ตอนที่แล้วตอนที่ 15 : ปลาทอดเค็มแสนหอม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 17 : ญาติจากบ้านยายมาเยี่ยม

ตอนที่ 16 : น้องเล็กแบ่งปลา


ตอนที่ 16 : น้องเล็กแบ่งปลา

เมื่อเห็นว่าสองพ่อลูกคุยกันได้พอประมาณแล้ว เติ้งอาเหลียนจึงเรียกหลานสาวให้เข้ามาในครัว เพลานี้บนเขียงมีเนื้อวางอยู่แถวหนึ่ง คาดว่าน่าจะหนักประมาณ 3 ชั่งได้

“พวกข้าไปถึงช้า เนื้อติดมันในตลาดได้ขายไปเกือบหมดแล้ว มิง่ายเลยกว่าที่ข้าจะเลือกเนื้อไร้มันชิ้นนี้มาได้ !” โจวเสี่ยวเหมยพูดไปแล้วยังอดรู้สึกเสียดายมิหาย

“ท่านแม่ ข้าชอบกินเนื้อไร้มัน !” เนื้อติดมัน มันเลี่ยนเกินไป สวีฮุ่ยชอบกินเนื้อแบบนั้นจริง ๆ

โจวเสี่ยวเหมยยังรู้สึกหงุดหงิดจากการที่ซื้อเนื้อติดมันมิได้ พอได้ยินลูกสาวพูดเช่นนั้น คิ้วที่เคยขมวดเป็นปมของนางพลันคลายลง ใบหน้าถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม

“ฮุ่ยฮุ่ยชอบก็ดี ต่อไปนี้เวลาตระกูลของเราซื้อเนื้อให้เลือกชิ้นที่ติดมันน้อย ๆ หน่อย ส่วนที่เป็นมันหมูให้เอาไปเจียวน้ำมัน เนื้อแดงก็นำมาทำอาหารให้เด็ก ๆ กิน !” เติ้งอาเหลียนจำได้ว่าหลานสาวเคยบอกว่ามิชอบกินเนื้อติดมัน วันนี้นางพูดอีกครั้ง ผู้เป็นย่าจึงจดจำไว้ขึ้นใจ

สวีฮุ่ยถามถึงปลาที่พวกนางช่วยกันเตรียมเมื่อตอนกลางวัน ? เติ้งอาเหลียนจึงชี้ไปยังหม้อที่อยู่บนเตา สวีฮุ่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปเปิดฝาหม้อพบว่ามีปลาห้าตัวอยู่ในนั้น นางจึงก้มลงไปดูใต้เตา โชคดีที่ย่าของนางยังมิได้จุดไฟ

“ท่านย่า ไหนพวกเราคุยกันว่าจะย่างปลากิน ?”

เหตุใดพอตกเย็นมา ถึงกลายเป็นปลานึ่งเล่า !

“ย่ากับแม่ของเจ้าเห็นว่าปลามีกลิ่นหอมดี เลยอยากจะนำมานึ่งกิน หากเราย่างปลาต้องก่อไฟนอกบ้าน ทั้งยังทำให้เกิดควันดำฟุ้งไปทั่วบ้านอีก !” เติ้งอาเหลียนพูดพลางก้มเอวจะไปจุดไฟ

“ท่านย่า ข้าอยากกินปลาย่าง ข้าจะให้ท่านพ่อกับท่านพี่ช่วย ท่านกับท่านแม่ทำอาหารเย็นก็พอแล้ว ?” จากปลาย่างเกือบกลายเป็นปลานึ่ง บอกตามตรงว่าสวีฮุ่ยรับมิได้

หากคำขอนี้มาจากปากของผู้อื่น มีหรือที่เติ้งอาเหลียนจะตอบรับ ทว่าคำพูดนี้มาจากปากของหลานสาวสุดที่รักของนาง นางจึงพูดอะไรมิออก

สวีจื้อหย่งก่อไฟกลางลานสวน สวีฮุ่ยให้พี่ชายทั้งสองของนางหาท่อนไม้มาทำหลักไว้วางปลา ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อฟืนเริ่มกลายเป็นถ่าน สวีฮุ่ยจึงให้พวกพี่ชายนำปลามาวางทาบกับหลัก

หลังจากย่างไปได้สักพัก กลิ่นหอมของปลาย่างได้ลอยอบอวลอยู่ทั่วบ้านตระกูลสวี ลูกหลานตัวเล็กของตระกูลชุยปีนกำแพงบ้านยื่นหน้ามาดม สวีฮุ่ยจึงบอกพ่านตี้ว่าประเดี๋ยวนางย่างปลาเสร็จแล้ว จะนำไปแบ่งให้ตระกูลของพ่านตี้หนึ่งตัว

สวีเจี้ยนหลินมิต้องทำอะไร เขาแค่หมอบตัวลงแล้วนั่งดมกลิ่นปลาย่าง ส่วนเติ้งอาเหลียนได้ถามหลานสาวของตนว่าทำปลาเยี่ยงไร ถึงย่างได้หอมขนาดนี้

“ข้าเดินเล่นอยู่ริมน้ำแล้วพบหญ้าต้นเล็ก ๆ สองสามต้น ลองดมแล้วกลิ่นมันหอมมาก จึงลองเด็ดมาผสมเกลือ เหยาะซีอิ้วลงไปเล็กน้อย แล้วใส่ลงไปในท้องปลา ก่อนกลับข้าเอามันออกไปจากท้องปลาแล้ว !” สวีฮุ่ยยังคงกลับปลาไปมา เพื่อให้เนื้อปลาสุกเสมอกัน โจวเสี่ยวเหมยออยากจะทำแทนลูก ทว่าสวีฮุ่ยบอกว่าปลาใกล้สุกแล้ว อย่าเพิ่งเปลี่ยนคน มิอย่างนั้นหากไฟแรงเกินไปหรือกลับปลามิดี จะทำให้ปลาไหม้เอาได้

ผ่านไปสักพัก ปลาก็สุกพอดี สวีฮุ่ยจึงแบ่งออกมาตัวหนึ่ง แล้วเดินไปที่กำแพง “พ่านตี้ มากินปลาเร็ว !”

“ฮุ่ยฮุ่ย ปลาย่างของบ้านเจ้าช่างหอมยิ่งนัก !” พี่น้องของพ่านตี้ต่างเกาะหนึบอยู่ที่กำแพงมิยอมไปไหน ขนาดน้องชายของนางยังถูกอุ้มออกมาให้ดมกลิ่นปลาย่าง

“แม้ว่าปลาจะรสชาติมิเลว แต่เด็กเล็กเกินไปมิควรกินเยอะ เพราะหนึ่งเลยปลามันมีก้าง ยิ่งนำมาย่างยิ่งดูยากว่าก้างอยู่ตรงไหนบ้าง อีกอย่างเนื้อปลาย่างค่อนข้างแข็ง ย่อยยากสำหรับเด็กน้อย !” สวีฮุ่ยพูดถึงข้อดีและข้อเสียอย่างครบถ้วน เพราะถ้าหากตระกูลชุยนำไปป้อนให้เด็กน้อยแล้วเด็ก ๆ เกิดปวดท้องขึ้นมา เดี๋ยวจะหาว่านางมิเตือนก่อน

คนในตระกูลชุยกล่าวขอบคุณสวีฮุ่ยแล้วนำปลาที่นางให้เข้าไปในบ้าน ตระกูลสวีถึงได้แบ่งปลาอีกสี่ตัวกินกัน เติ้งอาเหลียนจัดแจงเลือกปลาตัวที่ใหญ่ที่สุดให้กับหลานสาวก่อน

สวีฮุ่ยล้างมือเช็ดมือกับเสื้อ พลางพูดว่า “วันนี้ข้าจะเป็นคนแบ่งปลาให้เอง !”

เพราะสวีเจี้ยนหลินเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเช่นเดียวกัน นางจึงแบ่งส่วนท้องปลาให้แก่เขา แบ่งหางปลาและเนื้อปลาครึ่งตัวให้แก่พ่อ ส่วนตัวเองเหลือไว้ครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน

เติ้งอาเหลียนเองก็ได้รับส่วนท้องปลา ส่วนหัวและหางมาเช่นกัน ส่วนเนื้อครึ่งหนึ่งแบ่งให้สวีเจี้ยนเหวิน ส่วนอื่นแบ่งให้โจวเสี่ยวเหมย

ทั้งห้าคนเห็นว่าสวีฮุ่ยแบ่งไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างก็เตรียมแบ่งส่วนที่เนื้อปลาเยอะที่สุดของตัวเองให้หนูน้อยเช่นกัน

“กระเพาะข้าจุได้น้อย กินแค่นี้ก็พอแล้ว พวกท่านอย่าทิ้งหัวปลาและก้างตัวปลาล่ะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะนำมาต้มซุปหัวปลาให้พวกท่านดื่ม รีบกินเถิด ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย !” สวีฮุ่ยนั่งลงแล้วกินปลาส่วนที่ตัวเองแบ่งมา

หลังจากกินข้าวกันอิ่มแล้ว สวีเจี้ยนหลินจึงพูดว่า “ถ้าให้น้องเล็กทำอาหารทุกวันคงดี !”

สิ้นเสียงของเขา เติ้งอาเหลียนและโจวเสี่ยวเหมยพร้อมใจกันดึงหูของเขาคนละข้าง ส่วนสวีเจี้ยนเหวินก็ยกเท้าขึ้นถีบก้นน้องชายด้วยความหมั่นไส้ !

“น้องสาวของเจ้าอายุเท่าไรกันเชียว เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้ มีข้าวกินก็ดีมากแล้ว ยังจะเลือกมากอีก !” เติ้งอาเหลียนตำหนิหลานชายไปหนึ่งยก

“น้องเล็ก เจ้าดูสิว่าพี่รองน่าสงสารขนาดไหน พรุ่งนี้เจ้าต้องแบ่งน้ำซุปปลาไว้ให้พี่รองชามโต ๆ หน่อยนะ !” ในสายตาของสวีเจี้ยนหลินนั้น การที่คนในตระกูลแสดงออกเช่นนี้ แท้จริงแล้วหมายถึง “ทุบตีเพราะเป็นพ่อแม่ ดุด่าก็เพราะว่ารัก” เพียงแต่พวกเขาแสดงออกต่อน้องสาวแตกต่างไปเท่านั้นเอง

“ได้สิ !” สวีฮุ่ยเห็นว่าพี่รองดูจะชอบที่ย่าและแม่ทำแบบนี้ จึงล้มเลิกความคิดที่จะช่วยพี่รอง คิดเสียว่าให้ทุกคนได้มีอะไรทำระหว่างย่อยอาหารหลังกินแล้วกัน ข้ามิขอเข้าไปยุ่งดีกว่า

สวีฮุ่ยอยากช่วยล้างชาม ทว่าโจวเสี่ยวเหมยกลับพานางกลับไปส่งที่ห้อง และเตรียมอ่างน้ำอุ่นไว้ให้นางล้างเท้าอีกด้วย “แช่เท้าเสีย แล้วอย่านอนดึกนักเลย !” วันนี้หนูน้อยทั้งออกไปข้างนอก ทั้งทำอาหาร ไหนจะย่างปลาให้คนในตระกูลกินอีก ดูท่าว่านางคงจะเหนื่อยแล้ว

“ท่านแม่ ท่านเองก็ควรจะพักผ่อนได้แล้ว ต่อไปข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้เอง แค่พวกท่านทำงานทุกวันก็เหนื่อยแล้ว มิต้องมาดูแลข้าตลอดเวลาหรอก ข้าดูแลตัวเองได้” สวีฮุ่ยกล่าว

“เจ้าอายุเท่าไรเชียว ทำเป็นเกรงใจแม่ไปได้ เจ้าเป็นลูกคนเล็กของบ้าน หากมิให้แม่ดูแลเจ้า แล้วจะให้แม่ไปดูแลผู้ใด !”

ข้าต่างหากที่ควรจะขอบคุณตระกูลสวี แม้จะยากจนมิมีเครือญาติมากนัก สวีฮุ่ย มีหลายสิ่งที่ข้าประทับใจ ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรักที่คนในตระกูลมีต่อเจ้าของร่างคนเดิม

สวีฮุ่ยล้างเท้าเสร็จแล้วก็นอนลงบนเตียง รอจนกระทั่งบรรยากาศรอบด้านกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง นางถึงได้เข้าไปในมิติแล้วเดินวนรอบต้นไม้แฝดพลางตะโกนเรียก “เฮ่อจิ่น” ไปด้วย ทว่าเมื่อมิมีเสียงใดตอบกลับมา นางจึงเข้าครัวไปเตรียมเครื่องปรุงต่อ

ตอนกินข้าวเย็นเสร็จก็ลืมถามเรื่องไปตลาดเลย คาดว่าท่านพ่อกับท่านแม่คงมิไปแล้ว วันนี้ขายปลาได้ตั้งหนึ่งตำลึงกว่า ๆ มิรู้ว่าพรุ่งนี้พ่อกับพี่รองจะไปจับปลาอีกหรือไม่

ปลาตัวเล็กที่นำกลับมาที่บ้านวันนี้ได้ถูกทำเป็นปลาแดดเดียว และปลาแห้งบางส่วนได้ถูกนำมาบดผสมไปในเครื่องปรุงน้ำซุป อีกไม่กี่วันรอให้เห็ดบนภูเขาขึ้นเสียก่อน แล้วค่อยเก็บมาผสมลงในเครื่องปรุงตามสัดส่วนก็จะได้ผงชูรสจากธรรมชาติ

ตอนกลางคืน สวีฮุ่ยเอาแต่คิดเรื่องที่จะไปตลาดผล็อยหลับไป พอตื่นนอนในเช้าวันออกมา ขณะที่นางเดินเข้าไปในห้องครัวนั้น นางก็เห็นว่าผู้เป็นย่าได้ทอดแผ่นแป้งเสร็จแล้ว

“ตอนแรกย่าอยากทำซุปหัวปลาให้เจ้า แต่ก็กลัวว่าจะทำเสียของ ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว ฉะนั้นเจ้าก็มาทำเถิด !” เติ้งอาเหลียนเดินมาล้างมือที่อ่าง

“ท่านย่า บ้านเรามีผักกาดหรือไม่ !”

“มี เจ้าจะนำมันมาต้มกับหัวปลาใช่ไหม ? เดี๋ยวย่าจะไปเอาจากห้องใต้ดินมาให้ !”

ในตอนที่เติ้งอาเหลียนไปเอาผักกาด สวีฮุ่ยก็ได้ใส่หัวปลาลงไปในหม้อแล้ว นางใส่เครื่องปรุงทำน้ำซุปที่เตรียมไว้เมื่อวานลงไปเล็กน้อย ทันใดนั้นกลิ่นหอมของน้ำซุปก็ลอยอบอวลไปทั่วห้องครัวทันที

“ฮุ่ยฮุ่ยมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารจริงด้วย เด็กอายุเพียงเท่านี้แต่กลับทำอาหารอร่อยไปเสียทุกอย่าง !” เติ้งอาเหลียนชื่นชมด้วยความปลื้มใจ

“ต่อไปนี้ข้าจะทำอาหารให้พวกท่านกินบ่อย ๆ รอให้ข้าโตกว่านี้ พวกเราไปตั้งแผงขายเกี๊ยวน้ำ ซุปปลาและแผ่นแป้งทอดกันเถอะ !” สวีฮุ่ยเชื่อว่าธุรกิจนี้ต้องดี ในตอนแรกเน้นขายได้เยอะกำไรน้อยไปก่อน รอให้เปิดตลาดได้แล้วและมีชื่อเสียงก่อนค่อยเปิดร้านทีหลัง !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด