เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 23 อดีตของผู้นำตระกูลช่าง
เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 23 อดีตของผู้นำตระกูลช่าง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผีเร้นกาย?” เถาเหยาเย่ถามคำถามที่พ่อบ้านจางไม่รู้คำตอบ จนกระทั่งเขาเสียชีวิต
ลู่หยางทำความสะอาดส่วนที่เหลือของการต่อสู้และใช้ไม้กวาดกวาดขี้เถ้าของผีเร้นกายให้เป็นหย่อม เถาเหยาเย่ก็หยิบที่โกยผงออกมาอย่างมีสติและตักมันขึ้นมา
“มันง่ายมาก ลองคิดดูว่านกแก้วพูดอะไร ‘เจ้าเป็นใคร พ่อบ้านจางอยู่ที่ใด’”
“หลังจากที่เราพบกับช่างหยวน นางก็จงใจขับไล่เราออกจากตระกูลช่าง”
“นี่แสดงให้เห็นว่าพ่อบ้านจางไม่ใช่คนที่ตระกูลช่างรู้จักอีกต่อไป เขากลายเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่ง”
“มีความเป็นไปได้สามประการสำหรับการเปลี่ยนตัวตนของพ่อบ้านจาง”
“หนึ่งคือพ่อบ้านจางถูกพรากไปจากร่างของเขา แต่เหตุใดอสูรเฒ่าถึงได้เอาร่างของเขาไปอยู่ในตระกูลช่างเป็นเวลานาน หากเป็นข้า สิ่งแรกที่ข้าจะทำหลังจากนั้นคือการออกจากเมืองไท่ผิง และหาสถานที่ฮวงจุ้ยอันล้ำค่าเพื่อฝึกฝนต่อไป ยิ่งกว่านั้น พรสวรรค์ของพ่อบ้านจางไม่ได้ดีนัก การสิงร่างผู้นำตระกูลช่างย่อมดีกว่าเป็นไหน ๆ” ลู่หยางเปรียบเทียบความรู้สึกของเขา โดยการเอาตนเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้น
“ประการที่สองคือมีคนปลอมตัวเป็นพ่อบ้าน แต่นั่นไม่ถูกต้อง ตระกูลช่างไม่มีอะไรล้ำค่า แล้วทำไมต้องปลอมตัวทำเป็นพ่อบ้านด้วยหรือ? เขามีนิสัยชอบรับใช้ผู้อื่นหรือไม่? แม้ว่าตระกูลช่างจะมีของล้ำค่า แล้วเหตุใดเขาถึงไม่ปล้นไป เนื่องจากการมีตบะระดับก่อตั้งรากฐานขั้นปลายทำให้เขาสามารถเดินเล่นในเมืองไท่ผิงโดยไม่มีผู้ใดค้นพบได้”
“ความเป็นไปได้ประการที่สามคือเขาเป็นผีเร้นกาย สิ่งที่ผีเร้นกายชื่นชอบคือการรวบรวมผิวหนังมนุษย์, ปลอมตัวเป็นมนุษย์, ปฏิบัติตามนิสัยของผู้ที่ถูกปลอมตัว และอยู่ร่วมกับมนุษย์”
ผีเร้นกายคือผู้เป็นมนุษย์ในเมื่อตอนยังมีชีวิตและเป็นผีหลังจากประสบกับความตาย เป็นผู้บำเพ็ญผีประเภทหนึ่ง ผู้บำเพ็ญผีทุกประเภทส่วนใหญ่มีความผิดปกติทางจิตบางประการ
เช่น ผีเร้นกายหวาดกลัวการเปิดเผยตัวตนมากที่สุด พวกเขาจะพยายามโน้มน้าวใจว่าตนเองเป็นมนุษย์ พูดคำเดียวกันและทำสิ่งเดียวกับคนอื่น เมื่อเบื่อก็จะเปลี่ยนผิวหนังและเริ่มต้นตัวตนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่ลู่หยางพูดนั้นสมเหตุสมผล เถาเหยาเย่มองเขาด้วยความชื่นชม นางไม่เห็นเงาของศิษย์พี่ลู่ผู้หวาดกลัวความสูงบนเรือเหาะอีกต่อไป
นางเชี่ยวชาญความรู้ทั้งหมดที่ลู่หยางมี แต่นางไม่ได้ครุ่นคิดลึกเท่าลู่หยาง นี่เป็นเพราะช่องว่างในการคิดที่ละเอียดอ่อน
“เก็บขี้เถ้ากลับไป นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเราได้ทำภารกิจของเราสำเร็จแล้ว” ลู่หยางหยิบหม้อลายครามสีขาวออกมาแล้วใส่ขี้เถ้าผีเร้นกายลงไป
ผีเร้นกายเป็นส่วนเสริมของภารกิจและถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจ การฆ่าผีเร้นกายจะทำให้เขาได้รับรางวัลมากกว่าการค้นหานกแก้วอย่างแน่นอน
มีเสียงวิ่งออกไปนอกบ้านและหยุดเมื่อถึงประตูเหมือนกับว่าหลายคนตื่นจากการหลับไหล พวกเขาแห่มาทางประจิมทิศเพื่อตรวจสอบสถานการณ์แต่ไม่กล้าเข้าไปในบ้าน
การคาดเดาตัวตนของคนที่อยู่นอกประตูไม่ใช่เรื่องยาก ลู่หยางหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ผู้นำตระกูลช่าง เข้ามาสิ ข้าฆ่าผีเร้นกายแล้ว ที่นี่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก” เสียงไม้ดังกึกก้อง ประตูถูกเปิดออกโดยผู้นำตระกูลช่าง และนายหญิงช่าง แม่บ้าน และคนรับใช้ที่ยืนอยู่หลังเขารวมทั้งหมดสิบสองคน พวกเขาดูโล่งอกราวกับพบว่าตนเองรอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้
“ขอบคุณท่านเซียนทั้งสองที่สังหารผีเร้นกายและช่วยชีวิตสมาชิกทั้งสิบสองคนของตระกูลช่าง!” ผู้นำตระกูลช่างคุกเข่าลงและผู้คนที่อยู่ข้างหลังเขาก็คุกเข่าลงเช่นกัน
ผีเร้นกายเป็นตัวตนเจ้าอารมณ์ เมื่อเขาเบื่อหน่ายกับการเป็นพ่อบ้าน เขาจะฆ่าสมาชิกตระกูลช่าง!
“ผู้นำตระกูลช่าง การกำจัดอสูรกำราบมาร และการปกป้องสันติสุขคือสิ่งที่ข้าซึ่งเป็นศิษย์นิกายเหวินเต๋าควรทำ” ลู่หยางไม่เคยเห็นการกระทำเช่นนี้มาก่อน เขาตกใจและรีบช่วยเหลือพวกเขาทีละคน
“โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ท่านเซียนทั้งสอง ผีเร้นกายปรากฏขึ้นและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลักแหล่งไม่แน่นอน ข้าไม่รู้ว่าเขามาจากที่ใด”
“นับตั้งแต่ผีเร้นกายแกล้งทำเป็นพ่อบ้านจาง เราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากตระกูลช่าง แม้จะมีคนมาเยี่ยมเยียน พวกเราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่าเรื่องราวของเขา หากเขาจับได้ ตระกูลช่างทุกคนต้องสูญสิ้น!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ช่างหยวนก็ดูละอายใจเช่นกัน นางเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนกับทุกคน พฤติกรรมที่เย็นชาในตอนนั้นก็เพื่อให้ลู่หยางและอีกคนปลอดภัยจากอันตรายนี้
ผู้นำตระกูลช่างพูดต่อว่า “น่าเสียดายที่ข้าออกมาอยู่ชนบทและข้าวของสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรก็ถูกแลกเปลี่ยนเป็นทองคำ เงิน และเครื่องประดับ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่มีประโยชน์กับพวกท่าน ข้าไม่สามราถตอบแทนพวกท่านได้ ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านทั้งสองคนต้องการอะไร แม้ว่าตระกูลชางจะขายทรัพย์สินทั้งหมด มันก็ไม่สามารถตอบแทนพวกท่านได้” ผู้นำตระกูลช่างต้องการตอบแทนการช่วยชีวิตเขาอย่างจริงใจ
ในสายตาของศิษย์นิกายเหวินเต๋า เงินทั้งหมดของเขาเป็นเหมือนเศษเหล็กไร้ค่า
ทว่าลู่หยางมีสิ่งที่ต้องการ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยเผชิญกับวิกฤตความเป็นความตายขณะปล้นสุสาน ดังนั้นเจ้าจึงตัดสินใจวางมือและถอนตัวออกจากโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น?”
เถาเหยาเย่มองไปที่ผู้นำตระกูลช่างด้วยความสนใจ ปล้นสุสาน, วิกฤตชีวิตและความตาย, ความหวาดกลัวครั้งใหญ่, วางมือ, คำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องราวและอาจจะมีโอกาสที่ดี สิ่งที่นางชอบที่สุดคือการไปสำรวจสถานที่ลึกลับ
ลู่หยางไม่สนใจการสำรวจสถานที่ลึกลับมากเท่ากับเถาเหยาเย่ แต่เขาชอบฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
มุมปากของผู้นำตระกูลช่างกระตุก พูดตามตรง เขาไม่ต้องการนึกถึงอดีตอันน่าสยดสยองนั้น แต่เขาต้องตอบคำถามของผู้มีพระคุณ
เขาปลีกตัวออกจากทุกคน โดยเฉพาะช่างหยวนที่ทำตัวราวกับลูกแมวขี้สงสัย โดยปล่อยให้ลู่หยางและเถาเหยาเย่เดินตามมา
“ข้าหวังว่าท่านจะไม่มีเรื่องนี้กับผู้อื่น”
ลู่หยางและเถาเหยาเย่พยักหน้า
หลังจากที่ผู้นำตระกูลช่างเห็นเช่นนี้ เขาก็พูดถึงเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
“30 ปีที่แล้ว ข้า ช่างจงเทียนมีชื่อเสียงเล็กน้อยในโลกแห่งการปล้นสุสาน ข้าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฉาวโฉ่ ข้าถูกทุกคนเกลียดชัง” ผู้นำตระกูลช่างท้าวเอวท้าวเอวของเขา และหวนนึกถึงสมัยที่ยังรุ่งโรจน์
ลู่หยางและเถาเหยาเย่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมช่างจงเทียนจึงภูมิใจยิ่งนักเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ สหายของเขาเป็นโจรปล้นสุสาน ชื่อเสียงของช่างจงเทียนแสดงให้ว่าเขามีความสามารถที่สูงส่ง
“ข้าปล้นสุสานด้วยความรอบคอบเสมอ และไม่เคยสัมผัสสุสานใหญ่หรือสุสานโบราณ มีผีในสุสานใหญ่และมีเซียนในสุสานโบราณ พวกเรานักปล้นสุสานทุกคนรับรู้เรื่องนี้ดี” ผีที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ใช่ผีเร้นกาย แต่เป็นผู้บำเพ็ญผี
“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณนั้นยากจน ของมีค่าทั้งหมดก็มักจะมอบให้กับลูกหลานของพวกเขาไปหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่ามีสมบัติอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่แตะต้องหลุมศพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณ เนื่องจากมันไร้ค่า”
“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อตั้งรากฐานและระดับแก่นทองคำมีวาสนาเล็กน้อย หลังจากตายไปแล้ว พวกเขาจะแบ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่ให้ลูกหลาน และเหลือส่วนน้อยฝังไว้กับศพของพวกเขา ส่วนน้อยเหล่านี้เพียงพอสำหรับข้า แต่โชคไม่ดีนัก การเดินริมน้ำบ่อยครั้งแล้วรองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร ครานั้น ข้ากำลังขุดสุสาน และเมื่อขุดเสร็จข้าก็พบว่านี่คือสุสานผู้บำเพ็ญเพียรระดับแก่นทองคำและระดับก่อกำเนิด!”
“ตามกฎของนักปล้นสุสาน เราไม่สามารถขุดสุสานของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ แต่ในเวลานั้นข้ารู้สึกดีใจมาก ข้าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณ หากข้าต้องการหลบหนีจริง ๆ ความเร็วของข้าก็เร็วพอกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อตั้งฐานราก การขุดสุสานของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนี้เป็นเหมือนการถูกโชคล่นทับ”
"ข้าจึงจุดธูปให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่ตกตาย และเริ่มขุดหลุมศพผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด"