ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 2 รากวิญญาณเดียวดาย

เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 1 วันนี้เป็นวันดี


เซียนกระบี่นอกรีต ตอนที่ 1 วันนี้เป็นวันดี

(T/N: ‘ผู้บำเพ็ญเพียร(นักพรต)’, ‘ผู้บำเพ็ญเซียน(ผู้ฝึกเซียน)’)

วันที่ 2 เดือนจันทรคติที่ 2 ว่ากันว่าวันนี้เป็นวันดี เหมาะแก่การเดินทาง

ฝนตกปานกลางพร้อมเสียงชวนเฉอะแฉะ ส่งกลิ่นหอมของไอดินอบอวล ตกลงสู่ทะเลสาบ ทำให้เกิดระลอกคลื่น และตกลงบนขุนเขาที่ผู้คนสัญจรไปมา

“ใครบอกว่าวันนี้เป็นวันดี เหมาะแก่การเดินทาง ทั้งที่มันฝกตก?”ลู่หยางข้าบ่นอุบและเสียใจที่ไม่ได้เอาเสื้อคลุมกากมะพร้าวติดตัวมาด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางไกลอย่างไร้ประสบการณ์ ทว่าฝนก็ได้ตกกะทันหัน ทำให้เปียกโชกไปทั้งตัว รองเท้าของเขาเต็มไปด้วยโคลนตม และเขาต้องดึงเท้าออกจากแอ่งโคลนอย่างยากเย็น

มีเสียงดังมาจากด้านหลังทำให้เกิดลู่หยางความสนใจ

ลู่หยางบิดตัวมองไปและพบรถม้าที่มีเพียงม้า ไร้สารถี ม้าเฒ่าดูเหมือนจะล่วงรู้ทางเป็นอย่างดี ไม่มีใครคอยบังคับมัน

“น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก” ลู่หยางสรรเสริญอยู่ภายในใจ ม้าเฒ่ามีเกล็ดประปรายทั่วหน้าผาก เหมือนกับเกล็ดงู ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์อสูรบางชนิด

เขาแม้ว่าเขาจะไม่รู้คุณค่าของมัน แต่มันก็ต้องล้ำค่าอย่างแน่นอน

อย่างน้อยเขาไม่สามารถซื้อมันได้

“ไม่คิดว่าพี่ชายจะมีอารมณ์สุนทรีย์ เดินทางท่ามกลางสายฝน เหตุใดไม่มานั่งในรถม้าของข้าเล่า”

ในเสียงหัวเราะอันไพเราะของชายคนหนึ่งถูกส่งออกมาจากรถมา ลู่หยางยอมรับความมีน้ำใจของชายคนนั้น ว่าแล้วก็ดึงเท้าออกจากแอ่งโคลนแล้วรีบขึ้นไปรถม้า

“ข้าลู่หยางได้รบกวนพี่ชายแล้ว” ลู่หยางนั่งลงอย่างระมัดระวัง ในใจก็พะวงกลัวทำโคลนเปื้อนรถม้า

“เมิ่งจิ่งโจว” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มที่ไร้ความกังวล มองโลกในแง่ดี และร่าเริง ราวกับว่าเขาสามารถพูดคุยกับใครก็ได้

“พี่ลู่ต้องการไปทดสอบที่นิกายเหวินเต๋าด้วยหรือไม่?”

“ข้าคิดว่าโชคชะตากำลังเรียกหาข้าจากที่นั่น”

เมิ่งจิ่งโจว “ฮ่าฮ่า พี่ลู่ พูดตามตรง หากโชคชะตาเรียกหาเจ้าจริง ๆ เจ้าคงไม่เดินฝ่าสายฝนไปที่นิกายเหวินเต๋ากระมัง”

ลู่หยางรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ใครบ้างจะไม่อยากเข้าร่วมนิกายเหวินเต๋า”

นิกายเหวินเต๋าเป็นหนึ่งห้านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่แห่งทวีปจงหยาง มีผู้บำเพ็ญเซียนนับไม่ถ้วนและทรงพลังอย่างยิ่ง ในวันนี้นิกายเหวินเต๋ากำลังรับสมัครศิษย์ ไม่รู้ว่าจะมีผู้คนมากมายเพียงใด

ลู่หยางและเมิ่งจิ่งโจวเป็นสองในนั้น

ลู่หยางเดินทางมาทวีปจงหยาง บุพการีทั้งสองของตนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำได้เพียงพึ่งพามรดกเล็กน้อยที่เหลือไว้และความเมตตาของเพื่อนบ้านเท่านั้น

ในช่วงกว่าสิบปีที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ เขาได้ยินเรื่องราวจากนักเล่าเรื่องแถวนั้นเกี่ยวกับเซียนกระบี่เบิกประตูสวรรค์

เขาได้ยินเกี่ยวกับอสูรที่ห่างออกไปห้าร้อยลี้ได้พลิกตัวจนแม่น้ำสาดกระเซ็น

เขาได้ยินเกี่ยวกับลูกศิษย์นิกายเซียนโบยกระบี่สะบั้นอสูร กำจัดมาร ปราบปรามความชั่วร้าย เห็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าผู้โสมมทะยานขึ้นท้องฟ้า หลบหนีออกจากคุก และถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไป

ในเวลานั้น เขาล่วงรู้ว่านี่ไม่ใช่โลกที่เขาคุ้นเคย และไม่มีราชวงศ์ใด ๆ ที่เขาคุ้นเคยอีกต่อ แต่นี่คือโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน

เขาต้องการแสวงหาความเป็นอมตะและบำเพ็ญเซียนเช่นกัน

นิกายเหวินเต๋าคือเขาจุดแรกที่เลือก

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือไม่มีนิกายอื่นใกล้เคียงกับบ้านของเขาอีก

หากนิกายเหวินเต๋าก่อตั้งอยู่ที่นี่ นิกายอื่นย่อมไม่ขายหน้าตัวเองและเลือกที่จะก่อตั้งนิกายใกล้เคียง

ระหว่างการสนทนา ลู่หยางได้เรียนรู้ว่าเมิ่งจิ่งโจวมาจากตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน และมีความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญเซียนมากกว่าลู่หยางไม่น้อย ข้อกำหนดของนิกายเหวินเต๋าในการรับสมัครศิษย์คือต้องเป็นมนุษย์

“นิกายเหวินเต๋ามีข้อกำหนดคือ มนุษย์ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่เพียงแค่นิกายเหวินเต๋าเท่านั้น นิกายส่วนใหญ่ล้วนมีข้อกำหนดไม่ต่างกัน”

“หนทางสู่ความเป็นอมตะมีอุปสรรคมากมาย เริ่มตั้งแต่ระดับฝึกปราณ, ก่อตั้งรากฐาน, แก่นทองคำ, ก่อกำเนิด, ผันแปรวิญญาณ, ว่างเปล่า, ผสานกายา และทัณณ์สวรรค์ แต่ละระดับเป็นเพียงต้นน้ำ ข้าไม่รู้ว่ามีคนติดอยู่คอขวดกี่คน”

“มีหลายปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จของการบำเพ็ญเซียน เช่น ปราณโชคชะตา, สติปัญญา, รากวิญญาณ ใช่สิ รากวิญญาณของพี่ลู่เป็นอย่างไรหรือ?”

“แม้ว่านิกายเหวินเต๋าจะไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับรากวิญญาณที่สูงนัก แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการรากวิญญาณที่อ่อนแอเกินไป”

ลู่หยางขมวดคิ้ว เขารู้จัก “รากวิญญาณ” จากนักเล่าเรื่องเช่นกัน แต่เขาไม่รู้ว่าตนเองมีรากวิญญาณแบบใด

“ข้าไม่รู้ พี่เมิ่งเล่า?”

เมิ่งจิ่งโจวเผยสีหน้าสับสนพลันส่ายหัว “ข้าเคยตรวจสอบรากวิญญาณในตระกูลเช่นกัน แต่ผู้อาวุโสในตระกูลกลับมีสีหน้าเศร้าหมอง เขาไม่บอกผลการตรวจสอบ เพียงบอกว่าพรสวรรค์ของข้าน่าประหลาดใจ และจะรู้ก็ต่อเมื่อสามารถเข้าร่วมห้านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ได้เท่านั้น ข้าแอบถามพ่อแม่เช่นกัน ทว่าพวกเขากลับกังวลและไม่ได้บอกอะไร”

ลู่หยางคาดเดา “มันอาจจะเป็นรากวิญญาณน่าสะพรึงกลัวเกินไป และอาจนำภัยพิบัติมาสู่ตระกูลเมิ่งได้อย่างง่ายดาย มีเพียงนิกายเหวินเต๋าเท่านั้นที่ช่วยเจ้าได้”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”เมิ่งจิ่งโจวตบไหล่ลู่หยางเบา ๆ ราวกับสหายคนสนิท

ลู่หยางรู้สึกว่าคนผู้นี้มีความสามารถทัดเทียมกับตัวเขาเอง และเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการบำเพ็ญเพียรโดยธรรมชาติ

ลู่หยางเงี่ยหูฟังเสียงฝนที่ดังจากข้างนอก และรู้สึกขอบคุณที่เมิ่งจิ่งโจวชักชวนตนเข้ามานั่งในรถม้า

“หยุด” เมิ่งจิ่งโจวตะโกนออกไป ม้าเฒ่าเดินต่อสองสามก้าวก่อนหยุดกึก

รถม้านับเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่า เมิ่งจิ่งโจวสามารถมองเห็นภายนอกรถม้าได้แจ่มชัด

เมิ่งจิ่งโจวมองเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ข้างนอกท่ามกลางสายฝนราวกับลู่หยางก็มิปาน

“พี่สาวเดินทางไปยังทิศนี้คงต้องไปนิกายเหวินเต๋าแน่แท้ ฝนตกหนักไม่น้อย เหตุใดไม่มาพักผ่อนในรถม้าของข้าเล่า?”

สตรีคนนั้นประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากไตร่ตรองสิ่งที่เมิ่งจิ่งโจวกล่าวแล้วนางก็ตกลง

หลังจากที่นางขึ้นรถม้า เมิ่งจิ่งโจวและลู่หยางก็ได้แต่ตกตะลึง

เมิ่งจิ่งโจวยอมรับว่าเขาเคยเห็นโลกมาแล้วมากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามเพียงนี้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงลู่หยาง สตรีที่งดงามที่สุดที่เขาเคยเห็นก็คือแม่ม่ายตัวน้อยที่ขายเต้าหู้อยู่ข้างบ้าน

แน่นอนว่าลู่หยางเป็นสุภาพบุรุษ เขาไม่ได้มีความคิดอกุศลเกี่ยวกับแม่ม่ายตัวน้อยข้างบ้านแต่อย่างใด

นางเปรียบเสมือนดอกบัวทรงเสน่ห์ แต่งกายด้วยชุดสีขาว ยืนอย่างสง่าผ่าเผย ดวงตาเป็นประกาย ฟันขาวสะอาด ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง

ข้อมือขวาของนางยังมีระฆังทองคำติดสอยห้อยตามเช่นกัน

“อวิ๋นจื่อขอขอบคุณทั้งสอง”

เสียงของนางใสราวกับน้ำพุ ฟังดูแล้วสบายใจอย่างมาก

เมื่อลู่หยางสังเกตเห็นความแตกต่าง เขาจึงกระซิบว่า“พี่เมิ่ง เหตุใดนางไม่เปียกฝน นางเป็นอสูรหรือไม่?”

ในเรื่องเล่าก็มักจะมีอสูรที่กลายร่างเป็นหญิงสาว คอยดึงดูดใจล่อลวงชายหนุ่มที่แข็งแกร่งเฉกเช่นพวกเขา

ลู่หยางมีสภาพราวกับไก่จมน้ำ ดูเละเทะอย่างมาก ในทางกลับกัน อวิ๋นจื่อไม่มีแม้แต่เม็ดฝนตกบนร่าง ราวกับไม่ได้เดินทางกลางสายฝน

เมิ่งจิ่งโจวเอ่ยโดยไม่ต้องคิดมาก “นางอาจมีสมบัติล้ำค่า นี่เป็นเรื่องปกติในตระกูลใหญ่”

เมิ่งจิ่งโจวไม่ได้กังวลว่าอวิ๋นจื่อจะเป็นอสูร นี่คืออาณาเขตของนิกายเหวินเต๋า ฉะนั้นย่อมไม่มีอสูรตนในกล้าย่างกรายเข้าเพื่อสร้างปัญหา

“แม่นางอวิ๋นจื่อต้องการไปนิกายเหวินเต๋าเพื่อเข้าร่วมการทดสอบใช่หรือไม่?”

“เป็นเช่นนั้น”

เมิ่งจิ่งโจวกล่าวอย่างสุภาพว่า “ข้ามีเนื้อหาการทดสอบของนิกายเหวินเต๋า ข้าได้ใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อมา แม่นางอวิ๋นจื่อต้องการฟังหรือไม่?”

ลู่หยางมองด้วยความประหลาดใจ เหตุใดเมิ่งจิ่งโจวไม่ถามเขาบ้าง?

อวิ๋นจื่อประหลาดใจยิ่งเสียกว่าลู่หยางเสียอีก “นี่คือการฉ้อโกงไม่ใช่หรือ หากนิกายเหวินเต๋าล่วงรู้ขึ้นมา…”

เมิ่งจิ่งโจวโบกมือด้วยสีหน้าที่มั่นใจ “รถม้าของข้าเป็นสมบัติล้ำค่า แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนชราเหล่านั้นไม่สามารถใช้ได้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจตรวจสอบที่นี่ได้”

“เป็นเช่นนั้นเอง ข้าต้องขอรบกวนนายน้อยเมิ่งแล้ว”

ลู่หยางได้ยินเช่นนี้ก็เงี่ยหูฟัง

เมิ่งจิ่งโจวกระแอมในลำคอราวกับชำนาญ “การทดสอบของนิกายเหวินเต๋าแบ่งออกเป็นสามด่าน ด่านแรกคือการทดสอบรากวิญญาณ นี่เป็นการทดสอบที่ยากเย็น ไม่สามารถใช้กลอุบายหรือทางลัดได้ ด่านที่สองและสามนั้นมีพื้นที่ให้ทดสอบเฉพาะ”

“ด่านครั้งที่สองคือการวัดนิสัยใจคอ เช่น หากรถม้านั้นไร้การควบคุมกำลังจะล้มทับคนที่นอนอยู่บนพื้นจำนวนห้าคน ซึ่งห้าคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน ทว่ามีอีกคนนอนอยู่ไม่ไกล ในฐานะคนนอก เราสามารถควบคุมรถม้าได้ เราสามารถที่จะเพิกเฉยและฆ่าทั้งห้าคนได้ หรือควรเปลี่ยนทิศทางแล้วฆ่าอีกคน?”

ลู่หยางเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ฆ่าอีกคน”

เมิ่งจิ่งโจวประหลาดใจอย่างมาก ตั้งแต่เขาล่วงรู้เนื้อหาการทดสอบ เขาไม่ได้นึกถึงวิธีแก้ปัญหาด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดลู่หยางถึงตัดสินใจในบัดดล?

หากเลือกที่จะเพิกเฉยและฆ่าทั้งห้าคน มันอาจฟังดูสมเหตุสมผลและทำให้ต้องรู้สึกแย่ไปตลอดชีวิต

หากเลือกที่จะเปลี่ยนทิศทางและฆ่าอีกคนให้ตาย แสดงว่าคนผู้นั้นคงโชคร้าย ยมราชอาจกำลังต้องการตัว คงเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้เขาต้องตาย

เมิ่งจิ่งโจวสงสัยจึงถกถาม ลู่หยางก็ได้อธิบาย “เจ้าจะมีเวลามากพอที่จะครุ่นคิดไตร่ตรองได้อย่างไร เมื่อเจ้ากำลังนึกถึงผลลัพธ์ ทั้งห้าคนคงจะถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ข้าคิดว่าการทดสอบของนิกายเหวินเต๋าไม่ได้ต้องการรู้สิ่งที่เจ้าเลือก มันอยู่ที่ว่าเจ้าตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วหรือไม่”

“ข้าได้ฟังจากสิ่งที่นักเล่าเรื่องเล่า หากผู้บำเพ็ญเพียรสู้กันแล้วประมาทเพียงเล็กน้อยก็ย่อมหมายถึงชีวิตและความตาย ด่านที่สองนั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นคนเด็ดขาดในการตัดสินใจหรือไม่ ฉะนั้น ระยะเวลาที่สั้นที่สุดในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแน่แท้”

เมิ่งจิ่งโจวก็ตระหนักได้ในบัดดล

“ด่านที่สามคือการทดสอบความซื่อสัตย์ นิกายเหวินเต๋ามีคันฉ่องที่สามารถตัดสินได้ว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก หากพบว่าโกหก เจ้าจะถูกไล่ออกจากการทดสอบ”

ลู่หยางครุ่นคิด “ด่านนี้ค่อนข้างเรียบง่าย หากไม่รู้ล่วงหน้าก็คงจะมีคนโกหกเพื่อปกปิดตัวเอง แต่เมื่อรู้ล่วงหน้าแล้วก็เพียงแค่บอกกล่าวตามความจริง”

เมิ่งจิ่งโจวก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน

ทั้งสองพูดคุยกันสักพักและเสนอวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้มากมาย ทั้งยังคิดเผื่ออุบัติเหตุและมาตรการตอบโต้ฉุกเฉิน

แม่นางอวิ๋นจื่อเผยรอยยิ้มเล็กน้อยราวกับว่าสิ่งที่ทั้งสองพูดเป็นความคิดที่ดี

“ขอบคุณพี่ลู่ที่ชี้แนะข้ามากมาย”

“ฝนหยุดแล้วหรือ?” เมื่อลู่หยางพบว่าไม่มีเสียงฝนหยดมาจากด้านนอกรถม้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองสอดส่องสำรวจภายนอกอย่างสงสัย

ตรงที่เขาเดินผ่านนั้นยังมีฝนตกอยู่ ทว่าตรงนี้กลับมีแดดจ้า มีเสียงนกร้อง บุปผาข้างทางก็ส่งกลิ่นหอมอบอวลเตะจมูก เหตุการณ์นี้ราวกับว่ามีปราณกระบี่ที่ทรงพลังได้แบ่งโลกออกเป็นสองซีก ราวกับหยินยาง ซึ่งคงไม่มีวันได้พบเจอในชั่วชีวิต

ลู่หยางยกศีรษะ เขาเห็นสัตว์หายากดูแปลกตาจำนวนนับไม่ถ้วน มีผู้คนจากตระกูลเซียน และอาวุธวิเศษกำลังพุ่งเข้าหาภูเขาสูงตระหง่านที่ทอดยาวไปสู่ห้วงเวหา

ภูเขาสูงตระหง่านถูกปกคลุมไปด้วยแสงแดดทีทองอ่อน มีลวดลายอันงดงามแผ่ขยายออกมาจากด้านหลังภูเขา ปกคลุมทั่วฟ้าดิน ปิดกั้นฝนที่ตกหนัก

นี่คือประตูนิกายเหวินเต๋า และด้านบนภูเขาคือค่ายกลอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถบุกทะลวงได้

เหล่าอัจฉริยะล้วนให้ผู้อาวุโสนำทางพวกเขา และเพื่อเป็นการเคารพนิกายเหวินเต๋า พวกเขาล้วนลงจอดที่เชิงเขารอให้นิกายเริ่มการทดสอบ

ม้าเฒ่าเป็นม้าที่หายาก มันเป็นสัตว์อสูร แต่ก็ยังไม่ดีเลิศเลอเท่ากับสัตว์วิเศษที่เชิงเขา

“แม่เจ้า คฤหาสน์ที่นี่ดูโอ่อ่ายิ่งกว่าคฤหาสน์ตระกูลเมิ่งมากโข”เมิ่งจิ่งโจวถูมืออย่างประหม่า พลันครุ่นคิดว่าอีกไม่นานตนก็คงจะผ่านการทดสอบ และกลายเป็นศิษย์ของนิกายเหวินเต๋า ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น

ลู่หยางไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน ตอนอยู่บ้านเขามองเห็นภูเขาลูกนี้เป็นระยะ ๆ ซึ่งตอนนั้นเขาอยู่ไกลอย่างมาก เลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก เมื่อตนมายืนอยู่เชิงเขาก็ล่วงรู้ว่ามันใหญ่โตเพียงใด

เขามีวิธีผ่านด่านที่สองและสาม แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่ารากวิญญาณของตนเองคืออะไร บางทีเขาอาจจะไม่ผ่านการทดสอบด่านแรกด้วยซ้ำ

ผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนยืนอยู่บนฟากฟ้า คอยเฝ้าภูเขาอย่างเป็นรูปแบบ ทั้งยังปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังออกมา

ลู่หยางพลันสงสัยว่าหากพวกเขาปล่อยแรงกดดันอย่างเต็มที่ คงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถยืนอยู่ได้

ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ล้วนนิ่งเงียบ เนื่องจากไม่มีเหตุผลในสร้างแรงกดดันแก่จิตใจให้ผู้คน

ลู่หยางได้ยินว่าผู้อาวุโสตระกูลแห่งหนึ่งชี้แนะรุ่นเยาว์ “ดูเสื้อคลุมนั่นเสีย นั่นคือสัญลักษณ์ศิษย์หลักของนิกายเหวินเต๋า และคนเหล่านี้จะเป็นศิษย์พี่ของเจ้าในอนาคต”

“เจ้าไม่ต้องกังวลใจ พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะกดดันเจ้า ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอเจ้าภาพในการทดสอบครั้งนี้ และเมื่อเจ้าภาพมาถึง การทดสอบก็ควรจะเริ่มต้นขึ้น”

ลู่หยางแหงน

หน้าไปมา ทว่ากลับเห็นแม่นางอวิ๋นจื่อมีสีหน้าสงบ ดูไม่ตื่นเต้นแต่อย่างใด

“แม่นางอวิ๋นจื่อ เจ้า…”

ลู่หยางข้ากำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าแม่นางอวิ๋นจื่อพลันก้าวเท้าอย่างปราณีต แต่ละย่างก้าวล้วนมีดอกบัวสีขาวคอยพยุงร่างที่อ้อนแอ้นของนางไว้

ฝูงชนเกิดความโกลาหล เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่ต่างหลั่งเหงื่อเย็นออกมาบนหน้าผาก และรีบสั่งรุ่นเยาว์เงียบปากในบัดดล

ดอกบัวสีขาวพิสุทธ์ได้ปูทางข้ามผ่านผู้คนมากมาย เหล่าศิษย์หลักของนิกายเหวินเต๋าล้วนโค้งคำนับให้แม่นางอวิ๋นจื่ออย่างนอบน้อบ

แม่นางอวิ๋นจื่อโบกมือพลันม้วนริมฝีปากเล็กน้อย

“ข้าทำให้ทุกคนรอเสียแล้ว ข้าเป็นตัวแทนของนิกายเหวินเต๋า และเป็นเจ้าภาพการทดสอบครั้งนี้”

“ข้าขอประกาศว่าการทดสอบได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ”

หลังจากนั้นแม่นางอวิ๋นจื่อก็ได้ส่งยิ้มให้ลู่หยางและเมิ่งจิ่งโจวเล็กน้อย

นางต้องการเดินทางไปยังนิกายเหวินเต๋าก็จริง แต่นางไม่ได้มาสมัครเป็นศิษย์ นางเป็นผู้ตรวจสอบ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด