บทที่ 105 สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
บทที่ 105 สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
โคเรียม 2 มีความสำคัญต่อการก้าวหน้าสำหรับเอไลมาก
เนื่องจากยาประเภทนี้แตกต่างจากยาโคเรียม 1 อย่างสิ้นเชิงตัวอย่างเช่น โคเรียม 1 ดึงพลังงานการแตกตัวเซลล์ใหม่เพื่อบีบอัดเป็นพลังจิตทำให้เพิ่มได้น้อย ในขณะที่โคเรียมหมายเลข 2 เปลี่ยนพลังชีวิตเป็นพลังจิตโดยตรง
อีกอย่างผลการวิจัยในปัจจุบันของเขา ยานี้จะไม่ทำให้ร่างกายสร้างความต้านทาน ยานี้มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้สามารถเสียสละพลังชีวิตได้มากน้อยเพียงใด
สำหรับเอไลแล้วอย่างน้อยๆยานี้สามารถช่วยให้เขาบรรลุถึงวงแหวนแรกก็เพียงพอแล้ว
หลังจากช่วงเวลานั้น
เอไลก็ผลิตอย่างออกมาเรื่อยๆ และดื่มไปเรื่อยๆเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ละเลยการวิจัยสายเลือดและการวิจัยดอกไผ่สีเลือดเพิ่มเติม
…
อีกสามเดือนผ่านไป
คราวนี้ เป็นโรแลนด์ที่เป็นเพื่อนคนสุดท้ายของเอไลในอาณาจักรก็ได้จากไปเช่นกัน
เอไลไปร่วมงานศพด้วย แต่คราวนี้เขาสงบลงกว่าเดิมมาก เขาเพียงแต่บอกลูกหลานของโรแลนด์ว่าหากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาสามารถตามหาเขาได้
ในขณะเดียวกันเอไลก็กำลังพิจารณาว่าเขาควรเปลี่ยนตัวตนของเขาหรือไม่ แต่หลังจากคิดได้บางอย่าง เขาก็ล้มเลิกไปเพราะยังไม่มีความจำเป็นจริงๆ ในตอนนี้
ไม่ว่าในกรณีใด ก็มีหลายคนที่มีอายุแปดสิบหรือเก้าสิบในโลกนี้ นอกจากนี้การเปลี่ยนตัวตนนั้นยุ่งยากและไม่มีความหมายสำหรับเขาตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้วคนที่รู้จักเอไลก็ตายกันไปหมดแล้ว
ไม่มีเพื่อนในวัยเด็กของเขาอีกต่อไป
จู่ๆ เอไลก็ดีใจที่ไม่ได้รู้จักใครใหม่หลังจากเขาก้าวสู้วัยหนุ่ม มิฉะนั้น มันจะทำให้เขาอึดอัดไม่มากก็น้อยที่ต้องเฝ้าดูคลื่นของคนสนิทล้มตายไป
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับเขา ที่จะมีการติดต่อทางสังคมน้อยเกินไป
…
เอไลไม่สนใจโลกภายนอก
ในปีที่ 361 ของปฏิทินไบรน์ ซึ่งเป็นปีหลังจากที่เขาได้สร้างโคเรียม 2 สำเร็จ เหตุการณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น
ราชินีแห่งอาณาจักรลอร์เรน ราชินีซินเธีย สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 90 ปี
อาณาจักรลอร์เรนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และอาณาจักรโดยรอบก็กลายเป็นกระตือลือล้นขึ้นมากทันที
ชีวิตของราชินีซินเธียนั้นรุ่งโรจน์ เธอเป็นผู้นำอาณาจักรลอร์เรนที่ล้าหลังและสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งทางธุรกิจและการทหาร ในท้ายที่สุดแม้แต่อาณาจักรไบรน์ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นอาณาจักรที่เกือบจะเทียบเท่ากับอาณาจักรไบรน์
ราชินีได้ฝากความประทับใจไว้กับเขา
ไม่ว่าจะเป็นความหลงไหลของเธอที่มีต่อน้ำหอมหรือความเชื่อมั่นจนคลั่งไคล้ของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อตัวเธอ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เอไลไม่เคยเห็นในอาณาจักรไบรน์ ความเชื่อแบบนั้นมีได้เฉพาะราชินีผู้นำอาณาจักรสู่ความยิ่งใหญ่เท่านั้น อย่างน้อยที่สุดไบรน์ที่หกและเจ็ดไม่ใช่ผู้นำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การสวรรคตของราชินีส่งผลที่น่ากลัวยิ่งกว่าต่ออาณาจักรไบรน์อย่างมาก
นับตั้งแต่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองอาณาจักรเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ทั้งสองอาณาจักรก็อยู่ฝ่ายเดียวกันมาโดยตลอด เป็นเพราะการมีอยู่ของอาณาจักรลอร์เรนด้วยที่แม้ว่าอาณาจักรไบรน์จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีสงครามเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อราชาองค์ใหม่แห่งลอร์เรนเข้ารับตำแหน่ง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา อาณาจักรไบรน์คงลำบากอย่างแน่นอน
แม้ว่าความสามารถของแอนนาจะไม่ได้อ่อนแอและเธอบริหารอาณาจักรได้เป็นอย่างดี แต่เธอก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลา นี้เป็นเวลาไม่กี่ปีเธอจะฟื้นฟูอาณาจักรที่อ่อนแอลงด้วยน้ำมือของไบรน์ที่เจ็ดได้อย่างไร? นั่นมันเป็นไปไม่ได้
สำหรับไบรน์ที่เจ็ด เขาซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตลอดเวลา บางทีเขาอาจตระหนักว่าเขาเป็นราชาที่ขี้ขลาดเพียงใด
ทุกคนกำลังรอดูท่าทีของอาณาจักรลอร์เรน
ในทางกลับกัน เมื่อเอไลได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและทำการทดลองต่อไป
ถ้ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น แอนนาจะบอกเขาเอง
…
สามเดือนต่อมา
มีความคืบหน้าใหม่ในการทดลองสายเลือดของเอไล
ในห้องปฏิบัติการ
เอไลมองดูชายตรงหน้าเขา เขายังคงมีรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่เล็บของเขาเป็นกรงเล็บกระดูกที่แหลมคม และดวงตาของเขาดูเหมือนจะเป็นสีแดงเล็กน้อย ขนาดร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
ในขณะนี้ชายผู้นี้ซึ่งรวมสายเลือดของหมาป่าวายุถูกมัดไว้กับเสาไม้ เขาเขย่าร่างของเขาอย่างรุนแรงราวกับว่าเขาต้องการทดลองดูว่าเขาจะหลุดจากเชือกได้หรือไม่
เอไลไม่ได้หยุดเขา เขาเพียงแค่เฝ้าดูอย่างใจเย็นเท่านั้น
ตัวทดลองที่มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้อาจทำให้เขาสังเกตเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงของมนุษย์คนนี้ได้
เขาถือสมุดบันทึกไว้ในมือข้างหนึ่งและอีกมือหนึ่งก็จดบางอย่างลงไป
ได้ยินเสียงเชือกขาด นัยน์ตาของชายผู้นั้นแดงก่ำยิ่งขึ้น และเขาก็ร่วงหล่นจากเสาไม้ลงสู่พื้นพร้อมกับเสียงอันดังสนั่น
ชายคนนั้นดูจะประหลาดใจที่จู่ๆเขาก็สามารถหลุดออกมาได้ เขามองไปที่กรงเล็บอันแหลมคมบนมือของเขาและเอไลที่มีรูปร่างเหมือนคนแคระเมื่อเทียบกับเขา เขายิ้มอย่างน่ากลัว พร้อมกับน้ำลายที่ไหลเยิ้มออกมา
"ไปลงนรกซ่ะ!"
ชายคนนั้นวิ่งไปหาเอไลอย่างบ้าคลั่ง เขาต้องการฆ่าคนที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสยดสยองเช่นนี้
“ไม่เลว เขายังคงมีสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดา หลังจากผสานเข้ากับสายเลือดแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็มาถึงระดับอัศวินระดับกลาง และความเร็วของเขาเกือบจะเท่ากับอัศวินระดับสูง” สิ่งที่ชายคนนั้นไม่คาดคิดก็คือเอไลยังคงสงบในขณะที่เขาบันทึกข้อมูลอย่างใจเย็น ซึ่งทำให้ชายคนนั้นโกรธมากยิ่งขึ้น
"ตาย!"
ทันใดนั้นกำแพงวายุก็ปรากฏขึ้น
กรงเล็บที่แหลมคมสัมผัสกับกำแพงวายุ และชายคนนั้นก็เห็นกรงเล็บที่แหลมคมของเขาถูกทำลายเป็นชิ้นๆ ในทันที
เขาร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดและมองไปที่เอไลด้วยความกลัว
“ขอข้าดูขีดจำกัดของเจ้าหน่อย”เอไลมองไปที่ชายคนนั้นและยิ้มให้เขาอย่าง "ใจดี"
หลังจากนั้นก็มีเสียงอันโหยหวนดังก้องไปทั่วห้องปฏิบัติการ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ประตูก็เปิดออก
เอไลทำความสะอาดเนื้อและเลือดที่ตกค้างในห้องทดลองแล้วกลับออกมา
“คนธรรมดาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการรวมสายเลือด อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะมีข้อบกพร่องมากมาย ข้าต้องการร่างกายที่แข็งแกร่งจำนวนมากเพื่อมาทำการทดลองและการทดสอบเพิ่มเติมจริงๆ” เอไลเขียนลงในสมุดบันทึกอย่างช้าๆ
เมื่อการวิจัยเกี่ยวกับสายเลือดของเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาก็เข้าใจว่านี่เป็นเส้นทางที่ดีทีเดียว เอไลรู้สึกว่าเขาอาจจะรวมสายเลือดเข้ากับร่างกายของเขาในอนาคตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา
“แต่ข้าต้องทำการทดลองให้มากกว่านี้ แล้วข้าจะไปหาเป้าหมายได้ที่ไหน”
เอไลขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น ดง ดง ดง!
เสียงระฆังดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน และเอไลก็เงยหน้าขึ้น
ถ้าเขาจำไม่ผิด เสียงระฆังสามครั้งน่าจะหมายถึงสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว
สงครามงั้นหรือ?
ดวงตาของเอไลเป็นประกาย มีสถานที่ทดสอบที่ดีกว่าสนามรบงั้นหรือ? แค่เขาบ่นว่าง่วงก็มีคนส่งหมอนมาให้แล้ว
…
ปี 361 ของปฏิทินไบรน์
ราชาองค์ใหม่ของอาณาจักรลอร์เรนประกาศว่าเขาจะตัดความสัมพันธ์และการติดต่อกับอาณาจักรไบรน์ทั้งหมด
อาณาจักรไบรน์ที่อ่อนแอนั้นถูกเปิดเผยต่ออาณาจักรอื่น ๆ ในทันที เพื่อผลประโยชน์มหาศาลสงครามจึงได้เริ่มขึ้น
มันแตกต่างจากครั้งล่าสุดในความทรงจำของเอไล
ในช่วงสงครามครั้งแรกที่เอไลประสบ อาณาจักรนี้ยังคงอยู่ภายใต้การนำของไบรน์ที่หก ตอนนั้นอาณาจักรยังมีอำนาจและมีทหารที่แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้หลังจากการปกครองของไบรน์ที่เจ็ด อาจกล่าวได้ว่าอาณาจักรไบรน์อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์
คราวนี้อาณาจักรวิสที่อยู่ใกล้เคียงเป็นผู้ริเริ่มสงครามก่อน
สงครามเริ่มต้นอย่างกะทันหันและจบลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเมืองจูนลินได้รับข่าวว่าอาณาจักรไบรน์พ่ายแพ้และขุนนางที่เข้าร่วมในสงครามถูกจับตัวไปเกือบหมด
สงครามครั้งแรกหลังจากราชินีแอนนาก้าวขึ้นสู่อำนาจจบลงอย่างรวดเร็วและยากลำบาก แต่ทุกคนรู้ดีว่าจะมีแต่สงครามที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต
สำหรับไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจที่จะชนะสงคราม ไม่แม้แต่ราชินีแอนนา
และในขณะนี้ก็เป็นเวลาที่เอไลจะต้องเลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไปสำหรับสถานการณ์นี้
ไม่ว่าจะเพื่อจุดประสงค์ในการค้นหาซากมรดกหรือเพื่อการทดลองสายเลือด เขาก็ต้องทำอะไรสักอย่าง
ต้องเป็นอาณาจักรไบรน์…แน่นอนว่าเขาต้องการให้อาณาจักรไบรน์อยู่รอดเพราะเขามองว่าอาณาจักรไบรน์นั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา