บทที่ 47: เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่มีมัน เราก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!
ติดตามเป็นกำลังใจให้ผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay
บทที่ 47: เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่มีมัน เราก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!
เหยาเจิ้งดื่มไวน์ที่เขาเพิ่งหยิบเข้ามาและไอออกมาทันที
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความหงุดหงิด!
หลินเป่ยฟานรีบยื่นมือออกไปและตบหลังเหยาเบาๆ และพูดว่า “ท่านเหยา ดื่มให้ช้าลงหน่อย ไม่ต้องรีบหรอก!”
เหยาเจิ้งส่งสายตาโกรธมาให้หลินเป่ยฟาน
ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้าเด็กที่น่ารำคาญคนนี้ เขาจะสำลักไวน์หรือ?
“เพราะเหตุใดข้าจึงโลภเพื่อเงินจำนวนมาก…”
หลินเป่ยฟานผายมือของเขาและยิ้มเล็กน้อย “มีคำพูดที่ว่า ‘เงินไม่สามารถซื้อทุกสิ่ง แต่ถ้าไม่มีมัน เราก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้!' หากมีเงินมากมายผู้ใดเล่าจะบ่น ท่านเห็นด้วยไหม ท่านเหยา?”
"เหอะ! เจ้ามีทฤษฎีบิดเบี้ยวมากมาย ข้าเถียงเจ้าไม่ไหวหรอก!“เหยาเจิ้งยกแก้วไวน์ขึ้นด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดและกล่าวว่า”ข้าจะดื่มให้เจ้าและหวังว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะกลายเป็นคนที่เจ้าเกลียดที่สุด!”
หลินเป่ยฟานยกถ้วยขึ้นและกล่าวตอบไป “ข้าขอรับความปรารถนาดีจากท่าน เพราะข้าเกลียดคนรวย!”
เหยาเจิ้งถึงกับไอออกมาอีกครั้ง…
“ท่านเหยา ทำไมถึงสำลักอีกแล้วล่ะ?” หลินเป่ยฟานเอ่ยถาม
“ถ้าเจ้าพูดน้อยกว่านี้ ข้าก็คงไม่ไอออกมาแล้ว!”
หลังจากดื่มไวน์อีกสองสามแก้ว หลินเป่ยฟานก็อธิบายเหตุผลที่มาหาเหยาเจิ้ง
“ท่านเหยา ครั้งนี้ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญท่านมาสอนที่สถาบันจักรพรรดิ !”
เหยาเจิ้งลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ “หลินเป่ยฟาน เจ้ายังพยายามทำให้ข้าขายหน้าหรือ?”
“ท่านหมายความว่ายังไง?” หลินเป่ยฟานถามด้วยความสับสน
เหยาเจิ้งกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “เราเป็นขุนนางของราชสำนักและอยู่ในระดับเดียวกัน! ยามนี้ถ้าเจ้าเชิญข้าไปสอนที่สถาบันการศึกษาแห่งชาติ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนหรือ?”
หลินเป่ยฟานส่ายศีรษะและยิ้มออกมา “ท่านเหยา ท่านคิดมากเกินไปแล้ว! ท่านเคยเห็นใครผู้ใดคิดหยามคนอื่นด้วยการนำไวน์ดีๆ มาให้ด้วยหรือ?”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เหยาเจิ้งนั่งลงอย่างสงบ
“นี่คือสิ่งที่ข้าจะบอก!” หลินเป่ยฟานกระแอมไอ “ท่านเหยา ท่านเป็นขุนนางมานานกว่า 30 ปีและมีประสบการณ์มากมายในราชสำนัก! นอกจากนี้ ท่านยังเคยเป็นผู้ตรวจการ มีความรับผิดชอบในการตรวจสอบพฤติกรรมของขุนนางหลายร้อยคน! ดังนั้นข้าจึงอยากเชิญท่านมาสอนที่สถาบันจักรพรรดิและให้ความคิดคุณธรรม หลักธรรมาภิบาลแก่เหล่าบัณฑิต”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยาเจิ้งก็คล้ายกับกำลังถูกล่อลวง
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเป็นขุนนางได้อีกต่อไป แต่เขาก็ยังสามารถเป็นอาจารย์ได้!
เขาสามารถใช้ความรู้ที่เหลืออยู่และปลูกฝังให้บัณฑิตเติบใหญ่เป็นขุนนางที่ดี
เมื่อบัณฑิตเหล่านี้กลายเป็นขุนนางระดับสูง มันก็จะเป็นความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน!
“เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะฝึกขุนนางที่ซื่อสัตย์มาจัดการกับเจ้าเลยเหรอ?” เหยาเจิ้งเอ่ยถาม
"นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ!" หลินเป่ยฟานยิ้ม
เหยาเจิ้งถึงกับสับสน “หือ?”
หลินเป่ยฟานถอนหายใจและกล่าวด้วยความรำคาญใจ “เพราะมีขุนนางที่ทุจริตมากเกินไปในราชสำนัก! แต่ละคนล้วนแก่เฒ่า เจ้าเล่ห์และมากกล ข้าไม่อาจสามารถต่อสู้กับพวกเขาทั้งหมดได้! ดังนั้นข้าหวังว่าท่านเหยาจะสามารถปลูกฝังสร้างขุนนางที่ซื่อสัตย์ ทำความสะอาดราชสำนัก ต่อสู้กับขุนนางที่ทุจริตพวกนั้นและทำให้ชีวิตของข้าสะดวกสบายยิ่งขึ้น!”
เหยาเจิ้งกัดฟันแน่นและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อฝึกขุนนางที่ซื่อสัตย์ให้มีความสามารถมากขึ้นเอง! ข้าจะไม่เพียงแต่ต่อสู้กับขุนนางที่ทุจริตในราชสำนักเท่านั้น แต่จะยังต่อกรกับเจ้าด้วย!”
หลินเป่ยฟานหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา “ข้าจะรอข่าวดีแล้วกัน!” หลังจากดื่มอีกสองสามถ้วย หลินเป่ยฟานก็อิ่มแล้ว ทันใดนั้น เหยาเจิ้งก็เดินออกมานอกเรือนและตะโกนขึ้นมา “ไม่ต้องเก็ฐของแล้ว วางทุกอย่างไว้ที่เดิม!”
“ท่านสามี ทำไมงั้นหรือ?” ภรรยาของเหยาถามด้วยความสับสน “เราจะไม่ไปไหน เราจะอยู่ในเมืองหลวงต่อ!” ร่างของเหยาเจิ้งคล้ายกับสูงตระหง่านเทียมเท่าภูผา ดวงตาของเขาแต่เดิมที่ขุ่นมัวก็เปล่งประกายเจิดจ้า
เพราะเขาพบเป้าหมายใหม่แล้ว!
วันรุ่งขึ้น เหยาเจิ้งได้รายงานตัวไปยังสถาบันจักรพรรดิ ซึ่งเขาได้รับการแนะนำเป็นการส่วนตัวจากหลินเป่ยฟาน
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วราชสำนักอย่างรวดเร็วจนทุกคนตกตะลึง!
เหยาเจิ้งที่ลาออกจากตำแหน่งได้ไปทำงานเป็นอาจารย์ที่สถาบันจักรพรรดิ ภายใต้การควบคุมของหลินเป่ยฟานงั้นหรือ? นี่เป็นการดำเนินเรื่องราวจากสวรรค์แบบใดกัน? พวกเขาเคยต่อสู้กันจนหมายฆ่ากันให้ตายไม่ใช่เหรอ? ยามนี้พวกเขาเปลี่ยนศัตรูให้เป็นสหายกันได้อย่างไร?
ข่าวลือแพร่กระจายไปเหมือนไฟป่า! จักรพรรดินีได้ยินข่าวอย่างรวดเร็วและก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“แผนของท่านหลิน…ตรงกับความปรารถนาของข้านัก!” นางกล่าว
ก่อนหน้านี้นางโกรธมากจนลงโทษเหยาเจิ้งหนักเกินไป ทำให้นางต้องรู้สึกเสียใจในภายหลัง ขุนนางที่ซื่อสัตย์อย่างเหยาเจิ้งนั้นมีไม่มากนัก แต่เขาแข็งกระด้างเกินไปและไม่ยืดหยุ่นพอ
ทว่าด้วยการกระทำของหลินเป่ยฟานก็ได้แก้ไขปัญหานี้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาเชิญเหยาเจิ้งมาเป็นอาจารย์ที่สถาบันจักรพรรดิ ทำให้เขาออกจากตำแหน่ง แต่ก็ไม่ได้ออกไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ทำให้เป็นผลเสียแก่ศักดิ์ศรีของนางในฐานะจักรพรรดินี
นอกจากนี้ ยังช่วยให้เหยาเจิ้งสามารถใช้ประสบการณ์ในชีวิตของตน มอบความรู้ของเขาเพื่อฝึกฝนขุนนางให้ซื่อสัตย์ขึ้น หากจำเป็น นางก็สามารถเลื่อนขั้นเขาและให้กลับมายังราชสำนักเช่นเดิมได้ มันเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์!
จักรพรรดินีเริ่มตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดเรื่องนี้
“ในบรรดาขุนนางและทหาร มีเพียงท่านหลินเท่านั้นที่คิดถึงประโยชน์แก่ข้า! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถแก้ไขความคับข้องใจในอดีตของเขากับเหยาเจิ้งได้ ความไม่มีอคติของเขาช่างน่าประทับใจนัก! ข้าคงต้องให้รางวัลเขาแล้วสิ!”