ตอนที่แล้วเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 17 รู้จักเซียนกระบี่ปฐพีหรือไม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 19 ร่างที่แท้จริงของอสูรนก

เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 18 อสูรนก


เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 18 อสูรนก

ลู่หยางล่วงรู้เกี่ยวกับโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนยังไม่ครอบคลุม ก่อนที่จะเข้าร่วมนิกายเหวินเต๋า ความรู้ทั้งหมดของเขามาจากนักเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยม หลังจากหนึ่งปีของการเข้าร่วมนิกายเหวินเต๋า ความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรของเขาก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจ แต่ไม่มีใครในตำราที่เขาอ่านเขียนเกี่ยวกับวิธีการลงจากเรือเหาะแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าใครจะเขียนเรื่องนี้ในตำรา?

ในแง่ของสามัญสำนึกเกี่ยวกับชีวิตในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว เขาไม่ได้มีสำมัญสำนึกเทียบเท่าเถาเหยาเย่ที่เติบโตมาในตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร

เขารู้แค่ว่าเรือเหาะเป็นอุตสาหกรรมของหอการค้าเงินตรา วิธีลงจากเรือคือการกระโดดลงจากเรือ ไม่ทราบวิธีการเฉพาะในการกระโดดลงจากเรือ

ทุกปี เรือเหาะสามารถนำความมั่งคั่งมหาศาลมาแก่หอกราค้า แต่นี่เป็นเพียงอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ไม่สำคัญของหอการค้าเงินตรา

หอการค้าเงินตราเป็นหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปจงหยาง ขุมอำนาจเบื้องหลังนั้นลึกลับและมีสมบัติหายากนับไม่ถ้วน ตราบใดที่มีหินวิญญาณเพียงพอก็ย่อมซื้อได้ตั้งแต่พระธาตุจากอาณาเขตพุทธ กระดูกศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนอสูร ผลไม้เซียน ฯลฯ ที่มีอยู่เฉพาะในตำนาน ทั้งยังสามารถซื้อสมบัติที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนได้

หากใครกล้าคิดไม่ซื่อต่อหอการค้าเงินตรา หรือโชคดีพอที่จะขโมยของบางอย่างจากหอการค้า ผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก็ถือเป็นคำเตือน

ตำนานเล่าว่ามี มีผู้บำเพ็ญเซียนที่ทรงอำนาจ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งจอมโจร เขาเชี่ยวชาญเรื่องมิติ ทำการแย่งมิติเก็บของจากผู้อื่นก็ราวกับหยิบของออกจากถุงก็มิปาน สำหรับเขาแล้วระยะทางเป็นเพียงตัวเลขไร้ความหมาย เขาสามารถข้ามภูเขาและแม่น้ำนับพันลี้ได้ในก้าวเดียว

เขายังได้อาวุธทรงอำนาจในช่วงกลียุคเช่นกัน

การขโมยสิ่งของนั้นมีหลักกราเช่นกัน แต่ไม่ใช่การขโมยสิ่งของจากหอการค้าเงินตรา

เดิมทีราชาแห่งจอมโจรปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษแห่งจอมโจร และไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับหอการค้าเงินตรา

เมื่อชื่อเสียงของเขาเติบโตขึ้น ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนก็ร่วมมือกันเพื่อตามล่าเขา แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ พวกเขาค่อย ๆ รู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่ทรงพลังผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงคนธรรมดา ๆ เขาเหนือกว่าบรรพบุรุษแห่งจอมโจร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎของบรรพบุรุษอย่างเข้มงวด

เขาประกาศอย่างหยิ่งผยองว่าเขาจะขโมยสมบัติของหอการค้าเงินตราในคืนหนึ่ง

ทุกคนในโลกคิดว่าราชาแห่งจอมโจรมีวิชาลับมิติ และทำการขโมยสมบัติไปอย่างเงียบ ๆ หรือราชาแห่งจอมโจรกำลังต่อสู้กับผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหอการค้า

แต่ในคืนนั้นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตั้งแต่นั้นมา ราชาแห่งจอมโจรก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ความลำบากใจของลู่หยางเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น และเมื่อถึงเวลากระโดดลงเรือ คนแปลกหน้าก็ไม่มีเวลาสนใจลู่หยางอีกต่อไป

ทุกคนกางร่มกระดาษ กระโดดลงจากเรือทีละคน

ลู่หยางและเถาเหยาเย่ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

บนท้องฟ้า มีคนแปลกหน้าหลายคนกางร่ม จากระยะไกล พวกเขาดูเหมือนเมล็ดงา แต่ลู่หยางนั้นแตกต่างออกไป เขาดึงเชือกที่อยู่ข้างหลัง และร่มชูชีพก็กางด้วยเสียงดัง "ปัง"

แม้จะอยู่ห่างไปไกลก็ยังมองเห็นได้แจ่มชัด

โดยปกติแล้วลู่หยางจะกังวลมากเมื่ออยู่ในที่สูงเช่นนี้

แต่ลู่หยางไม่มีกระจิตกระใจที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้

ช่างน่านอับอายยิ่งนัก

โชคดีที่ทุกคนมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกัน มีเพียงลู่หยางและเถาเหยาเย่เท่านั้นที่ไปที่เมืองไท่ผิง

ทันทีที่พวกเขามาถึงเมืองไท่ผิง ทั้งสองก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากจ้าวเมือง ซึ่งดูเหมือนจะรู้ว่าพวกเขาได้มาถึงแล้ว

"ในที่สุดท่านเซียนทั้งสองก็มาถึง วิธีการที่ท่านใช้กระโดดจากเรือเหาะช่างแปลกตายิ่งนัก"

ลู่หยางอ้าปาก แต่ท้ายที่สุดเขาไม่ได้ถามไถ่ว่าเหตุใดจึงรู้เมื่อพวกตนมาถึง

“ข้ามีนามว่าลู่หยาง และนางคือเถาเหยาเย่ เราทั้งคู่เป็นศิษย์นิกายเหวินเต๋า คำอธิบายของสัตวอสูรนกในภารกิจนั้นไม่ได้ละเอียดนัก ข้าหวังว่าจ้าวเมืองจะแจ้งให้เราทราบโดยละเอียด”

จ้าวเมืองได้เตรียมงานเลี้ยงรอพวกเขาเช่นกัน โดยปกติแล้วจะมีเซียนมากินดื่มสองมื้อ และต้องอาหารจานพิเศษให้ จากนั้นพูดคุยเกี่ยวกับภารกิจ

เขาไม่คิดว่าทั้งสองจะกระทำการอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม สมที่เป็นศิษย์ของนิกายเซียนจริง ๆ

เถาเหยาเย่มองไปที่จ้าวเมืองที่มีตบะระดับฝึกปราณขั้นปลาย เขาไม่ได้มีรากฐานที่ดีนัก ปราณวิญญาณของเขามีสิ่งเจือปนมากมาย และไม่มีความหวังที่จะบรรลุระดับก่อตั้งรากฐาน เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่น

เมื่อพูดถึงสัตว์อสูรนก จ้าวเมืองก็มีสีหน้าหดหู่ เมืองไท่ผิงไม่มีคนนอกมากนักและค่อนข้างโดดเดี่ยว ตอนนี้เหตุการณ์เกี่ยวกับสัตว์อสูรนกได้แพร่กระจายไปในบริเวณใกล้เคียง แม้แต่พ่อค้าก็ไม่กล้าที่จะย่างกรายเข้ามา

เขารายงานเรื่องนี้ไปยังมณฑลฉู่เหอ แต่มณฑลฉู่เหอก็ละเลย เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรนกไม่ได้ทำร้ายใคร อีกฝ่ายจึงบอกว่าเขาจะส่งคนไปที่เมืองไท่ผิงเมื่อพวกเขาเป็นว่าง

เรื่องนี้ผ่านมา 20 วันแล้ว

“ประมาณ 20 วันที่แล้ว ช่างตัดเสื้อเฟิงวิ่งไปยังกลางถนนพร้อมกับกรีดร้อง บอกว่ามีอสูรชั่วร้ายกินคนมาที่บ้านของเขา และมันก็ทรงพลังอย่างมาก”

“เพื่อนบ้านต่างตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ อสูรร้ายกินคนไม่ใช่เรื่องเล็ก มีผู้บำเพ็ญเพียรประมาณ 30 คนในเมืองไท่ผิง และในหมู่พวกเขา ข้ามีตบะสูงสุด ข้าเป็นจ้าวเมือง ดังนั้นช่างตัดเสื้อเฟิงจึงนำเพื่อนบ้านมาตามหาข้า”

“แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคืออสูรชั่วร้ายกินใคร ข้าจึงได้ถามช่างตัดเสื้อเฟิงว่าอสูรได้กินใครเข้าไป”

มีความแตกต่างกันอย่างมากในอันตรายระหว่างอสูรที่กินมนุษย์ กับอสูรที่ไม่ได้กินมนุษย์ มนุษย์เป็นวิญญาณของทุกสรรพสิ่ง และเกิดมาพร้อมกับจิตใจที่เปิดกว้าง หากกินไปคนแรก อสูรอาจยังไม่อิ่มใจ ทว่าคนที่สองสามต่อมาจะกลายเป็นหายนะ

“ช่างตัดเสื้อเฟิงบอกว่าไม่รู้ว่าอสูรชั่วร้ายกินใครไป แต่อสูรชั่วร้ายนั้นพูดได้ และต้องเป็นเพราะคนที่มันกินมันเข้าไปแน่แท้”

มีข่าวลือในหมู่ชาวบ้านว่าอสูรปีศาจสามารถพูดภาษามนุษย์และแปลงร่างกลายเป็นมนุษย์หลังจากกินคนไป แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเท็จ เผ่าพันธุ์อสูรจะฝึกฝนง่ายดายเพียงนี้ได้อย่างไร การพูดภาษามนุษย์จำเป็นต้องขัดเกลากระดูกแนวนอนในลำคอ อย่างน้อยก็ต้องบรรลุระดับฝึกปราณขั้นปลาย

“ช่างตัดเสื้อเฟิงบอกว่าอสูรชั่วร้ายตัวนี้มีสีสันสดใส ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นนกที่หลงอยู่ในป่า นกตัวนั้นนั่งอยู่ข้างหลังเขา และมองดูเขาเย็บเสื้อผ้า แล้วทันใดนั้นมันก็พูดออกมา ทำให้ช่างตัดเสื้อเฟิงตกใจและวิ่งออกจากร้าน”

“ข้าเห็นช่างตัดเสื้อเฟิงไม่สามารถบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ ได้ ข้าจึงขอให้พวกเขารออยู่ห่าง ๆ ข้าได้แอบย่องเข้าไป และเห็นอสูรนกตัวนั้น”

“ขนของอสูรนกนั้นมีสีสว่างเป็นประกาย มีลักษณะเด่นรอบดวงตาสีแดง ทำให้ดูเหมือนไม่ใช่นกธรรมดา นกธรรมดา ๆ จะมีสีหน้าโอ้อวดเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“อสูรนกอ้าปากถามข้าว่า ‘เจ้าเป็นใคร จางก้วนเจี๋ยอยู่ที่ไหน?’ น้ำเสียงดูเร่งรีบไม่น้อย”

"ในใจของข้าข้าไม่เข้าใจว่าจางก้วนเจี๋ย ผู้บำเพ็ญเพียรจากเมืองของเราที่มีตบะระดับฝึกปราณขั้นที่ 3 ขั้นกลางจะสามารถติดต่อกับอสูรเช่นนี้ได้อย่างไร"

"คราวนั้นข้าพยายามผ่อนคลายตัวเอง ข้าถามอย่างสุภาพว่า 'ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดราชาอสูรจึงตามหาจางก้วนเจี๋ย?' ”

“อสูรนกไม่ตอบแต่กระพือปีกหนีไปจากร้านตัดเสื้อ”

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อสูรนกก็โผบินไปทั่วเมืองไท่ผิง กินข้าวในทุ่งนา และพูดภาษามนุษย์ ไม่มีใครที่ไม่กลัวอสูร ทุกคนรู้สึกวิตกอยู่หลายวัน หวาดกลัวว่าอสูรนกจะดุร้าย และกลืนกินทุกคนไปในคำเดียว”

“เจ้าเคยต่อสู้กับอสูรนกบ้างหรือไม่ มันแข็งแกร่งแค่ไหน” ลู่หยางถาม

จ้าวเมืองส่ายหัว "อสูรนกอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา ข้าไม่สามารถเห็นตบะของอสูรนกได้ ซึ่งหมายความว่าอย่างน้อยก็มีตบะระดับฝึกปราณขั้นที่ 7 เหมือนข้า”

“ข้ากังวลเกี่ยวกับอสูรนกจะไปทำร้ายผู้อื่นเช่นกัน ข้าจึงต่อสู้อย่างหุนหันพลันแล่นทำให้มันโกรธเกรี้ยว”

ลู่หยางพยักหน้า การกระทำของจ้าวเมืองนั้นสมเหตุสมผลแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด