ตอนที่แล้วตอนที่ 1 มีชีวิตเพื่อสิ่งใด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 3 ยุคก่อนของผู้บ่มเพาะพลัง

ตอนที่ 2 การต่อสู้ของเซียน


คนตระกูลเสี่ยวหลายคนเห็นและเริ่มพูดคุยกัน

“เจ้าอมตะเฉินเป็นบ้าไปแล้วรึ? คิดจะตายอีกแล้วรึไง? ไม่ผิดแน่ คราวที่แล้วมันฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ครั้งนี้มันจะต้องหาที่ตายจากเซียนแน่!”

เสี่ยวยี่ฟานนั้นหวาดกลัวขนหัวลุก เขาวิ่งด้วยกำลังภายในโดยไม่สนอันตรายไปหาเสี่ยวเฉินเร็วปานสายฟ้า แต่ทว่าปราณกระบี่ยาวร้อยศอกที่มีแสงขาวเปล่งประกายก็ได้ซัดลงมาจากเบื้องบนขวางทางเขาอีกครั้ง

ภูเขาสะเทือนอย่างรุนแรง ปราณกระบี่หุ่นเส้นทางระหว่างศาลาสายฟ้าและยอดเขาจนเป็นเหวกว้างร้อยศอก ไม่ว่าวิชาตัวเขาของเขาจะดีเพียงใด เขาก็มิอาจข้ามเหวภายใต้สายลมรุนแรงได้

เมื่อเห็นบุตรชายเพียงคนเดียววิ่งขึ้นยอดเขาอย่างบ้าคลั่งโดยมีความเป็นตายเป็นเดิมพันในทุกวินาที เขาแทบจะเป็นลมและตะโกน

“เฉินเอ๋อ กลับมาเถอะ! ข้าจะไปขอร้องพวกผู้เฒ่า! พวกเขาจะไม่เล่เจ้าออกจากตระกูลหรอก…”

แต่เสี่ยวเฉินมิอาจได้ยินสิ่งใด ต่อให้เขาได้ยิน เขาจะไม่หันกลับไปเพราะนี่คือโอกาสเดียวของเขาเท่านั้น เขาจะต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดของยอดเขาเพื่อให้ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตตั้งแกนเห็นเขา

จู่ ๆ หินก้อนใหญ่ก็กลิ้งใส่เขา คนตระกูลเสี่ยวด้านล่างร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว เสี่ยวยี่ฟานยิ่งผวากว่าใคร หัวใจเขาแทบสลายในวินาทีที่หินกลิ้งชนเสี่ยวเฉิน เขาตัวสั่นทรุดลงกับพื้น

“เฉินเอ๋อ…เฉินเอ๋อ…”

ไกลออกไป คนตระกูลเสี่ยวทุกคนจ้องมองอ้าปากค้าง แม้ว่าพวกเขามักจะรังแกเสี่ยวเฉิน เสี่ยวเฉินก็เป็นหนึ่งในคนสกุลเสี่ยว หัวใจพวกเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นความตายอันทุกข์ระทมนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่มีใครให้รังแกอีกก็ได้

แต่จากนั้นไม่นานก้อนหินก็ขยับพร้อมกันเสี่ยวเฉินที่คลานออกมา เขายังไม่ตายแม้จะมีบาดแผลเต็มตัว ทุกคนอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าร่างอมตะของเสี่ยวเฉินนั้นสมคำร่ำลือ

เสี่ยวยี่ฟานตะโกนด้วยความดีใจ

“เฉินเอ๋อ รีบหลบเร็ว!”

แต่เสี่ยวเฉินไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงสั่นสะเทือน เขาอยากทำเพียงแค่สิ่งเดียว! นั่นคือการไปให้ถึงยอดเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพราะผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตตั้งแกนสองคนนั้นอาจจะจากไปได้ทุกเมื่อ

เขาสะบัดเท้าและวิ่งสุดชีวิตไปที่ยอดเขา เหล่าคนตระกูลเสี่ยวตะโกนด้วยความตกใจ

“เฮ้ย! อย่าไปนะเจ้าอมตะเฉิน! พวกข้าจะไม่รังแกเจ้าแล้ว!”

เหล่าผู้เฒ่าสิบคนสีหน้าเปลี่ยยนไป พวกเขาไม่กังวลกับความตาของเขาแต่ห่วงว่าเขาจะไปล่วงเกินเหล่าเซีน ผู้เฒ่าคนหนึ่งตะโกน

“กลับมานะเสี่ยวเฉิน! เราจะให้เวลาเจ้าอีกสามปี!”

สายลมพัดโหยหวน ก้อนหินร่วงหล่นดั่งสายฝน เสี่ยวเฉินไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียวและเขาจะไม่หันหลังกลับแม้จะได้ยิน นี่คือโอกาสเดียวเท่านั้น เซียนสองคนนั้นจะไม่เห็นเขาถ้าเขาขึ้นไปไม่ถึง

แต่เมื่อเขาไปได้ไกลเพียงแค่แปดร้อยศอก พลังอันรุนแรงก็ผลักเขาไปชนกับกำแพงหินอย่างแรง

เขาที่มีร่างกายแข็งแรงถึงกับกระอักเลือดออกมา แต่เขาไม่หยุดและวิ่งไปที่ยอดเขาต่อไป เขาต้องไปให้ถึงให้เร็วที่สุดก่อนที่พวกเขาจะจากไป!

เสี่ยวยี่ฟานหยุดตะโกนและดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ เสี่ยวเฉินนั้นมิได้ทำไปเพื่อฆ่าตัวตายและจะต้องมีแผน

ในตอนนี้ เขาได้แต่มองลูกชายถูกสายลมรุนแรงพัดและลุกขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าถ้าหากลูกชายเขามีชีวิตรอดในวันนี้ ลูกชายเขาจะต้องได้อะไรบางอย่างกลับมาแน่นอน!

เขาภาวนาในใจ

“ตั้งแต่ที่ลูกข้าเกิดมา บนท้องนภามีลางร้าย ได้โปรดเหล่าทวยเทพบนสวรรค์ ไว้ชีวิตลูกชายข้าด้วย เอาชีวิตข้าไปแทนก็ได้…”

ราวครึ่งชั่วโมง เสี่ยวเฉินได้ไปถึงยอดเขาในที่สุด เขาเหนื่อยล้าและมีบาดแผลฉกรรจ์เต็มตัว ชุดขาวของเขาเต็มไปด้วยคราบโลหิต แต่เซียนทั้งสองยังไม่เห็นเขาที่เป็นเพียงตัวตนที่ไร้ความสลักสำคัญ

“ได้โปรดหยุดสู้กันเถอะ!”

แม้เขาจะรู้ว่ามันน่าขัน เขาก็มีความหวังอยู่เพียงน้อยและตะโกนออกไปด้วยภาษาของเขาเมื่อหลายพันปีก่อน

ผลที่ได้นั้นชัดเจน ทั้งสองเมินเขา จากนั้นเขาจึงตะโกนอีกครั้งด้วยภาษาในชีวิตนี้ และเขายังคงโดนเมิน

เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เซียนทั้งสองที่กำลังเข้าสู้กันนั้นไม่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อตอบเขาแน่ ดังนั้นเขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างไปบนฟ้าพยายามเรียกร้องความสนใจ แต่เขาไม่มีพลังที่จะขว้างมันได้สูงพอ ต่อให้เขามีแรงพอ หินก้อนนั้นคงสลายไปจากสายลมรุนแรง

คนตระกูลเสี่ยวนิ่งเป็นท่อนไม้

“เจ้านั่นบ้าไปแล้วเรอะ?”

เหล่าผู้เฒ่าหน้าถอดสี

สุดท้าย พลังของเสี่ยวเฉินหมดลง เขาล้มลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า เขามองดูการต่อสู้เบื้องบนโดยไม่สนใจปราณกระบี่ที่กระจัดกระจายออกมาและอาจสะบั้นเขาจนไม่เหลือซาก

การต่อสู้บนท้องฟ้านั้นบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ จากพลัง ยอดเขานับไม่ถ้วนถูกเฉือนขาดไป ขณะนั้นเอง ปราณกระบี่หลากสีได้ปรากฏบนท้องฟ้า แต่ละเส้นปราณนั้นยาวเกินร้อยศอก จากนั้นมันจึงผสานกันเป็นกระบี่ขนาดใหญ่สีขาว กระบี่เล่มนี้คือกระบี่ของสตรีในแบบที่ใหญ่กว่า

กระบี่ใหญ่เปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าราวกับมีพลังทำลายทั้งฟ้าดิน มันฟันลงมาให้ท้องนภามืดมิด ชายชราชุดสีครามขยับดัชนีอย่างรวดเร็วและร่ายมนต์เพื่อเปลี่ยนพัดในมือให้เป็นตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ที่ปกคลุมปราณกระบี่ที่เข้ามา

ใบหน้าของสตรีซีดเพราะนางอ่อนแอลงจากการใช้พลังมากเกินไป ชายชราชุดสีครามมีโอกาสใช้พัดและร่ายแสงขาวออกมาหกแถว เขาร่ายมนต์ให้แสงสีขาวเข้าล้อมรอบนาง

“ไม่นะ!”

สายเกินไปแล้วที่นางจะหนีและนางถูกพันธนาการไว้โดยหกลำแสงขาวซึ่งปกคลุมไว้ด้วยยันต์ที่มองเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ไม่ว่านางจะดิ้นรนเพียงใดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับลำแสงขาวนั้น

เสี่ยวเฉินตาเป็นประกายและรู้ทันทีว่ามันคือค่ายกลดักหกชั้นซึ่งมีไว้จับคนโดยเฉพาะ ในชาติที่แล้วของเขานั้นเขาเชี่ยวชาญในการใช้ค่ายกล ดังนั้นเขาจึงจำค่ายกลที่เห็นได้

ชายชราชุดสีครามระเบิดแสงเยือกเย็นออกมาจากดวงตา เขาพูด

“แม่นางมู่ นิกายข้าไม่ได้ผูกจิตอาฆาตกับเจ้า เหตุใดถึงมาขโมยกระจกปิดนภาของเรา!?”

นางในชุดขาวยิ้มอย่างเย็นชา

“อะไรกัน? เซียนเทียนหยุน เจ้าตามล่าข้าตั้งแต่ตำหนักม่วงมาถึงโลกมนุษย์แห่งนี้เพียงเพราะเรื่องนี้รึ?”

นางลูบลำแสงสีขาวหลังจากพูดเช่นนั้น

ชายชราชุดขาวพูดอย่างเย็นชากลับไป

“เก็บพลังเอาไว้เถอะ ค่ายกลนี้เป็นวิชาเฉพาะตัวของนิกายเรา ไม่มีผู้ใดเคยหลุดรอดออกไปได้ ส่งกระจกปิดนภามาและข้าจะไม่ถือโทษเพราะนี่เป็นความผิดครั้งแรก มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องตายในอีกไม่ช้า!”

เสี่ยวเฉินหวาดกลัวเมื่อได้ยินเช่นนี้ ในฐานะผู้บ่มเพาะพลัง ชายชราผู้นี้มีจิตสังหารที่รุนแรงมาก คำพูดของเขานั้นถูกต้องอีกด้วย นางไม่มีโอกาสรอดชีวิตในวันนี้เลย

เมื่อคิดได้ เสี่ยวเฉินเริ่มคิดถึงวิธีการแก้ค่ายกล เขาโบกมือและนางในค่ายกลจึงได้เห็นเขาในสภาพทุกข์ระทมในที่สุด

โอกาสของเขาาแล้ว! เขาพูดสุดเสียงที่สุดเท่าที่จะทำได้และตะโกนออกไป

“แม่นาง ฟังข้าก่อน! สวรรค์ คือ ☰ ดินคือ ☷ เพลิงคือ ☲ และวารีคือ ☵…”

คนตระกูลเสี่ยวเบื้องล่างนั้นได้แต่งุนงง

“เจ้านั่นพูดอะไรกัน? มันกำลังสอนให้เซียนต่อสู้รึ? เจ้านั่นมันบ้าไปแล้ว!”

ในตอนนั้น ชายชราชุดสีครามมองเขาด้วยความเย็นชา จากนั้นเขาจึงพัดในมือให้เมฆกระจายออกไปพร้อมกับพลังไร้เทียมทานที่ซัดลงมา

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนนับไม่ถ้วน ร่างหนึ่งได้บินไปที่ยอดเขาและหายตัวไป จากนั้นยอดเขาก็ได้ถูกซัดสลายไปพร้อมกับแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง

เมื่อเหล่าคนตระกูลเสี่ยวตั้งสติได้ เสี่ยวเฉินก็อยู่ที่ศาลาสายรุ้งแล้ว ชายชราในชุดสีแดงอ่อนยืนข้างเขา ชายผู้นี้คือเสี่ยวจางเฟิงผู้เป็นปู่ของเสี่ยวเฉิน และเขายังเห็นผู้นำตระกูลเสี่ยวอีกด้วย ความสำเร็จในวิชายุทธของเขานั้นมากมายเหลือล้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด