บทที่ 12 เหมือนเจอกันครั้งแรก
ไม่เจอกันหกปีเขาดูผอมลงเล็กน้อย แต่อย่างอื่นไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ดวงตาคู่นั้นเหมือนค่ำคืนที่สุกสว่าง แสงดาวเย็นเยียบส่องลงมาจนทำให้สายตาพร่ามัว
เธอรีบละสายตาและพูดเบาๆ “อาจารย์หนิง”
สายตาล่องลอยไม่มีที่ที่สามารถมองไปได้ จึงตกลงยังสิบนิ้วที่ประสานกันวางอยู่บนโต๊ะ นิ้วเรียวขาว ในความทรงจำยังคงจำได้ถึงอุณหภูมิของมันเมื่อประสานมือ เย็นสบาย
เธอไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที ยาวนานไม่ต่างจากความทุกข์ทรมาน
สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน เธอให้กำลังใจตัวเองในใจและแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ
“ไปเถอะ” เขาพูด แววตาอบอุ่น
เธอตกตะลึง เธอไม่คิดจริงๆ ว่าการกลับมาพบกันอีกครั้งหกปีผ่านไปจะเป็นบทสนทนาแบบนี้ เขาที่พูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนั้นช่างดูคุ้นเคย และดูราวกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือว่าควรจะต้องพูดว่า ‘หลิวเจิง เธอสบายดีหรือเปล่า?’ หรือ ‘ไม่เจอกันนานนะ?’ หรือคำพูดไร้สาระอื่นๆ อย่างนั้นเหรอ?
เธอชะงักและตอบ “อ้อ” แล้วหันหลังเดินออกไป
หลังออกจากห้องทำงาน ในที่สุดเธอก็ได้ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก
การกลับมาเจอกันในครั้งนี้ เปรียบเสมือนทหารที่เข้าโจมตีกำแพงเมือง ป้อมปราการในใจที่สร้างมานาน เมื่อยามที่ต้องรับศึกกลับจบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้
เหนือความคาดหมายแต่ก็สามารถทำให้ผ่อนคลายลงได้มาก
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ตึงเครียดต่างๆ หรือการหวนนึกถึงรักครั้งเก่าแล้ว สายลมบางเบาและฝนปรอยๆ แบบนี้ มันดีกว่ามาก ทันใดนั้นเองก็รู้สึกได้ว่าความเกี่ยวพันของเธอกับเขาเมื่อหลายปีก่อนได้ไกลออกไปพร้อมกับสายลมเบาบางและฝนปรอยนั้น เธอเหมือนได้ย้อนกลับไปในปีนั้นที่ได้เจอเขาเป็นครั้งแรกตอนอยู่ปีหนึ่ง เธอไปห้องวิจัยผิดห้องและพบกับเขาที่กำลังส่องกล้องจุลทรรศน์ เมื่อเขาลืมตา แสงดาวส่องประกายเคลื่อนไหวเหมือนน้ำในตาของเขา
หากชีวิตคนเราเป็นเช่นดั่งรักแรกพบ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้
แบบนี้ มันดีมากจริงๆ
โดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ ที่สุดแล้วเธอกับเขาในช่วงเวลาหลายปีนั้นไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะเป็นความรักหรือความติดค้าง เธอไม่เคยโทษเขาเลย เขาคือรุ่นพี่หนิงของเธอเสมอ ชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวที่แค่เห็นก็ใจสั่น ผู้กุมช่วงเวลาวัยสาวของเธอไว้ทั้งหมด
“หึ!” เสียงหัวเราะค่อนขอด มีคนยืนขวางหน้าเธอไว้
เธอกะพริบตาเพื่อไล่น้ำตาที่รื้นอยู่ตรงขอบตา มองติงอี้ย่วนโดยไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร
“เธอมีแผนจริงๆ สินะ?” น้ำเสียงของติงอี้ย่วนมีความเย้ยหยัน “หลังฉันออกไปก็ยังอ้อยอิ่งอยู่ตั้งนาน? เพิ่มความประทับใจให้กับคุณหมอหนิงกับหัวหน้าสวีอย่างนั้นเหรอ? ฉันจะบอกเธอให้ อย่าเสียเวลาเปล่าเลย! เธอคิดจะเข้าเป๋ยหย่าเหรอ ไม่มีทาง!”
ปรากฏว่าที่ติงอี้ย่วนเกรี้ยวกราดก็เพราะอย่างนี้
หร่วนหลิวเจิงหัวเราะ “วางใจเถอะ ฉันไม่เคยคิดจะเข้าเป๋ยหย่าเลย”
พูดจบก็แฉลบด้านข้างของติงอี้ย่วนและเดินออกไป
เมื่อเดินไปถึงหน้าแผนกก็มีพยาบาลคนหนึ่งเดินถือยาเข้ามา เมื่อทั้งสองเจอกัน พยาบาลคนนั้นก็ต้องประหลาดใจ “หลิวเจิง!”
นางพยาบาลถานหย่า คนที่เธอคุ้นเคย เธอสนิทกับถานหย่าที่สุดระหว่างที่เธอเตร็ดเตร่อยู่ที่โรงพยาบาลนี้เมื่อหกปีก่อน
“เสี่ยวหย่า!” ได้เจอคนคุ้นเคยอีกครั้งจึงรู้สึกเก้ๆ กังๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ได้เจอกันนานมากจริงๆ นะ! เธอยังเหมือนเดิมเลย ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด!” ถานหย่าใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่จับมือเธอ
เธอยิ้ม “เธอก็เหมือนกัน”
“หลิวเจิง ตอนนี้ฉันยุ่งอยู่ คุยกับเธอไม่ได้ เบอร์โทรศัพท์ฉันยังเป็นเบอร์เดิมนะ เธอว่างก็โทรหาฉันนะ แล้วเราค่อยคุยกันนะ!” ถานหย่าท่าทางเร่งรีบและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ได้ เธอทำงานเถอะ! รีบไป!” เธอเข้าใจดีว่าพยาบาลนั้นงานยุ่งเพียงใด ไม่กล้าถ่วงเวลาถานหย่าไว้แม้แต่น้อย
เธอกับถานหย่าโบกมือให้กันและจากไป
เธอรู้สึกซาบซึ้งมากที่ถานหย่าไม่ถามว่าเธอมาที่แผนกทำไม มาหาคุณหมอหนิงใช่หรือเปล่า
ผู้คนมากมายในชีวิตช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่อบอุ่น