ตอนที่แล้วนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 262 - ความแข็งแกร่งอันมหาศาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 264 - การไล่ล่า

นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 263 - ความยุ่งยาก


พลังในร่างกายของเขามันเหมือนกับน้ำที่ถูกขังเอาไว้ในเขื่อน เมื่อเปิดประตูน้ำเรียกมันออกมาใช้งาน เดวิดรู้สึกถึงความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันทะลักล้นออกมายิ่งกว่าคลื่นสึนามิ เขาแทบจะควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้ ต้นไม้ที่ขวางหน้าอยู่นั้นรับเคราะห์ไปจำนวนไม่น้อยทีเดียว

เดวิดต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการเดินทางไปกับการพยายามควบคุมการปลดปล่อยพลัง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีความสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เดวิดไม่คิดว่าเวลา 1-2 อาทิตย์จะเพียงพอสำหรับการปรับร่างกายและความรู้สึกให้คุ้นเคยกับพลังขนาดนี้ได้ แต่เมื่อเขาคุ้นเคยกับมันแล้ว ความคิดบ้า ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที

มันจะเป็นอย่างไรถ้าเขาเสริมพลังให้กับร่างกาย จะเป็นอย่างไรถ้าเขาเสริมพลังไปอีก 1 ชั้น หรือแม้แต่ 2 ชั้น ความแข็งแกร่งจะเพิ่มมากขึ้นอีกขนาดไหน? ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไร หรือว่ามีใครขวางทางเขาได้อีกแล้วเลยใช่หรือไม่?

ถึงแม้ว่าความรู้สึกจะเตือนว่าอย่างโลภจนเกินไป เขาเพิ่งจะทำความคุ้นเคยกับระดับพลังใหม่ของตัวเองได้ มันไม่ควรที่จะรีบร้อนทดลองอะไรที่เกินตัว แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีมากกว่า เดวิดให้สัญญาตัวเองว่าจะลองแค่ระดับเสริมพลัง 1 ชั้นเท่านั้น ไม่สิ! ไม่เกินการเสริมพลัง 2 ชั้นเท่านั้น!!

เขาเริ่มเพิ่มความเร็วของการสูบฉีดเลือดในร่างกายทันทีที่ตัดสินใจได้ และกระตุ้นใช้ทักษะท่าเท้า 3 ชั้นเพื่อเสริมพลังให้กับร่างกายเล็กน้อยทันที สมาธิมุ่งมั่นเตรียมรับมือกับพลังอันมหาศาลที่จะเกิดขึ้น

ไม่มี! ไม่มีพลังอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เดวิดขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ไม่ได้ผลอย่างนั้นหรือ?” เขาตั้งใจกระตุ้นทักษะอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากคิ้วที่ขมวดติดกันแน่นแล้วเท่านั้น

เดวิดไม่คิดว่าตัวเองจะกระตุ้นกล้ามเนื้อและหมุนเวียนเลือดผิดพลาดเลย ทักษะเสริมพลังเป็นสิ่งที่เขาฝึกฝนและใช้งานอยู่เป็นประจำ มันไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน

สมาธิของเขาหันมามุ่งเน้นอยู่ที่การกระตุ้นทักษะแทนแล้วในตอนนี้ เดวิดค่อย ๆ ชักนำการหมุนเวียนเลือดให้ไหลวนเข้าไปในจุดที่ต้องการด้วยปริมาณและความเร็วที่แม่นยำ กล้ามเนื้อสั่นตัวผสานกับจังหวะการไหลเวียนของเลือดด้วยความถี่ที่จำเพาะเจาะจง คราวนี้เขาพุ่งสมาธิไปที่กล้ามเนื้อขาโดยตรงเลยด้วยซ้ำ แต่การกระทืบเท้าลงไปที่พื้นอย่างแรง ไม่ได้ผลอะไรที่แตกต่างกันออกมาเลย

มันยังไม่ได้ผล การสั่นไหวของกล้ามเนื้อตามทักษะท่าเท้า 3 ชั้นไม่สามารถสร้างพลังงานอะไรออกมาได้เลย นี่ต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่นอน ร่างกายของเขามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นหรือ? ไม่มาทางที่วิธีการจะผิด แล้วทำไมทักษะนี้ถึงไร้ประสิทธิภาพไป?

นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว! เดวิดได้แต่ส่ายหน้าด้วยความสับสน “ให้ตายสิ! คงต้องรีบกลับไปที่สถาบันให้เร็วที่สุดแล้ว เรื่องนี้ต้องรีบหาสาเหตุให้ได้” หลังจากนั้น เขาก็เปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นควบคุมพลังให้เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ

ดูเหมือนว่าสายตาของเดวิดจะปรับตัวให้เข้ากับความเร็วใหม่ได้แล้ว แม้กระทั่งในตอนที่เขาใช้ความเร็วสูงสุด ภาพที่ปรากฏในสายตาไม่มีอาการพร่าเลือนอีกต่อไป และในตอนนี้ เดวิดสามารถควบคุมความเร็วได้ดั่งใจมากขึ้น มันใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์เข้าไปทุกที

มันเป็นการเดินทางที่ใช้ระยะเวลายาวนานกว่าที่คิด แต่ในที่สุดเดวิดก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขากลับมาถึงจุดที่ทิ้งกระเป๋าเป้เอาไว้ได้เสียที และมันยังคงวางนิ่งสงบอยู่ที่พื้น ไม่มีคนหรือว่าสัตว์ตัวไหนมายุ่มย่ามกับมันเลย

หลังจากสะพายเป้เข้ากับแผ่นหลังของตัวเองแล้ว สายตาของเดวิดก็ไพล่มองไปยังร่างอันไร้วิญญาณที่แห้งกรังของนักเรียนปี 3 อย่างครุ่นคิด เขาเกิดความรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจหาของมีค่าที่อาจมีอยู่ในศพนั้นในที่สุด

ชายคนนี้อาจจะมีผู้สนับสนุนที่ทรงพลังอยู่เบื้องหลัง ศาสตราจารย์หรือตระกูลใหญ่อะไรสักแห่ง แล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องยุ่งยากที่เขามีอยู่ในตอนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว แค่เพิ่มไปอีกเรื่องเดียว มันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของท่านอาจารย์สุดที่รักของเขาหรอก เดวิดกลอกตาเมื่อนึกถึงตาแก่ผมขาวนั่นขึ้นมาได้

มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างชำนิชำนาญ และเลือกหยิบขวดเซรั่มที่ไม่ใหญ่มานักออกมาดู บนฉลากนั่นเขียนระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ‘ปีกของจระเข้เกล็ดเพลิง’ นี่น่าจะเป็นเซรั่มสำหรับการตัดต่อยีนเข้าไปในร่างกาย

ดูเหมือนว่าชายคนนี้เตรียมพร้อมสำหรับการผสานยีนที่ 4 เข้าสู่ร่างกายเอาไว้แล้ว เมื่อเฟสเซอร์ผสานกับยีนที่ตัดแต่งเข้าไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาก็เพียงแค่ต้องรอเวลาให้เซลล์ทั้งหมดในร่างกายปรับตัวให้คุ้นเคยกับความสามารถใหม่อีกระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้ว การใช้เซรั่มเพื่อชักนำยีนต่อไปเข้าสู่ร่างกายก็จะถือเป็นขั้นตอนตามปกติเท่านั้น

สิ่งที่จะเป็นตัวระบุว่าเฟสเซอร์แต่ละคนสามารถตัดแต่งยีนเข้าไปได้จำนวนมากน้อยแค่ไหน ถูกนักพันธุศาสตร์ในโลกใบนี้เรียกว่า ‘โครงข่ายดีเอ็นเอ’ ถ้าจะให้กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงก็คือ ลำดับเบสที่ไม่แสดงผลในเส้นสายดีเอ็นเอที่อยู่ในโครงข่ายดีเอ็นเอนั้น ว่าจะมีที่ว่างในการรองรับการปรับเปลี่ยนได้มากน้อยเพียงใด

ถ้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ มนุษย์ธรรมดาโดยทั่วไป จะมีลำดับเบสที่ไม่แสดงผลกระจายตัวกันอยู่ แต่ละจุดจะไม่ยาวมากนัก พวกเขาจะมีช่วงเบสที่ใช้ดัดแปลงพันธุกรรมได้เพียง 10-20 จุดเท่านั้น หรือเรียกว่ามีศักยภาพทางพันธุกรรม 10-20 หน่วย

และการตัดแต่งทางพันธุกรรมแบบพื้นฐานที่สุดอย่างการปรับเปลี่ยนสีตา จะต้องใช้ช่วงเบสที่ยาวติดต่อกัน 2-5 จุด หรือต้องใช้ศักยภาพทางพันธุกรรมไป 2-5 หน่วยแล้ว นั่นทำให้คนธรรมดาไม่สามารถตัดแต่งพันธุกรรมอะไรได้มากนัก ไม่รวมถึงข้อจำกัดที่ว่า ลักษณะทางพันธุกรรมที่จะตัดแต่ง ต้องเป็นลักษณะที่ปรากฏอยู่ในยีนของมนุษย์ทั่วไปเท่านั้นด้วย

การกระตุ้นศักยภาพทางพันธุกรรมขึ้นมาเป็นสไปรเยอร์ โดยพื้นฐานแล้วคือการขยายโครงข่ายดีเอ็นเอให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เส้นสายของดีเอ็นเอจะมีความยาวมากขึ้น ลำดับเบสที่ไม่แสดงผลก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ มันทำให้ศักยภาพทางพันธุกรรมไม่เพียงแต่จะรองรับการตัดแต่งได้มากขึ้น ยังสามารถรองรับลำดับเบสของยีนจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้อีกด้วย รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับชิ้นส่วนจีโนมที่ถูกปลูกถ่ายเข้าไป และโดยส่วนใหญ่ ศักยภาพของพันธุกรรมที่เพิ่มขึ้น จะถูกใช้ไปในการปรับตัวนั่นเสียด้วย ทำให้สไปรเยอร์ต้องฝึกฝนเพื่อเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดให้เพิ่มสูงขึ้น เพราะมันจะเป็นการขยายโครงข่ายดีเอ็นเอได้อีกทางหนึ่ง

ตามปกติแล้ว สไปรเยอร์ที่มีอัตราการหมุนเวียนเลือด 100 รอบต่อนาที จะขยายโครงข่ายดีเอ็นเอจนมีศักยภาพทางพันธุกรรมประมาณ 500 หน่วย ในขณะที่ยีนของสิ่งมีชีวิตอื่นต้องการพื้นที่ประมาณ 70-100 หน่วยในการผสานเข้ากับร่างกาย และนี่หมายถึงยีนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีพันธุกรรมที่ซับซ้อนมากเท่านั้น

สิ่งนี้กลายเป็นข้อจำกัด ที่ทำให้ผู้ที่ยกระดับตัวเองเป็นเฟสเซอร์ด้วยอัตราการหมุนเวียนเลือดในระดับ 100 รอบต่อนาที เลือกที่จะไม่ตัดแต่งยีนจากสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจนครบชุด และยกระดับตัวเองขึ้นไปเป็นจ้าวแห่งสัตว์ร้าย เพราะพวกเขาจะกลายเป็นได้แค่กระต่าย 2 หาง หรืออย่างดีหน่อยก็แค่ฉลามบกเท่านั้น ศักยภาพทางพันธุกรรมของพวกเขาไม่มีที่พอสำหรับจะตัดแต่งพันธุกรรมที่ซับซ้อนกว่านั้นเข้าไป 4-5 ยีนจนครบชุดได้ พวกเขาจึงเลือกที่จะเพิ่มความสามารถในการอยู่รอด โดยคงระดับเป็นเฟสเซอร์ต่อไปมากกว่า

“นี่มันของดี” เมื่อรู้ว่าเป็นเซรั่มอะไร ตาของเดวิดก็เป็นประกาย และรีบยัดขวดเซรั่มลงในกระเป๋าของตัวเองทันที นี่ไม่ใช่ยีนระดับพื้นฐานโดยทั่วไป เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระดับมันสูงแค่ไหน แต่มูลค่าคงจะไม่ต่ำอย่างแน่นอน

หลังจากนั้น เดวิดก็ค้นเจอกับลูกดอกระเบิดจำนวนมาก พร้อมกับกระดุมที่ดูเหมือนจะเป็นม่านพลังป้องกันอีกหลายเม็ด แน่นอน! เขาเก็บมันใส่กระเป๋าอย่างไม่ลังเล แต่นอกจากของพวกนี้แล้ว มันไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีกเลย

เมื่อจัดการ ‘ลอกคราบ’ ศพจนเสร็จสิ้น เดวิดก็หันมาเช็คเวลาและกำหนดการของเรือเหาะอีกครั้ง เขาต้องจองเรือเหาะลำใหม่เพื่อเดินทางกลับไปที่สถาบัน แต่เมื่อเห็นตารางเวลา สีหน้าของเดวิดก็ตกอยู่ในอาการครุ่นคิด เรือเหาะลำที่เร็วที่สุดคือ 6 โมงเช้าของวันพรุ่งนี้ และเขาไม่กล้าที่จะรออยู่ในป่าแห่งนี้ทั้งคืนแน่ เข้าเมืองก่อน! เดวิดตัดสินใจได้ในที่สุด

................

“หนุ่มน้อย! รอเดี๋ยวก่อน” ที่หน้าประตูเมือง แม้ว่าจะเป็นยามค่ำคืนแล้ว ยังมีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล และเป็นผู้หญิงที่อายุไม่น่าจะเกิน 40 ปี เอ่ยปากเรียกเดวิดเอาไว้

ซึ่งเขาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว และตอบกลับไปอย่างสุภาพ “มีอะไรครับ”

“เธอเพิ่งออกมาจากป่าแบล็คดอร์มใช่มั้ย?” คำถามนั้นตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม

“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียวครับ ผมไม่กล้าเข้าไปในป่าคนเดียว เลยอาศัยไปกับพวกนายพรานกลุ่มหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าผมไร้ประโยชน์ แล้วไล่ให้ผมกลับเข้าเมืองมาก่อนที่จะได้เข้าป่าครับ” เดวิดสร้างเรื่องได้อย่างลื่นไหล ไหล่ของเขายักขึ้นเบา ๆ ด้วยท่าทางหงุดหงิด

“อ้อ! อย่างนั้นหรือ? แล้วตอนที่เธออยู่ที่ชายป่า เห็นว่ามีเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นบ้างมั้ย?” ผู้หญิงคนนั้นถามต่อออกมาอีก

คราวนี้เดวิดเกาหัว “เท่าที่จำได้ไม่มีนะครับ ป่าก็ยังเป็นป่าเหมือนเดิม มันจะเกิดอะไรที่อันตรายขึ้นอย่างนั้นหรือครับ? ผมจะได้รีบไปตามพวกนั้นกลับมา” เขาถามกลับด้วยท่าทางที่เป็นกังวล ดวงตานั้นแสดงถึงความห่วงใยในความปลอดภัยของกลุ่มนายพรานที่ไม่มีตัวตนอย่างเต็มที่

“ไม่! ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็ถามไปอย่างนั้นเอง” เธอตอบปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็ว

เดวิดได้ยินดังนั้นก็ยักไหล่อีกครั้ง ก่อนจะขอตัวเดินเข้าเมืองไปอย่างไม่เร่งร้อนนัก

แต่ถ้ามีใครมองที่หน้าผากของเขาอย่างสังเกต จะพบว่าเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจำนวนมา ถ้าไม่ใช่เป็นเวลากลางคืน และเขามีสีหน้าที่ซีดกว่าปกติอยู่แล้ว ชายหญิงคู่นั้นน่าจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน

“สงสัยเราต้องเข้าไปค้นหาในป่าด้วยตัวเองแล้วล่ะ มาดักหาข้อมูลอย่างนี้ไม่น่าจะได้ประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย” เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเป็นเชิงปรึกษา

“เจ้าหนุ่มนั่น ฉันได้กลิ่นเลือดออกมาจากตัวเขา” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เขาเป็นนายพราน จะมีกลิ่นเลือดบ้างคงไม่ใช่เรื่องแปลกล่ะมั้ง”

“ฉันรู้ แต่กลิ่นมันน่าคุ้นเคยเกินไป ฉันไม่แน่ใจว่าเคยได้กลิ่นมาจากไหน?” เขาหันมองตามหลังเดวิดเข้าไป ก่อนจะพบว่าคนหายลับตาไปแล้ว

“ช่างมันเถอะ! พวกเราเข้าไปคนหากันเลยดีกว่า ฉันไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่เมืองนี้นานนัก” โดยไม่รอให้ฝ่ายชายตอบกลับ ปีกขนาดยาว 3 เมตรคู่หนึ่งก็ถูกกางออกมาจากหลังของเธอ และบินตรงไปทางป่าแบล็คดอร์มทันที

ฝ่ายชายได้แต่ส่ายหน้า ก่อนที่ขาของเขาจะงอผิดรูปจนกลายเป็นเหมือนกับขาของม้าที่แข็งแรง และเริ่มออกวิ่งตามไปในทิศทางเดียวกัน

......

เดวิดกลับมาถึงโรงแรม และเข้ามานั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องพักเรียบร้อยแล้ว ชายหญิงคู่ที่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง? พวกเขาน่าจะมาตามหานักเรียนกลุ่มนั้นแน่ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก และถ้าจะให้พูดอย่างจำเพาะเจาะจง พวกเขาน่าจะมาตามหานักเรียนปี 3 ที่มีผมสีน้ำทะเลคนนั้นแน่

คิ้วของเดวิดขมวดติดกันแน่น เรื่องยุ่งยากเข้ามาถึงตัวเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ และดูเหมือนว่ามันจะสลัดให้หลุดได้ยากเย็นเสียด้วย ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในสถาบัน เลิกคิดเรื่องขอความช่วยเหลือไปได้เลย แล้วควรจะทำอย่างไรดี

วัดจากกลิ่นอายที่คนทั้ง 2 ปล่อยออกมา เดวิดไม่คิดว่าตัวเองจะมีทางรอดเลย ถ้าพวกเขารู้ว่าเดวิดเป็นคนสังหารเด็กหนุ่มคนนั้น!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด