

“พรุ่งนี้ไปกับพวกข้าไหมศิษย์พี่เสี่ยว?”

เสี่ยวเฉินจ้องเขาและตอบอย่างเรียบเฉย

“เจ้าจะกลัวอะไรถ้าเจ้าจ่ายไปแล้ว?”

“ก็จ่ายไปแล้วล่ะ แต่มันจงใจหาเรื่องพวกข้า มันต้องมารังแกพวกข้าอีกแน่”

เสี่ยวเฉินมองขอบนภาชมทิวทัศน์ตะวันลับฟ้า

“ย่อมได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปกับพวกเจ้า”

เมื่อเขาพูด ไร้มลทินขยับออกจากฝัก มันฟันกิ่งไม้ที่งอกชนกำแพง

“ว้าว! ศิษย์พี่บังคับกระบี่ด้วยพลังปราณได้แล้ว!”

เช้าวันต่อมา เสี่ยวเฉินเดินออกจากบ้านและเห็นสามองค์ชายมารอเขาอยู่แล้ว หลิวรั่วดึงแขนเสื้อเขาเมื่อเห็นเสี่ยวเฉินนำกระบี่ติดตัวออกมาด้วย

“อย่าไปมีเรื่องนะนายน้อย…”

นางหันไปจ้องสามองค์ชาย

“พวกเจ้าสามคน! อย่าได้คิดจะมาให้นายน้อยไปสู้แทนพวกเจ้านะ!”

เสี่ยวเฉินลูบผมนางเบา ๆ และยิ้มให้

“ไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่เป็นอะไร”

จากนั้นเขาจึงเดินทางไปยังหุบเขาชมนภากับสามองค์ชาย

หุบเขาอันอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพลังปราณ ที่นี่ได้ดึงดูดศิษย์ราวแปดเก้าร้อยคนมาบ่มเพาะพลัง พวกเขาส่วนใหญ่จะแบ่งกันเป็นส่วนทิศเหนือและทิศใต้ของหุบเขาที่มีเส้นเบ่งเป็นต้นไม้ขาวโดยเหลือพื้นที่โล่งไว้ตรงกลาง

ศิษย์ใหม่นั้นมาถึงจุดที่สามผู้เฒ่าเคยพาพวกเขามาซึ่งเป็นทางใต้ เสี่ยวเฉินกับพวกไปที่นั่นเช่นกันและมองหาที่นั่น

ไม่นานก็มีชายหนุ่มชุดแดงสี่คนมาหาพวกเขาและถามอย่างเย็นชา

“เจ้ามาใหม่รึ?”

เสี่ยวเฉืนลืมตาช้า ๆ แต่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

สามองค์ชายเริ่มตึงเครียดกังวล คนอื่นโดยเฉพาะศิษย์ใหม่แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและยังคงนิ่งเงียบบ่มเพาะพลังต่อไป บางคนมองอย่างเป็นห่วงแต่ไม่แสดงออกอะไร

หัวหน้ากลุ่มสี่คนโยนโอสถให้เสี่ยวเฉินอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง

“นี่เป็นของเดือนนี้ ราคาหนึ่งศิลาจิต เจ้าจะต้องซื้ออีกในเดือนหน้า ทุกเดือน”

เสี่ยวเฉินรับโอสถจากกลางอากาศมาดูและโยนทิ้ง

“ขออภัยด้วยศิษย์พี่ ข้าไม่ต้องการขยะ”

“กล้าดียังไง!”

ชายชุดแดงบันดาลโทสะ

“เจ้าไม่รู้กฎของที่นี่หรือแกล้งโง่กัน?”

ลูกน้องอีกสามคนเดินมาข้างหน้าและยืนขู่เสี่ยวเฉิน

ศิษย์ใหม่ที่เหลือเบิกตากว้าง เสียงที่หวาดกลัวของสาวน้อยดังขึ้น

“อีกสิบวันกว่าจะถึงเดือนหน้า ขอร้องเถอะนะศิษย์พี่…ปะ ปล่อยเขาไปได้ไหม?”

นางคือหวังเยี่ยสาวน้อยขี้อายที่เคยนั่งกับเสี่ยวเฉินมาก่อนนั่นเอง แต่นางเพิ่งจะพูดจบก็มีเด็กสาวอีกคนข้าง ๆ นางดึงแขนเสื้อนางและบอกให้นางเงียบ

ชายหนุ่มชุดแดงตะคอกใส่นาง

“เจ้าเป็นใครถึงมามีปากเสียงกับข้า! หุบปาก!”

เขามองเสี่ยวเฉินด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ข้าให้โอสถเจ้าไปแล้ว เอาศิลาจิตมาซะ!”

“หืม? แล้วถ้าข้าปฏิเสธเล่า?”

เสี่ยวเฉินถามอย่างตรงไปตรงมา

“นี่เจ้า!”

ชายหนุ่มชุดแดงชักกระบี่ขึ้นมาด้วยโทสะ แม้แต่คนที่อาวุโสกว่าเขาก็ไม่กล้าอวดดีต่อเขา แต่ศิษย์ใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ในนิกายกลับกล้าอวดดีเช่นนี้ แต่กระบี่เขายังไม่ทันออกจากฝักก็มีแสงสีขาวแล่นผ่านดวงตาเขาไป เขารู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นอันน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เซียนที่เฉียดคอเขาไป ใกล้อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นโลหิตเขาจะสาดลงพื้นแล้ว

แม้แต่ศิษย์พี่คนอื่นยังมองพวกเขา ศิษย์พี่หลายคนเริ่มมองพลางกระซิบกระซาบด้วยความวิตกกังวล

“เขาควบคุมกระบี่ด้วยพลังปราณ! เขามีความสามารถแบบนั้น! เป็นขอบเขตชำระปราณแล้วรึ?”

“เขาเป็นศิษย์ใหม่ไม่ใช่หรือ? เขาควรจะเป็นหนึ่งในศิษย์ในถ้ามีพรสวรรค์เช่นนี้นะ!”

เหงื่อเย็นเริ่มทะลักออกมาจากชายชุดแดง เขาพูดเสียงสั่นกลัว

“จะ เจ้า เจ้า…จะ เจ้าต้องการอะไร?”

มือของเขากำด้ามกระบี่เอาไว้ แต่เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิ้วเดียว

“ไสหัวไป”

เสี่ยวเฉินพูดเพียงเท่านั้น เขาไม่แม้แต่ชายตามองผู้รุกล้ำ ไร้มลทินกลับมาสู่ฝักด้วยเสียงปาดใส มันแสดงถึงความแม่นยำในการควบคุมกระบี่ของเสี่ยวเฉิน

“ดี! เจ้ารอก่อนเถอะ!”

ชายหนุ่มหมุนเท้าและรีบเดินไปกับสมุนในทางที่เขาเดินมา

ศิษย์ใหม่ที่เหลือทุกคนเดินมาหาเขา

“ศิษย์พี่เสี่ยวมีพลังขอบเขตชำระปราณแล้วรึ?”

ความภูมิใจปรากฏบนใบหน้าสามองค์ชาย องค์ชายจ้าวยกนิ้วโป้งและหัวเราะ

“แน่อยู่แล้ว ถ้ามีศิษย์พี่เสี่ยวอยู่ก็ไม่มีใครกล้ามารบกวนพวกข้าอีกแล้ว ถ้าเจ้ารู้ก่อนจะจ่ายส่วยให้พวกมัน ศิษย์พี่เสี่ยวก็พร้…”

เสี่ยวเฉินหันไปจ้องเขาให้เงียบ

แต่คนยังไม่สลายไปแต่ก็มีชายอีกสิบคนที่เดินมาหาพวกเขาและปล่อยจิตสังหารออกมา ทุกคนนั้นมีประสบการณ์การหลั่งเลือดมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่เดินนำนั้นคือเย่เฉาจงอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยเสียงโลหะกระทบดังที่ดังใกล้เข้ามเรื่อย ๆ กระบี่เซียนมากกว่าสิบเล่มลอยอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่คมกริบหันใส่เสี่ยวเฉินและสามองค์ชายอย่างน่ากลัว

“บังคับกระบี่ได้รึ? คิดว่าเจ้ายิ่งใหญ่มาจากไหนกัน?”

กระบี่ลอยอยู่กลางอากาศ มันสั่นสะเทือนเปล่งเสียงออกมาอย่างต่อเนื่อง ปลายกระบี่สะท้อนแสงอาทิตย์อย่างน่าขนลุกราวกับอสรพิษที่แลบลิ้นออกมา ศิษย์ใหม่ทุกคนที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนีี้มาก่อนหน้าซีดและตัวแข็งทื่อ ความตื่นเต้นได้ตายจากไปเหลือเพียงความเงียบงัน

องค์ชายจ้าวหวาดกลัวหน้าซีดขาวราวกับคนตาย เขาเข้ามาขวางหน้าเสี่ยวเฉิน เย่เฉาจงพุ่งเข้ามาตบแก้มองค์ชายจ้าวอย่างแรง เขายกแขนและชี้เสี่ยวเฉินข้างหลัง

“ช่างกล้านักนะเจ้าหนู! คิดอะไรอยู่ถึงกวัดแกว่งอาวุธในเขตขอองข้า! เจ้าหลงรักความตายจนปรารถนาจะลิ้มรสมันรึ?”

เสี่ยวเฉินสีหน้าหม่นหมอง ไร้มลทินสั่นสะเทือนไปกับความโกรธเกรี้ยวอันเดือดพล่านของผู้เป็นนาย เห็นแบบนี้องค์ชายฉีเองก็พุ่งเข้ามาจับด้ามกระบี่ไว้ไม่ให้มันพุ่งออกไป

องค์ชายหยานพูด

“ดะ ได้โปรด…มาคุยกันแบบคนมีอารยธรรมกันดีกว่า พวกเราเป็นศิษย์นิกายเซียนที่มีเกียรติ อย่าได้ปล้นกันเป็นโจรเลย”

เย่เฉาจงเป็นขอบเขตชำระปราณขั้นสองแล้ว ส่วนคนที่อ่อนแอที่สุดในลูกน้องเขาก็ล้วนเป็นขั้นหนึ่ง องค์ชายจ้าวเมินความเจ็บรุนแรงบนแก้มและหยิบศิลาจิตออกมายื่นให้เย่เฉาจง

“เอาไปสิ ไม่ต้องมาทำร้ายกันแล้ว พวกข้าจะจ่ายของเดือนหน้าให้”

เย่เฉาจงมองศิลาจิตที่ได้รับ เขายิ้มและถอนหายใจแรง

“อย่างน้อยก็ยังมีคนที่พอฉลาดอยู่บ้าง”

เขามองเสี่ยวเฉินอีกครั้ง

“ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน ถ้าข้าสั่ง เจ้าจะอยู่หรือตายก็ด้วยคำสั่งของข้าในยอดเขาตะวันลับแห่งนี้ ถ้ากล้าก็เข้ามา ข้าเองก็อยากจะเล่นสนุกอยู่เหมือนกัน”

เขาโบกมือเรียกให้ลูกน้องเริ่มหันกลับ

“ช้าก่อน…”

เสี่ยวเฉินคำราม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด