ตอนที่แล้วนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 261 - ภัยคุกคามใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปนักรบพันธุ์ผสม บทที่ 263 - ความยุ่งยาก

นักรบพันธุ์ผสม บทที่ 262 - ความแข็งแกร่งอันมหาศาล


“ค-คุณชายสี่! ส-สัญญาณชีพของคุณชายสี่ ด-ดับลงแล้ว เมื่อสักครู่นี่เอง!!”

คำพูดนี้ทำให้ทั้งห้องนั้นเงียบงัน ก่อนที่กลิ่นอายอันโกรธเกรี้ยวกดดันจะถูกปลดปล่อยออกมาราวกับคลื่นยักษ์ที่ถั่งโถม เหล่าผู้อาวุโสรีบหันหน้ามามองทางผู้นำตระกูลอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับเกร็งพลังต้านทานแรงกดดันที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ

แต่นั่นไม่ใช่กับลูกศิษย์ผู้โชคร้ายเลย ทันทีที่เงาร่างจาง ๆ ของมังกรคำรามปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหลังของผู้นำตระกูล ร่างของเขาก็ถูกกดจนต้องทรุดหมอบลงไปกับพื้น แต่เขายังโชคดี ผู้นำตระกูลที่เห็นสายตาของผู้อาวุโสทั้งหมดจ้องมองมาหาตัวเองอย่างเป็นตาเดียว ระงับโทสะของตัวเองได้ในพริบตาเช่นกัน

หลังจากที่ทรุดตัวลงนั่งกลับไปบนเก้าอี้ตัวใหญ่อีกครั้ง น้ำเสียงอันราบเรียบก็ดังขึ้น “ลุกขึ้น อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาให้ละเอียดเดียวนี้” การควบคุมอารมณ์ของเขานั้นสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล การตายของลูกชายคนโปรด ไม่สามารถทำให้ความสามารถในการตัดสินใจลดลงเลย

“ผ-ผมเป็นเวรทำหน้าที่ดูแลห้องสัญญาณชีพ มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าสัญญาณชีพของ ค-คุณชายสี่ขาดหายไป ต-ตำแหน่งคือป่าแบล็คดอร์ม ที่อยู่ข้าง ๆ เมืองซีดอร์มครับ” ต้องรอเวลาอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว กว่าที่ลูกศิษย์คนนั้นจะกล่าวรายงานออกมาได้จบ

“นี่ไม่ใช่ฝีมือของคนในเมืองเล็ก ๆ นั่นแน่ ให้ตายเถอะ! เหมือนพวกเราจะส่งเนื้อเข้าปากเสือไปชัด ๆ ดูเหมือนการไม่ส่งผู้อาวุโสไปดูแลเพื่อไม่ให้กระตุ้นความสนใจของตระกูลอื่นจะกลายเป็นดาบมาทิ่มแทงพวกเราแทนแล้ว นี่ต้องเป็นฝีมือของพวกที่รู้ข่าวเรื่องแก่นราตรีแน่ ๆ” ผู้อาวุโสสองพึมพำเสียงดังออกมา

และก่อนที่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะได้กล่าวข้อคาดคะเนของตัวเองออกมาบ้าง เสียงอันราบเรียบเย็นชาก็ขัดขึ้นมาอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสสี่ รบกวนพวกท่านทั้งสองคนเดินทางสอบสวนที่นั่นด้วยตัวเองด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องนำศพของลูกชายข้ากลับมาให้ได้ และถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของตระกูลอื่น พวกเราจะทำสงครามอย่างไม่ยกเว้นว่าเป็นตระกูลไหน มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะปล่อยให้แก่นราตรีตกอยู่ในการครอบครองของตระกูลอื่น แต่ถ้าไม่ใช่ ถ้าเจ้าฆาตกรชั่วนั่นไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลอะไร ก็นำหัวของมันกลับมาให้ข้าด้วย”

“รับทราบ!”

.......................

เสียงครวญครางดังออกมาจากปากอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั่วทั้งร่างกายนั้นมีแต่ความปวดร้าว กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือแม้แต่กระดูกส่งสัญญาณความเจ็บปวดออกมาทันทีที่มันถูกขยับ เดวิดคิดว่าตัวเองถูกฝังอยู่ในดินเสียด้วยซ้ำ เขาแทบจะขยับตัวไม่ได้ กล้ามเนื้อในร่างกายนั้นติดขัดไปหมด

“อา! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” มือทั้ง 2 ข้างเริ่มไขว่าคว้าไปอย่างสะเปะสะปะ รับรู้สถานการณ์ได้แล้วว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น ไม่ได้ถูกฝังอยู่ในดินอย่างที่คิดเอาไว้

เดวิดค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นยามค่ำคืน แต่เขากลับสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ราวกับเป็นตอนกลางวัน โดยไม่ได้กระตุ้นใช้ทักษะพิเศษการมองเห็นในความมืดเลยแม้แต่นิดเดียว อันที่จริง สภาพของเดวิดในตอนนี้ทำให้ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าภาพที่ตัวเองเห็นนั้นชัดเจนยิ่งกว่าตอนกลางวันเสียอีก สายตาของเขาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

ด้วยการกัดฟันเพื่อข่มความเจ็บปวด เดวิดยันตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่านั่งได้ในที่สุด ในใจกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าตัวเองไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อราวกับวิ่งมาราธอนรวดเดียว 2 รอบอย่างนี้ เขาไม่เห็นจะจำได้เลยว่าทำแบบนั้นด้วย

ก่อนหน้านี้? สีหน้าของเดวิดซีดเผือด ความทรงจำวาบขึ้นมาในหัว สองมือลูบคลำสำรวจที่หน้าอกของตัวเองตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อก้มลงมาดูแล้วไม่เห็นร่องรอยบาดแผล คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดแน่นเข้าไปอีก เปลวเพลิง? มีดปักเข้าที่หน้าอก? เกิดอะไรขึ้น? เดวิดสับสนไปหมดแล้ว

“ทำไมฉันถึงยังไม่ตาย? แล้วแผลหายไปไหน?” เขาหลุดพึมพำออกมา เดวิดไม่สงสัยในความทรงจำของตัวเอง เหตุการณ์ที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นความจริงอย่างแน่นอน

เมื่อก้มลงสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง สีหน้าของเขายิ่งกลายเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ ทั่วทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่ไม่มีบาดแผล ผิวหนังทุกส่วนสมบูรณ์เหมือนเดิม ยกเว้นแต่ความรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีสีซีดลงกว่าปกติแล้ว ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมเลย ไม่ใช่แค่แผลจากมีดแทงเท่านั้นที่หายไป แผลไฟไหม้ก็ได้รับการฟื้นฟูหมดทั้งตัวแล้ว

หางตาของเดวิดสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาฝืนทนความเจ็บปวดเพื่อลุกขึ้นยืน หลังจากพยายามบิดยืดร่างกายอย่างต่อเนื่อง เดวิดก็สามารถขยับเดินไปข้างหน้าได้แล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นการคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าอาการเจ็บปวดนั้นค่อย ๆ ทุเลาลง ในแต่ละก้าวที่เดินออกไป อาการร้าวกล้ามเนื้อนั้นลดลงเรื่อย ๆ

ไม่ถึง 10 ก้าวจากจุดที่เดวิดเคยนอนหมดสติ มันมีร่างไร้อันไร้วิญญาณนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาขยับเข้ามาเพื่อตรวจสอบว่านี่คือศพของใคร และใช้เวลาไปพอสมควรกว่าที่จะจำได้ว่านี้เป็น 1 ในนักเรียนปี 2 กลุ่มนั้น ร่างของเขานั้นซูบซีดแห้งเหี่ยวราวกับเป็นมัมมี่ เหมือนว่าน้ำในร่างกายถูกสูบออกไปจนหมด มันทำให้หน้าตานั่นเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย แต่เดวิดมั่นใจว่าเขาจะได้ไม่ผิดตัว

และจากสภาพศพที่เห็น เดวิดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง เฟสเซอร์คนหนึ่งนอนตายอย่างไร้บาดแผลด้วยสภาพที่แห้งกรัง ตัวต้นเหตุจะเป็นอะไรกันแน่?

“เฮเซล! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันรอดมาได้ยังไง?” พยานปากเดียวที่เดวิดคิดออกตอนนี้คือ AI ประจำตัวของตน เขารีบเอ่ยถามออกมาทันทีที่นึกได้

“โอ้! เดวิด! ในที่สุดนายก็เป็นเดวิดเสียที เยี่ยมมาก!” เสียงที่ดังขึ้นมานั่นบ่งบอกถึงความโล่งอก ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เฮเซลจะเป็นกังวลไม่น้อยเลยทีเดียว

“หือ? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเธอถึงได้พูดแบบนั้น?” เดวิดถามออกมาอย่างสับสน คำตอบของเธอนั้นแปลก ๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่เดวิดหรือ?

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันอยู่นอกเหนือความรู้ของฉัน แต่เท่าที่เข้าใจ นายเปลี่ยนตัวเองไปเป็นสัตว์ประหลาดกระหายเลือด ตามไล่ฆ่าไล่ดูดเลือดนักเรียนกลุ่มนั้นจนตายไปทุกคน ก็เหมือนกับศพที่นายเห็นอยู่นี่แหละ ทุกคนถูกดูดเลือดจนแห้งไปทั้งตัว ตอนนั้นนายน่ากลัวมาก” เสียงของเฮเซลเริ่มกลับมาราบเรียบไร้อารมณ์อีกครั้ง

สมองของเดวิดเริ่มคิดตามคำตอบของเธออย่างรวดเร็ว ตามล่า? ไล่ดูดเลือด? ชิ้นส่วนความทรงจำค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัว ดูดเลือด? ความตาย? หรือว่า!

“แวมไพร์!” เดวิดพึมพำออกมาเบา ๆ

ข้อสรุปเดียวที่คิดออกในตอนนี้ เขากลายเป็นแวมไพร์ไปแล้ว! ทักษะการฝึกฝนร่วมผสานได้ผล แม้ว่าจะฝึกฝนได้สำเร็จเพียงแค่ขั้นแรก แต่เมื่ออยู่ในเงื่อนไขที่เหมาะสม ความสามารถของแวมไพร์ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว เดวิดรีบสำรวจร่างกายของตัวเองอีกครั้งทันที

นอกจากความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่าฟันและลิ้นในปากของตัวเองเปลี่ยนไป เขาสังเกตได้แล้วว่าสายตาของตัวเองแจ่มใส มองผ่านความมืดได้อย่างชัดเจน ระยะการมองเห็นนั้นไกลอย่างน่าเหลือเชื่อ เช่นเดียวกันกับประสาทในการได้ยินที่พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้แต่เสียงแมลงเคลื่อนไหวเบา ๆ เขาก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

นี่ทำให้รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้า เดวิดเริ่มคิดถึงร่างมนุษย์หมาป่าแล้ว ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เงื่อนไขอะไรบ้างถึงจะกระตุ้นความสามารถของมนุษย์หมาป่าให้ตื่นขึ้นได้

เขาพยายามใช้ความคิดให้หนักขึ้น พยายามนึกให้ออกว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร ตัวกระตุ้นที่แท้จริงคืออะไรกันแน่ ถ้านำมันมาเปรียบเทียบกับตำนานในโลกเก่าของตัวเอง เดวิดคิดว่ามันอาจช่วยให้คิดหาวิธีกระตุ้นร่างหมาป่าออกก็ได้

‘ความตาย! เลือดที่ทรงพลังของผู้ฝึกฝน! ไม่ใช่! นั่นมาทีหลัง ก่อนหน้านั้น? เลือดกระเด็นเข้าปาก? หือ? ฉันกินเลือดเข้าไปก่อนตายเหรอ? โชคจะดีเกินไปมั้ยเนี่ย?’

“นายรีบออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า กลิ่นเลือดของเฟสเซอร์ตลบอบอวลไปทั่วป่าแล้ว นายคงไม่อยากจะอยู่เจอสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตอนนี้แน่”

เสียงของเฮเซลปลุกเดวิดให้หลุดออกจากห้วงความคิด เขาเห็นด้วยกับคำแนะนำนี้ทันที เดวิดไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่ทรงพลังจำนวนเท่าไรกำลังมุ่งมาทางนี้ เขาควรจะรีบออกไปให้พ้นบริเวณป่าให้เร็วที่สุด แต่เหนือสิ่งอื่นใด ต้องตามหากระเป๋าเป้กลับมาก่อน!

“ให้ตายสิ! แล้วจะหาเจอได้ยังไงกัน ตอนนี้อยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย” เดวิดสบถออกมา ก่อนจะนึกได้

“เฮเซล! เธอนำทางฉันกลับไปยังจุดที่ทิ้งกระเป๋าเอาไว้ได้มั้ย?” มันเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้ว

“ได้! มุ่งหน้าไปตามลูกศรนำทางนี่ก็แล้วกัน” ทันทีที่เธอกล่าวจบ ภาพโฮโลแกรมรูปลูกศรสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นมาบนข้อมือซ้ายอย่างทันควัน

“อืม! ขอบใจ” เดวิดพึมพำตอบกลับไปด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

แต่เขาก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อกดเท้าลงกับพื้นเพื่อส่งตัวให้พุ่งไปข้างหน้า มันเกิดเสียงดังเลื่อนลั่นของพื้นดินที่แตกร้าวดังออกมา และร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ภาพที่ปรากฏต่อสายตานั้นกลายเป็นทิวทัศน์ที่เลือนลาง ก่อนที่ตัวจะกระแทกเข้ากับต้นไม้ขนาด 2 คนโอบอย่างเต็มแรง ต้นไม้โชคร้ายนั้นหักโค่นแตกกระจายไปในพริบตา ส่วนตัวของเดวิดก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนัก เขากลิ้งหลุน ๆ ไปกับพื้นอย่างหมดท่าเช่นกัน

หลังจากที่ลุกขึ้นมายืนเต็ม 2 เท้าได้อีกครั้ง เดวิดเอื้อมมือไปดึงเศษไม้ที่ปักคาอยู่ที่ต้นขาซ้ายของตัวเองออก เลือดพุ่งไหลออกมาเป็นสาย เขารีบหาเศษผ้ามาพันเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ก่อน ปากก็บ่นพึมพำออกมา “มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้กระตุ้นท่าเท้า 3 ชั้นเสียหน่อยนี่ ทำไมมันถึงพุ่งออกมาเร็วขนาดนี้?”

เดวิดหันมองไปด้านหลังอย่างสับสน “นี่มันเร็วพอ ๆ กับตอนเสริมพลัง 6 ชั้นเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรแม้แต่นิดเดียว” มีแค่ตอนที่เขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกินกว่าปกติ 6 เท่า สายตาของเดวิดถึงจะมองภาพรอบตัวไม่ชัดเจนแบบนี้ แต่คราวนี้เขาไม่ได้เพิ่มแม้แต่อัตราการหมุนเวียนเลือด แล้วความเร็วขนาดนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

“ฉันเห็นด้วย! ความเร็วของนายเมื่อสักครู่นี้เทียบเท่าได้กับการเสริมพลัง 6 ชั้นจริง ๆ แรงส่งฉับพลันอาจจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ” เสียงของเฮเซลดังขึ้นมายืนยันความคิดของเขา

“ฮ่าฮ่า! นี่แสดงว่าฉันแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วใช่มั้ย? ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อเดวิดทดสอบกำมือเกร็งพลังของตัวเองเสร็จ เขาก็เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะที่ดังก้องป่าออกมา พลังอันรุนแรงไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่หลังจากนั้นเดวิดก็ต้องขมวดคิ้ว กล้ามเนื้อมีอาการปวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะยังปรับสภาพให้เข้ากับพลังอันมหาศาลนี้ไม่ได้ โชคดีที่มันหายไปในเวลาไม่นานนัก

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เดวิดก็ค่อย ๆ กระโดดไปข้างหน้าแบบเบา ๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด